Month: มีนาคม 2022

สถานทูตของพระเจ้า

ลุดมิลล่า หญิงม่ายวัย 82 ปีได้ประกาศให้บ้านของเธอในสาธารณรัฐเช็กเป็น “สถานทูตแห่งแผ่นดินสวรรค์” เธอกล่าวว่า “บ้านของฉันเป็นส่วนต่อขยายจากแผ่นดินของพระคริสต์” เธอต้อนรับขับสู้คนแปลกหน้าและเพื่อนที่เจ็บปวดและขัดสนด้วยความรัก บางครั้งก็จัดอาหารและที่นอนให้ เธอทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความเมตตาและด้วยใจอธิษฐานเสมอ เธอเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเธอดูแลผู้มาเยือนเหล่านี้ เธอยินดีที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพวกเขา

ลุดมิลล่ารับใช้พระเยซูโดยการเปิดบ้านและหัวใจของเธอ ตรงข้ามกับผู้นำทางศาสนาที่พระเยซูเสวยพระกระยาหารในบ้านของเขาในวันสะบาโต พระองค์ทรงบอกครูสอนศาสนานั้นว่า เขาควรเชิญ “คนจน คนพิการ คนเขยก คนตาบอด” มาที่บ้านของเขา ไม่ใช่คนที่จะสามารถตอบแทนเขาได้ (ลก.14:13) คำตรัสของพระเยซูแฝงความหมายว่าฟาริสีคนนั้นเชิญพระองค์มาด้วยใจถือดี (ข้อ 12) แต่ลุดมิลล่าเชิญคนมาที่บ้านของเธอเพื่อที่เธอจะได้เป็น “เครื่องมือแห่งความรักและพระปัญญาของพระเจ้า”

การรับใช้ผู้อื่นด้วยความถ่อมใจเป็นวิธีหนึ่งที่เราจะได้เป็น “ตัวแทนแห่งแผ่นดินสวรรค์” อย่างที่ลุดมิลล่าพูด ไม่ว่าเราจะจัดหาเตียงให้คนแปลกหน้านอนได้หรือไม่ แต่เราให้ความสำคัญกับความขัดสนของผู้อื่นก่อนตัวเราเองด้วยวิธีที่แตกต่างและสร้างสรรค์ได้ เราจะขยายแผ่นดินของพระเจ้าในที่ที่เราอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร

พระเจ้าทรงชำระมลทิน

จะเป็นอย่างไรถ้าเสื้อผ้าของเราสามารถทำความสะอาดตัวเองได้หลังจากที่เราทำซอสมะเขือเทศ มัสตาร์ด หรือเครื่องดื่มหกเลอะมัน จากการรายงานของสำนักข่าวบีบีซี วิศวกรในประเทศจีนได้พัฒนา “สารเคลือบพิเศษที่ทำให้ผ้าฝ้ายสามารถทำความสะอาดตัวเองจากคราบและกลิ่นได้เมื่อสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต” คุณนึกออกไหมว่าการมีเสื้อผ้าที่ทำความสะอาดตัวเองได้จะส่งผลกระทบอะไร

สารเคลือบที่ทำความสะอาดตัวเองได้อาจใช้ได้กับเสื้อผ้าที่สกปรก แต่มีพระเจ้าเท่านั้นที่ชำระจิตวิญญาณที่แปดเปื้อนได้ ในสมัยยูดาห์พระเจ้าทรงกริ้วคนของพระองค์ที่ได้ “หันหลัง” ให้พระองค์ ยอมให้ตนเองเสื่อมทรามลงและชั่วร้าย และนมัสการพระอื่น (อสย.1:2-4) ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ พวกเขาพยายามที่จะชำระตัวให้สะอาดด้วยการถวายเครื่องบูชา เผาเครื่องหอม พร่ำอธิษฐาน และมาประชุมตามพิธี แต่ความหน้าซื่อใจคดและใจบาปของพวกเขายังคงอยู่ (ข้อ 12-13) วิธีแก้ไขคือพวกเขาจะต้องรู้สึกสำนึก กลับใจและนำจิตวิญญาณที่มีมลทินเข้ามาหาพระเจ้าผู้บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยความรัก พระคุณของพระเจ้าจะชำระพวกเขาและทำให้จิตวิญญาณของพวกเขา “ขาวอย่างหิมะ” (ข้อ 18)

เมื่อเราทำบาป การแก้ไขด้วยการทำความสะอาดตนเองนั้นทำไม่ได้ เราต้องยอมรับในความผิดบาปด้วยใจถ่อมและสำนึกผิด แล้ววางบาปนั้นภายใต้แสงแห่งการทรงชำระด้วยความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราต้องหันจากบาปและกลับมาหาพระเจ้า และพระเจ้าผู้เดียวที่ทรงชำระมลทินแห่งจิตวิญญาณได้ จะประทานการอภัยโทษอันสมบูรณ์และการเริ่มต้นสามัคคีธรรมกับพระองค์ใหม่อีกครั้ง

ก้าวพ้นขอบเขตของสิ่งที่รู้

วันนั้นเป็นวันที่แย่เมื่อสามีของฉันรู้ว่า เขาก็เหมือนกับคนอื่นมากมายที่จะต้องถูกให้หยุดพักงานชั่วคราวในอีกไม่ช้าซึ่งเป็นผลจากการระบาดของโควิด 19 เราเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงดูแลสิ่งจำเป็นพื้นฐานให้แก่เรา แต่ความไม่แน่นอนของสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ยังน่าหวาดหวั่นอยู่ดี

ขณะที่ฉันจัดการกับอารมณ์ที่สับสนของตัวเอง ฉันย้อนกลับไปคิดถึงบทกวีที่ชื่นชอบซึ่งเขียนโดยนักปฏิรูปแห่งศตวรรษที่ 16 ที่ชื่อ ยอห์นแห่งไม้กางเขน บทกวีมีชื่อว่า “ฉันเข้าไป แต่ฉันไม่รู้ว่าที่ไหน” บทกวีนี้บรรยายถึงความมหัศจรรย์ในเส้นทางของการยอมจำนน เมื่อเรา “ก้าวพ้นขอบเขตของสิ่งที่รู้” เราก็เรียนรู้ที่จะ “มองหาพระเจ้าที่ทรงแฝงพระองค์มาในทุกรูปแบบ” และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันและสามีพยายามทำในช่วงเวลานั้น คือหันเหความสนใจของเราจากสิ่งที่เราเข้าใจและควบคุมได้ ไปสู่การค้นพบพระเจ้ารอบตัวเราในหนทางที่ไม่อาจคาดคิด ลึกลับ และงดงาม

อัครทูตเปาโลเชิญชวนผู้เชื่อให้เข้าสู่การเดินทางจากสิ่งที่มองเห็นได้ไปสู่สิ่งที่มองไม่เห็น จากความจริงภายนอกสู่ความจริงภายใน และจากความทุกข์ยากชั่วคราวสู่ “ศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้” (2 คร.4:17)

เปาโลไม่ได้เรียกร้องเช่นนี้เพราะท่านไม่มีเมตตาในความทุกข์ยากของผู้เชื่อ ท่านรู้ว่าพวกเขาจะได้รับการปลอบโยน ความยินดี และความหวังที่โหยหา ก็ต่อเมื่อพวกเขายอมปล่อยมือจากสิ่งที่ตนเองรู้และเข้าใจ (ข้อ 10, 15-16) พวกเขาจะได้รู้ว่าความอัศจรรย์แห่งชีวิตของพระคริสต์ทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นสิ่งใหม่

สันติสุขของพระองค์

เป็นเวลาหลายเดือนที่ฉันต้องรับมือกับการใช้เล่ห์กลและการเมืองในที่ทำงานอย่างหนักหน่วง ความวิตกกังวลเป็นนิสัยของฉัน ฉันจึงประหลาดใจที่ตนเองมีสันติสุข แทนที่จะรู้สึกวิตกฉันสามารถตอบโต้อย่างใจเย็นและมีสติ ฉันรู้ว่าสันติสุขนี้มาจากพระเจ้าเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม มีช่วงเวลาอื่นในชีวิตฉันที่ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี แต่ฉันกลับรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ลึกๆ ฉันรู้ว่านั่นเป็นเพราะฉันวางใจในความสามารถของตนเอง แทนที่จะวางใจในพระเจ้าและการทรงนำของพระองค์ เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันตระหนักว่าสันติสุขที่แท้จริงคือสันติสุขของพระเจ้านั้น ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยสถานการณ์ แต่โดยความไว้วางใจในพระองค์

สันติสุขของพระเจ้ามาถึงเราเมื่อใจของเราแน่วแน่ (อสย.26:3) ในภาษาฮีบรู คำว่า แน่วแน่ หมายถึง “การพึ่งพา” เมื่อเราพึ่งพาในพระองค์ เราจะพบกับการทรงสถิตอันสุขสงบของพระองค์ เราวางใจในพระเจ้าได้ โดยระลึกว่าพระองค์จะทำให้ผู้จองหองและคนชั่วถ่อมใจ และกระทำให้วิถีของคนชอบธรรมราบรื่น (ข้อ 5-7)

ตอนที่ฉันได้พบสันติสุขในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมากกว่าในตอนที่สบายนั้น ฉันค้นพบว่าสันติสุขของพระเจ้าไม่ใช่การไม่มีปัญหาขัดแย้ง แต่เป็นการรับรู้อย่างชัดเจนในส่วนลึกถึงความปลอดภัยแม้อยู่ท่ามกลางความวิตกกังวล เป็นสันติสุขที่เกินความเข้าใจของมนุษย์และคุ้มครองจิตใจและความคิดของเราไว้ในท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด (ฟป.4:6-7)

หัวใจสำคัญของการอธิษฐาน

เมื่ออับราฮัม ลินคอล์นขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เขามีภารกิจในการนำประเทศที่กำลังแตกแยก ลินคอล์นถูกมองว่าเป็นผู้นำที่ฉลาดและมีคุณธรรม แต่มีอีกปัจจัยหนึ่งของภาพลักษณ์ภายนอกนี้ ซึ่งอาจเป็นที่มาของทุกอย่างคือ ลินคอล์นรู้ว่าเขาไม่มีความสามารถพอกับงานที่อยู่ตรงหน้า แล้วเขาตอบสนองอย่างไรกับความไม่ดีพอนั้น ลินคอล์นกล่าวว่า “ผมถูกผลักดันให้ต้องคุกเข่าลงหลายครั้งด้วยความแน่ใจอันท่วมท้นว่าผมไม่มีที่อื่นใดให้ไปอีกแล้ว สติปัญญาและทุกอย่างที่ผมมีดูเหมือนจะไม่เพียงพอสำหรับเวลานั้น”

เมื่อเรามาถึงจุดที่ตระหนักว่าปัญหาในชีวิตนั้นช่างหนักหนา และพบว่าสติปัญญา ความรู้หรือกำลังของเรานั้นจำกัดเหลือเกิน เราจะได้พบเหมือนกับลินคอล์นว่า เราต้องพึ่งพาพระเยซูในทุกทาง พระองค์ทรงไร้ซึ่งขีดจำกัดใดๆ เปโตรเตือนเราถึงการพึ่งพานี้เมื่อท่านเขียนว่า “จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย” (1 ปต.5:7)

ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อลูกๆของพระองค์ ผนวกเข้ากับฤทธิ์อำนาจที่ไร้ขีดจำกัดทำให้พระองค์เป็นผู้ทรงสมควรที่สุดที่เราจะเข้าไปหาพร้อมด้วยความอ่อนแอที่มี และนี่คือหัวใจสำคัญของการอธิษฐาน คือการที่เราเข้าหาพระเยซูโดยยอมรับต่อพระองค์ (และต่อตนเอง) ว่าเราไม่มีความสามารถพอ และพระองค์ทรงสามารถมากพอไปตลอดนิรันดร์กาล ลินคอล์นพูดว่าเขารู้สึกเหมือน “ไม่มีที่อื่นใดให้ไปอีกแล้ว” แต่เมื่อเราเริ่มเข้าใจถึงความห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีต่อเราอย่างมากมาย นั่นก็เป็นข่าวดีที่ยอดเยี่ยม เราเข้าไปหาพระเจ้าได้!

ชีวิตแห่งความสัตย์ซื่อ

อาเบล มูไต นักวิ่งชาวเคนย่าเข้าแข่งขันในการวิ่งข้ามทุ่งระดับนานาชาติอันแสนทรหด เขาวิ่งนำทิ้งระยะห่างและอยู่ใกล้เส้นชัยเพียงไม่กี่เมตร แต่ด้วยความสับสนกับป้ายในสนามและคิดว่าเขาเข้าเส้นชัยแล้ว มูไตจึงหยุดวิ่ง นักวิ่งชาวสเปน อีวาน เฟอร์นันเดซ อนายา ซึ่งมาเป็นที่สองเห็นความผิดพลาดของมูไต แต่แทนที่จะฉวยโอกาสและพุ่งแซงเพื่อให้ได้เป็นผู้ชนะ เขาวิ่งมาทันมูไต และยื่นมือเพื่อดันมูไตให้ไปข้างหน้าจนเข้าสู่เส้นชัยเพื่อคว้าเหรียญทอง เมื่อนักข่าวถามอนายาว่าทำไมเขาจึงจงใจแพ้การแข่งขัน เขายืนยันว่ามูไตสมควรได้รับชัยชนะไม่ใช่ตัวเขา “ถ้าผมชนะแล้วจะมีประโยชน์อะไร เหรียญนั้นจะเป็นเกียรติอย่างไร แม่ของผมจะคิดอย่างไร” รายงานข่าวชิ้นหนึ่งกล่าวว่า “อนายาเลือกความซื่อสัตย์เหนือชัยชนะ”

พระธรรมสุภาษิตกล่าวว่าผู้ที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์ ผู้ซึ่งต้องการให้ชีวิตของตนสำแดงความสัตย์ซื่อและความถูกต้อง จะตัดสินใจบนความถูกต้องจริงแท้มากกว่าผลประโยชน์ “ความสัตย์ซื่อของคนที่เที่ยงธรรมย่อมนำเขา” (11:3) การอุทิศทุ่มเทเพื่อความสัตย์ซื่อนี้ไม่ใช่เป็นเพียงวิธีที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต แต่ยังจะทำให้มีชีวิตที่ดีกว่า สุภาษิตกล่าวต่อไปว่า “แต่ความคดโกงของคนทรยศย่อมทำลายเขา” (ข้อ 3) ความไม่สัตย์ซื่อไม่เป็นคุณในระยะยาว

หากเราละทิ้งความสัตย์ซื่อ “ชัยชนะ” ที่ได้มาในระยะเวลาสั้นๆแท้จริงแล้วจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ แต่เมื่อความสัตย์ซื่อและความจริงหล่อหลอมเราในฤทธิ์เดชของพระเจ้า เราจะค่อยๆกลายเป็นคนที่มีคุณลักษณะที่ดีพร้อม ผู้ซึ่งจะดำเนินชีวิตที่ดีอย่างแท้จริง

พระเจ้าอยู่ไหน

หนังสือของมาร์ติน แฮนด์ฟอร์ดที่ชื่อวาลโด้อยู่ที่ไหน เป็นชุดหนังสือปริศนาสำหรับเด็กที่มีขึ้นครั้งแรกในปี 1987 ด้านในมีภาพชายสวมเสื้อเชิ้ตลายทางสีแดงสลับขาวและถุงเท้ากับหมวกที่เข้าชุดกัน เขาใส่กางเกงยีนส์สีฟ้า รองเท้าบูทสีน้ำตาลและสวมแว่น แฮนด์ฟอร์ดได้ซ่อนวาลโด้ไว้อย่างแนบเนียนในภาพประกอบที่ดูสับสนวุ่นวายเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก การมองหาวาลโด้ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป แต่ผู้เขียนสัญญาว่าผู้อ่านจะหาเขาเจอได้ ถึงแม้ว่าการมองหาพระเจ้าจะไม่เหมือนกับการมองหาวาลโด้ในหนังสือภาพปริศนา แต่องค์พระผู้สร้างของเราทรงสัญญาว่าเราจะหาพระองค์พบได้เช่นกัน

พระเจ้าทรงสอนประชากรของพระองค์ผ่านทางเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะถึงวิธีการใช้ชีวิตอย่างคนพลัดถิ่นที่ถูกเนรเทศ (ยรม.29:4-9) พระองค์ทรงสัญญาว่าจะปกป้องพวกเขาจนกว่าพระองค์จะทรงฟื้นฟูพวกเขาตามแผนการอันเลิศประเสริฐของพระองค์ (ข้อ 10-11) พระเจ้าทรงรับรองกับชนชาติอิสราเอลว่า การทำตามพระสัญญาของพระองค์จะทำให้การที่พวกเขาร้องเรียกหาพระองค์ด้วยคำอธิษฐานนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น (ข้อ 12)

ทุกวันนี้ แม้พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองผ่านเรื่องราวของพระเยซูและโดยทางพระวิญญาณ เราก็ยังถูกทำให้ไขว้เขวได้ง่ายจากความสับสนวุ่นวายในโลก เราอาจถูกทดลองให้ถามด้วยซ้ำไปว่า “พระเจ้าอยู่ไหน” อย่างไรก็ตาม องค์พระผู้สร้างและผู้ทรงค้ำจุนสรรพสิ่งทรงประกาศว่า ประชากรของพระองค์จะพบพระองค์ได้หากพวกเขาแสวงหาพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจ (ข้อ 13-14)

และอีกเจ็ดคน

ในเดือนมกราคม ปี 2020 ได้เกิดเหตุสลดใจขึ้นใกล้กับเมืองลอสแอนเจลิส มีผู้เสียชีวิตเก้าคนจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก หัวข้อข่าวส่วนใหญ่ระบุในทำนองว่า “โคบี้ ไบรอันท์ ผู้เล่นดาวเด่นของเอ็นบีเอ จีแอนน่า (จีจี้) ลูกสาวของเขา และอีกเจ็ดคนเสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้”

เป็นเรื่องปกติและเข้าใจได้ที่จุดสนใจจะไปอยู่ที่คนมีชื่อเสียงซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุเลวร้ายเช่นนี้ และการจากไปของโคบี้กับจีจี้ลูกสาววัยรุ่นของเขานั้นสะเทือนใจเกินจะบรรยาย แต่เราต้องไม่ลืมว่าในภาพใหญ่ของชีวิตไม่มีเส้นแบ่งที่ทำให้ “อีกเจ็ดคน” (เพย์ตัน ซาร่าห์ คริสติน่า อลิสซ่า จอห์น เครี่ และเอร่า) มีความสำคัญที่น้อยกว่า

บางครั้งเราจำเป็นต้องได้รับการเตือนว่ามนุษย์แต่ละคนสำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้า สังคมส่องไฟแห่งความสนใจไปยังคนร่ำรวยและมีชื่อเสียง แต่ชื่อเสียงก็ไม่ได้ทำให้คนๆหนึ่งสำคัญไปกว่าเพื่อนบ้านของคุณ เด็กๆที่เล่นกันเสียงดังที่ถนน คนดวงตกในที่พักของคนไร้บ้าน หรือตัวคุณเอง

มนุษย์ทุกคนบนโลกถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐก.1:27) ไม่ว่าจะมั่งคั่งหรือยากจน (สภษ.22:2) ไม่มีใครเป็นที่โปรดปรานมากกว่าใครในสายพระเนตรของพระองค์ (รม.2:11) และทุกคนต้องการพระผู้ช่วยให้รอด (3:23)

เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เมื่อเราปฏิเสธไม่ยอมแสดงความลำเอียง ไม่ว่าจะเป็นที่คริสตจักร (ยก.2:1-4) หรือในสังคมทั่วไป

กาวที่ดีของพระเจ้า

เมื่อเร็วๆนี้นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตทได้ออกแบบกาวชนิดใหม่ที่ทั้งแข็งแรงอย่างมากและสามารถลอกออกได้ การออกแบบของพวกเขาได้แรงบันดาลใจมาจากหอยทากที่เมือกของมันจะแข็งตัวเมื่อแห้งและกลับคืนตัวได้อีกเมื่อเปียกชื้น ธรรมชาติของเมือกหอยทากที่คืนตัวได้ทำให้มันสามารถเคลื่อนตัวไปได้อย่างอิสระในสภาพที่มีความชื้นสูง ซึ่งปลอดภัยสำหรับตัวหอยทากเอง ในขณะที่สามารถติดแน่นอยู่กับที่ได้เมื่อการเคลื่อนที่อาจทำให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต

แนวทางของนักวิจัยที่เลียนแบบการยึดเกาะที่พบในธรรมชาตินี้ทำให้นึกถึงนักวิทยาศาสตร์ โจฮานเนส เคปเลอร์ ที่อธิบายเกี่ยวกับการค้นพบของเขาว่า “แค่คิดตามพระดำริของพระเจ้า” พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งที่อยู่ในนั้น ทั้งพืชผักบนดิน (ปฐก.1:12) “สัตว์ทะเล” และ “นกต่างๆ” (ข้อ 21) “สัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” (ข้อ 25) และ “มนุษย์...ตามพระฉายาของพระองค์” (ข้อ 27) เมื่อมนุษย์ค้นพบหรือรู้จักลักษณะพิเศษของพืชหรือสัตว์ เรากำลังเดินตามรอยพระบาทอันสร้างสรรค์ของพระเจ้า และได้เปิดตาของเรามองดูวิธีการที่พระองค์ออกแบบสิ่งเหล่านั้น

เมื่อสิ้นสุดแต่ละวันแห่งการทรงสร้าง พระเจ้าทรงสำรวจผลงานของพระองค์และตรัสว่า “ดี” ในขณะที่เราได้เรียนรู้และค้นพบเกี่ยวกับการทรงสร้างของพระเจ้ามากขึ้น ขอให้เราตระหนักในพระราชกิจอันเลิศประเสริฐของพระองค์ ดูแลสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างดี และประกาศว่าพวกมันดีเลิศ!

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา