Month: มิถุนายน 2022

มอบงานของฉันให้พระเจ้า

ฉันรู้สึกว่านิตยสารที่ฉันกำลังเขียนบทความให้นั้น “สำคัญ” ฉันจึงพยายามที่จะเขียนบทความที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อนำเสนอแก่บรรณาธิการระดับสูง ด้วยความกดดันที่จะทำให้ได้ถึงมาตรฐานของเธอ ฉันจึงคิดและเขียนใหม่อยู่หลายรอบ แต่ปัญหาของฉันคืออะไร เพราะหัวข้อนั้นเป็นเรื่องท้าทายสำหรับฉัน หรือความกังวลของฉัน ที่จริงแล้วเป็นความรู้สึกส่วนตัวว่าบรรณาธิการจะยอมรับในตัวฉันไม่ใช่แค่ข้อเขียนของฉันหรือเปล่า

เปาโลมีคำสอนที่เชื่อถือได้สำหรับความกังวลในเรื่องหน้าที่การงานของเรา ในจดหมายถึงคริสตจักรที่เมืองโคโลสี เปาโลกระตุ้นให้ผู้เชื่อทำงานไม่ใช่เพียงเพื่อการยอมรับของคน แต่เป็นการยอมรับของพระเจ้า อัครทูตท่านนี้กล่าวว่า “ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์ ท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จ ท่านปรนนิบัติพระคริสตเจ้าอยู่​” (คส.3:23-24)

เมื่อใคร่ครวญถึงสติปัญญาของเปาโล เราก็จะหยุดดิ้นรนเพื่อจะดูดีในสายตาของหัวหน้าที่เป็นมนุษย์ได้ แน่นอนว่าเราให้เกียรติพวกเขาในฐานะมนุษย์และพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเขา แต่ถ้าเราทำงาน “เหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า” โดยขอให้พระองค์ทรงนำและเจิมงานที่เราทำเพื่อพระองค์แล้วล่ะก็ พระองค์จะทำให้ความพยายามของเราปรากฏชัด แล้วรางวัลของเราคืออะไร ก็คือความกดดันในการงานจะคลี่คลาย และงานที่ได้รับมอบหมายจะสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น วันหนึ่งเราจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า “ดีมาก”

วิ่งหนีจากบาป

ฤดูร้อนนี้ฉันต้องทนทุกข์ทรมานจากต้นพอยซั่นไอวี่ถึงสองครั้ง ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นตอนที่ฉันพยายามกำจัดต้นไม้ที่ไม่ต้องการออกไปจากสวนบ้านเรา และทั้งสองครั้งนั้น ฉันเห็นต้นไม้ตัวร้ายขึ้นอยู่ใกล้ๆ ฉันคิดว่าจะสามารถเข้าไปใกล้ได้โดยไม่เป็นอะไร แต่ไม่นานฉันก็รู้ว่าคิดผิด แทนที่จะเข้าไปใกล้กับต้นไม้พิษนั้น ฉันควรจะวิ่งไปอีกทางหนึ่ง!

จากเรื่องราวของโยเซฟในพันธสัญญาเดิม เราเห็นตัวอย่างของการวิ่งหนีจากสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าต้นพอยซั่นไอวี่ นั่นคือความบาป เมื่อโยเซฟอาศัยอยู่ในบ้านของข้าราชการชาวอียิปต์ชื่อโปทิฟาร์ ภรรยาของโปทิฟาร์พยายามยั่วยวนโยเซฟ โยเซฟไม่ยอมที่จะเข้าใกล้ เขาวิ่งหนี

แม้ว่านางจะกล่าวหาโยเซฟด้วยความเท็จและทำให้ท่านต้องถูกส่งไปอยู่ในคุก โยเซฟยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ในตลอดเรื่องราว และดังที่เราเห็นในปฐมกาล 39:21 ว่า “​พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ”

พระเจ้าทรงสามารถช่วยให้เราหลีกหนีจากกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่อาจนำเราออกห่างจากพระองค์ โดยการนำเราวิ่งไปอีกทางหนึ่งเวลาที่บาปเข้ามาใกล้ ใน 2 ทิโมธี 2:22 เปาโลเขียนไว้ว่า “​จงหลีกหนีเสียจากราคะตัณหา​” และใน 1 โครินธ์ 6:18 ท่านกล่าวว่า “จงหลีกเลี่ยงเสียจากการล่วงประเวณี” โดยพระกำลังของพระเจ้า ขอให้เราเลือกที่จะวิ่งออกจากสิ่งที่อาจทำอันตรายแก่เรา

เพื่อนของเพื่อนพระเจ้า

เมื่อคนสองคนพบกันครั้งแรก ความเป็นกันเองจะเกิดขึ้นหากทั้งสองพบว่าพวกเขามีเพื่อนคนเดียวกัน รูปแบบที่อาจเป็นที่น่าจดจำที่สุดคือเมื่อเจ้าของบ้านใจดีต้อนรับแขกด้วยคำพูดประมาณว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก เพื่อนของแซม หรือเพื่อนของซาแมนธา ก็เป็นเพื่อนของฉันด้วย”

พระเยซูตรัสบางอย่างที่คล้ายกันนี้ด้วย พระองค์ได้รับความสนใจจากฝูงชนจากการที่ทรงรักษาคนเจ็บป่วยมากมาย แต่พระองค์ก็ได้ทรงสร้างศัตรูกับผู้นำศาสนา โดยการไม่เห็นด้วยกับวิธีที่พวกเขาทำให้พระวิหารกลายเป็นที่ซื้อขายและใช้อิทธิพลของตนในทางที่ผิด ในท่ามกลางความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้น พระองค์ทรงเดินหน้าเพื่อเพิ่มพูนความยินดี มูลค่า และความมหัศจรรย์ของการปรากฏตัวของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้สาวกสามารถรักษาคนป่วยได้และส่งพวกเขาออกไปประกาศว่าแผ่นดินของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว พระองค์ทรงรับรองกับเหล่าสาวกว่า “ผู้ที่รับท่านทั้งหลายก็รับเรา” (มธ.10:40) และรวมถึงรับพระบิดาผู้ทรงใช้พระองค์มาเช่นกัน

ไม่น่าจะมีสิ่งใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้มากกว่ามิตรภาพอีกแล้ว สำหรับใครที่จะเปิดบ้านของตน หรือแม้แต่ให้น้ำเย็นสักแก้วแก่ผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซู พระองค์ทรงรับรองว่าพวกเขาจะได้อยู่ในพระทัยของพระเจ้า แม้เวลานั้นจะผ่านมานานมากแล้ว แต่คำตรัสของพระองค์เตือนเราว่า การแสดงความเมตตาและการต้อนรับขับสู้ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ ก็ยังคงเป็นการให้การต้อนรับและรับการต้อนรับ ในฐานะเพื่อนของเพื่อนพระเจ้า

การจัดเตรียมของพระเจ้า

บัดดี้วัยสามขวบกับแม่ไปโบสถ์ทุกสัปดาห์เพื่อช่วยขนของกินของใช้ลงจากรถบรรทุกของพันธกิจแจกอาหาร เมื่อบัดดี้ได้ยินแม่บอกคุณยายว่ารถส่งของเสีย เขาพูดว่า “ไม่น่าเลย แล้วพวกเขาจะทำพันธกิจแจกอาหารได้ยังไงกัน” แม่อธิบายว่าคริสตจักรจะต้องระดมเงินเพื่อซื้อรถบรรทุกคันใหม่ บัดดี้ยิ้ม “ผมมีเงิน” เขาพูดแล้วเดินออกไปจากห้อง เขากลับเข้ามาพร้อมกับขวดพลาสติกที่ตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์สีสันสดใสที่มีเหรียญเต็มขวด นับได้ 38 เหรียญกว่า แม้บัดดี้จะไม่ได้มีเงินมาก พระเจ้าทรงรับการถวายของเขารวมกับเงินถวายของคนอื่นๆ และจัดเตรียมรถบรรทุกห้องเย็นคันใหม่ให้คริสตจักรสามารถทำพันธกิจรับใช้ชุมชนต่อไปได้

สิ่งเล็กน้อยที่ถูกมอบให้ด้วยใจกว้างขวางนั้นเพียงพอเสมอเมื่ออยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ใน 2 พงศ์กษัตริย์ 4 หญิงม่ายยากจนคนหนึ่งขอให้ผู้เผยพระวจนะเอลีชาช่วยเหลือด้านการเงิน ท่านจึงบอกให้นางดูว่ามีอะไรอยู่ในบ้าน ให้ออกไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน แล้วให้ทำตามที่ท่านบอก (ข้อ 1-4) พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้นางอย่างอัศจรรย์ โดยใช้น้ำมันที่นางมีอยู่เล็กน้อยเทใส่ภาชนะที่ยืมมาจากเพื่อนบ้านจนเต็มหมด (ข้อ 5-6) เอลีชาบอกนางว่า “ขายน้ำมันเสียเอาเงินชำระหนี้ของเจ้า ที่เหลือนอกนั้นเจ้าและบุตรของเจ้าจงใช้เลี้ยงชีวิต” (ข้อ 7)

เมื่อเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราไม่มี เราก็อาจพลาดที่จะเห็นว่าพระเจ้าทรงกระทำการใหญ่กับสิ่งที่เรามี

เดินเคียงข้างผู้อื่น

บิลลี่สุนัขใจดีและซื่อสัตย์กลายเป็นดาราในอินเทอร์เน็ตในปี 2020 รัสเซลเจ้าของบิลลี่ข้อเท้าหักและใช้ไม้ค้ำยันเวลาเดิน ต่อมาไม่นานบิลลี่เริ่มเดินกะโผลกกะเผลกเวลาที่เดินไปกับเจ้าของ ด้วยความเป็นห่วงรัสเซลจึงพาบิลลี่ไปหาสัตวแพทย์ซึ่งบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ! บิลลี่วิ่งเป็นปกติเวลาอยู่ตามลำพัง ปรากฏว่าบิลลี่แกล้งเดินกะเผลกเวลาเดินกับเจ้าของ นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าการพยายามเข้าใจในความเจ็บปวดของคนอื่นอย่างแท้จริง!

การอยู่เคียงข้างผู้อื่นคือสิ่งสำคัญในลำดับแรกๆที่เปาโลสอนคริสตจักรในกรุงโรม ท่านสรุปห้าข้อสุดท้ายของบัญญัติสิบประการว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (รม.13:9) เราเห็นความสำคัญของการเดินเคียงข้างผู้อื่นในข้อ 8 ด้วยว่า “อย่าเป็นหนี้อะไรใคร นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน”

นักเขียน เจนนี่ อัลเบอส์ ให้คำแนะนำไว้ว่า “เวลาที่มีคนชอกช้ำ อย่าพยายามแก้ไขเขา (คุณทำไม่ได้) เวลาที่มีคนเจ็บปวด อย่าพยายามเอาความเจ็บนั้นไปจากเขา (คุณทำไม่ได้) แต่จงรักพวกเขาด้วยการเดินเคียงข้างไปกับเขาในความเจ็บปวดนั้น (คุณทำได้) เพราะบางครั้งสิ่งที่คนเราต้องการคือ การรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”

เพราะพระเยซูองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเดินเคียงข้างไปกับเราผ่านความเสียใจและความเจ็บปวด เราจึงรู้ว่าการเดินเคียงข้างผู้อื่นนั้นมีความหมายเพียงใด

อธิษฐานลงลึกในช่วงเวลามืดมน

“ฉันเคยมีช่วงเวลาที่มืดมน” คำพูดนี้ถ่ายทอดความทุกข์ทรมานใจของหญิงผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในช่วงที่มีโรคระบาดใหญ่โควิด 19 การต้องปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตใหม่เป็นหนึ่งในความท้าทายของเธอ และในความสับสนวุ่นวาย เธอยอมรับว่าเธอต่อสู้กับความคิดที่จะฆ่าตัวตาย เธอหลุดพ้นจากการจมดิ่งซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการได้เล่าปัญหาให้เพื่อนที่ห่วงใยเธอฟัง

เราทุกคนต่างหวั่นไหวกับชั่วโมง วัน และฤดูกาลที่สับสนว้าวุ่น หุบเขาและความยากลำบากไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การออกจากสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเรื่องท้าทาย การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตบางครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็น

ในสดุดี 143 เราได้ยินและได้รับการสอนจากคำอธิษฐานของดาวิดในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของท่าน เราไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คำอธิษฐานของท่านต่อพระเจ้านั้นตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยความหวัง “​ศัตรูไล่กวดข้าพระองค์ มันขยี้ชีวิตข้าพระองค์ลงถึงดิน มันได้กระทำให้ข้าพระองค์นั่งในที่มืดเหมือนคนที่ตายนานแล้ว เพราะฉะนั้นใจของข้าพระองค์อ่อนระอาอยู่ในข้าพระองค์ จิตใจภายในข้าพระองค์ก็กลัวลาน” (ข้อ 3-4) สำหรับผู้เชื่อในพระเยซูการยอมรับกับตนเอง กับเพื่อน หรือกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตัวเรานั้นไม่พอ เราต้องเข้ามาหาพระเจ้าอย่างกระตือรือร้น (ทั้งความคิดและทุกอย่าง) ด้วยคำอธิษฐานที่มีการวิงวอนเช่นเดียวกับที่พบในสดุดี 143:7-10 ช่วงเวลาแห่งความมืดมนของเราอาจเป็นช่วงเวลาแห่งการอธิษฐานลงลึกเพื่อแสวงหาแสงสว่างและชีวิตที่มีพระเจ้าเท่านั้นจะประทานให้ได้

ไกลกว่ากางเขน

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ความตึงเครียดได้เพิ่มสูงขึ้นระหว่างคริสเตียนกับผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนในภาคกลางของประเทศอินเดีย ชายหนุ่มคนหนึ่งรับคำสั่งให้ปีนขึ้นไปบนยอดตึกสามชั้นแล้วรื้อไม้กางเขนลงจากหลังคา แต่เขาทำไม่สำเร็จ อันที่จริงเขาตกจากหลังคาลงไปที่ถนนและได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เขาถูกวางบนเปลข้างผู้ป่วยที่เชื่อในพระเยซู

เมื่อผู้เชื่อคนนั้นบอกชายที่บาดเจ็บถึงความหมายของกางเขน และสิ่งที่พระคริสต์ทำเพื่อเขาบนกางเขนนั้น หัวใจของเขาได้รับการสัมผัส เขาร้องว่า “พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า! โปรดยกโทษให้ผม! ผมไม่ได้ตั้งใจทำสิ่งนี้ พวกเขาบังคับให้ผมทำ”

ไม่ว่าผู้คนจะพยายามทำอะไรเพื่อขจัดสัญลักษณ์ของคริสตศาสนา เรารู้ว่าพวกเขาไม่อาจหยุดยั้งเรื่องราวที่เป็นสาระสำคัญของคริสตศาสนาได้ เปาโลกล่าวว่า “เรื่องกางเขนเป็น...ฤทธานุภาพของพระเจ้า” (1 คร.1:18) แม้แต่พระเยซูตรัสว่า พลังแห่งความตายก็ไม่อาจมีชัยเหนือคริสตจักรได้ (มธ.16:18)

กางเขนเป็นสัญลักษณ์ของคริสตศาสนา แต่สัญลักษณ์นั้นไม่มีค่าสำหรับคนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่พระคริสต์ทรงกระทำบนกางเขน พระองค์สิ้นพระชนม์ที่นั่นเพื่อยกโทษการละเมิดทั้งหลาย (คส.2:13-14) ไม่ใช่เพื่อสร้างรูปไว้บูชา

คุณได้ก้าวข้ามสัญลักษณ์ของกางเขนและวางใจในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงสิ้นพระชนม์ที่นั่นแล้วหรือยัง หากว่ายัง ก็จงทำเสียในวันนี้!

การเปลี่ยนแปลงใหญ่

คันธนูและลูกธนูอันวิจิตรงดงามสำหรับใช้ในโอกาสพิเศษถูกแขวนบนผนังบ้านของเราในมิชิแกนมาหลายปี ผมได้รับตกทอดมาจากพ่อที่ซื้อมันเป็นของที่ระลึกขณะที่เรารับใช้เป็นมิชชันนารีอยู่ในประเทศกาน่า

วันหนึ่งเพื่อนชาวกาน่ามาเยี่ยมเรา เมื่อเห็นธนูเขาทำหน้าแปลกๆ เขาพูดขณะชี้ไปที่สิ่งของเล็กๆที่มัดติดอยู่กับธนูนั้นว่า “นั่นเป็นเครื่องรางของขลัง ผมรู้ว่ามันไม่มีอำนาจอะไร แต่ผมจะไม่เก็บมันไว้ในบ้านของผม” เรารีบตัดเครื่องรางออกจากธนูแล้วทิ้งไป เราไม่ต้องการให้บ้านเรามีสิ่งของที่ใช้นมัสการพระอื่นใดนอกเหนือจากพระเจ้า

โยสิยาห์ กษัตริย์ผู้ครอบครองในเยรูซาเล็มทรงเติบโตขึ้นด้วยความรู้เพียงน้อยนิดในเรื่องความคาดหวังที่พระเจ้ามีต่อประชากรของพระองค์ เมื่อมหาปุโรหิตค้นพบหนังสือธรรมบัญญัติในพระนิเวศที่ถูกละเลยมาเป็นเวลานาน (2 พกษ.22:8) โยสิยาห์ทรงอยากสดับฟัง ทันทีที่พระองค์รู้ว่าพระเจ้าตรัสไว้อย่างไรเรื่องการกราบไหว้รูปเคารพ พระองค์ทรงออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อให้ยูดาห์ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า เป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ยิ่งกว่าการตัดเครื่องรางออกจากคันธนูมากนัก (ดู 2 พกษ.23:3-7)

ผู้เชื่อในปัจจุบันนี้มีหลายสิ่งมากยิ่งกว่าที่โยสิยาห์มี เรามีพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่จะสอนเรา เรามีเพี่อนผู้เชื่อ และเรามีการเต็มล้นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงนำสิ่งต่างๆมาสู่ความสว่างไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กหรือใหญ่ที่เราอาจมองข้ามไป

ความบริบูรณ์และความขัดสน

โรงอาหารของโรงเรียนก็เหมือนกับธุรกิจจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ที่มักจะเตรียมอาหารไว้เกินการบริโภคจริง เพราะพวกเขาไม่สามารถกะปริมาณอาหารให้พอดีได้ อาหารที่เหลือก็ถูกทิ้งไป แต่ยังมีนักเรียนจำนวนมากที่ไม่มีอาหารพอกินที่บ้านและต้องหิวโหยในวันหยุดสุดสัปดาห์ เขตการศึกษาแห่งหนึ่งในสหรัฐร่วมมือกับองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไรเพื่อหาทางออก พวกเขาบรรจุอาหารที่เหลือให้นักเรียนนำกลับบ้าน และสามารถแก้ปัญหาอาหารเหลือทิ้งและความหิวโหยไปพร้อมๆกัน

ในขณะที่คนส่วนมากจะไม่มองว่าการมีเงินจำนวนมากเป็นปัญหาเหมือนกับที่เรามองเรื่องอาหารเหลือทิ้ง แต่หลักการเบื้องหลังโครงการของโรงเรียนนั้นก็เหมือนกับที่เปาโลแนะนำไว้ในจดหมายถึงชาวเมืองโครินธ์ ท่านรู้ว่าคริสตจักรในมาซิโดเนียกำลังเผชิญกับความขาดแคลน ท่านจึงขอคริสตจักรในเมืองโครินธ์ให้ใช้การมี “บริบูรณ์” ของพวกเขา “ช่วยคนเหล่านั้นที่ขัดสน” (2 คร.8:14) ท่านมีความมุ่งหมายจะให้เกิดการให้กันไปมาระหว่างคริสตจักร เพื่อจะไม่มีบางคริสตจักรที่มีมากเกินไปในขณะที่บางคริสตจักรกลับขาดแคลน

เปาโลไม่ได้ต้องการให้ผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ต้องลำบากจากการให้ของพวกเขา แต่อยากให้มีความเห็นอกเห็นใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อชาวมาซิโดเนีย โดยตระหนักว่าวันใดวันหนึ่งในอนาคต พวกเขาคงต้องการความช่วยเหลือเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อเราเห็นผู้ที่ขัดสน ให้เราคิดดูว่าเรามีอะไรจะแบ่งปันได้บ้าง การให้ของเราไม่ว่าจะมากหรือน้อย จะไม่มีวันสูญเปล่า!

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา