“ฉันเคยมีช่วงเวลาที่มืดมน” คำพูดนี้ถ่ายทอดความทุกข์ทรมานใจของหญิงผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในช่วงที่มีโรคระบาดใหญ่โควิด 19 การต้องปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตใหม่เป็นหนึ่งในความท้าทายของเธอ และในความสับสนวุ่นวาย เธอยอมรับว่าเธอต่อสู้กับความคิดที่จะฆ่าตัวตาย เธอหลุดพ้นจากการจมดิ่งซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการได้เล่าปัญหาให้เพื่อนที่ห่วงใยเธอฟัง

เราทุกคนต่างหวั่นไหวกับชั่วโมง วัน และฤดูกาลที่สับสนว้าวุ่น หุบเขาและความยากลำบากไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การออกจากสิ่งเหล่านั้นอาจเป็นเรื่องท้าทาย การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตบางครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็น

ในสดุดี 143 เราได้ยินและได้รับการสอนจากคำอธิษฐานของดาวิดในช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของท่าน เราไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คำอธิษฐานของท่านต่อพระเจ้านั้นตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยความหวัง “​ศัตรูไล่กวดข้าพระองค์ มันขยี้ชีวิตข้าพระองค์ลงถึงดิน มันได้กระทำให้ข้าพระองค์นั่งในที่มืดเหมือนคนที่ตายนานแล้ว เพราะฉะนั้นใจของข้าพระองค์อ่อนระอาอยู่ในข้าพระองค์ จิตใจภายในข้าพระองค์ก็กลัวลาน” (ข้อ 3-4) สำหรับผู้เชื่อในพระเยซูการยอมรับกับตนเอง กับเพื่อน หรือกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตัวเรานั้นไม่พอ เราต้องเข้ามาหาพระเจ้าอย่างกระตือรือร้น (ทั้งความคิดและทุกอย่าง) ด้วยคำอธิษฐานที่มีการวิงวอนเช่นเดียวกับที่พบในสดุดี 143:7-10 ช่วงเวลาแห่งความมืดมนของเราอาจเป็นช่วงเวลาแห่งการอธิษฐานลงลึกเพื่อแสวงหาแสงสว่างและชีวิตที่มีพระเจ้าเท่านั้นจะประทานให้ได้