Month: กุมภาพันธ์ 2022

เลือกการเฉลิมฉลอง

นักเขียนชื่อมาริลิน แมคเอนไทร์แบ่งปันสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากเพื่อนคนหนึ่งว่า “สิ่งที่ตรงข้ามกับความอิจฉาคือการเฉลิมฉลอง” แม้เพื่อนคนนี้จะพิการทางกายและต้องเจ็บปวดเรื้อรัง ซึ่งทำให้เธอไม่อาจพัฒนาพรสวรรค์ที่มีได้ดังหวัง แต่เธอกลับสามารถรวบรวมความสุขและเฉลิมฉลองกับคนอื่นๆได้อย่างพิเศษ และนำมาซึ่ง “ความอิ่มเอิบใจแก่ทุกคนที่ได้พบเจอ” ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลง

มุมมองที่ว่า “สิ่งที่ตรงข้ามกับความอิจฉาคือการเฉลิมฉลอง” ยังคงอยู่กับฉัน เตือนให้ฉันคิดถึงเพื่อนคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะใช้ชีวิตในแบบเดียวกันที่ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใคร และมีความยินดีที่ลึกซึ้งและจริงใจให้กับผู้อื่น

ความอิจฉาเป็นกับดักที่หลงเข้าไปติดได้ง่าย มันเติบโตบนความเปราะบาง บาดแผล และความกลัวที่ลึกที่สุดของเรา และคอยกระซิบบอกเราว่าหากเพียงเราเป็นเหมือนคนนั้นคนนี้ เราคงจะไม่ต้องลำบากและรู้สึกแย่แบบนี้

ดังเช่นเปโตรได้เตือนผู้เชื่อใหม่ใน 1 เปโตร บทที่ 2 ว่า วิธีเดียวที่จะ “ละ” จากคำโกหกที่ความอิจฉาคอยบอกเรา คือโดยหยั่งรากลึกในความจริง และ “ลิ้มรส” คือมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งใน “พระกรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 1-3) เราจะสามารถ “รักพี่น้องอย่างจริงใจ” (1:22) เมื่อเรารู้จักแหล่งแห่งความสุขที่แท้จริง นั่นคือ “พระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่” (ข้อ 23)

เราจะเลิกเปรียบเทียบเมื่อเราระลึกได้ว่าแท้จริงแล้วเราเป็นใคร เราเป็นสมาชิกอันเป็นที่รัก “ที่พระองค์ทรงเลือก...ชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ” เราถูกเรียก “ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันอัศจรรย์ของพระองค์” (2:9)

ความสุขแห่งข่าวดี

เย็นวันหนึ่งในปีค.ศ. 1964 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในรัฐอลาสก้าสร้างความตื่นตระหนกและสั่นสะเทือนนานกว่าสี่นาทีด้วยความแรง 9.2 แมกนิจูด ทั้งช่วงตึกของเมืองแองเคอเรจหายไปเหลือเพียงหลุมขนาดใหญ่และเศษซากปรักหักพัง ท่ามกลางความมืดและน่ากลัวยามค่ำคืน ผู้สื่อข่าวจีนี่ แชนส์ยืนถือไมโครโฟนเพื่อส่งข่าวสารไปถึงประชาชนผู้สิ้นหวังที่นั่งอยู่ข้างวิทยุของพวกเขา สามีที่ทำงานอยู่ในเขตห่างไกลได้ยินว่าภรรยายังมีชีวิตอยู่ หลายครอบครัวที่ว้าวุ่นใจได้ยินว่าลูกชายของเขาที่ไปค่ายลูกเสือปลอดภัยดี คู่สามีภรรยาได้ยินว่ามีคนพบลูกๆของพวกเขาแล้ว วิทยุกระจายเสียงแจ้งถึงข่าวดีอย่างต่อเนื่อง นี่คือความสุขที่แท้จริงท่ามกลางซากปรักหักพัง

ชนชาติอิสราเอลคงรู้สึกเช่นเดียวกันเมื่อพวกเขาได้ยินถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “พระเจ้าทรงเจิมข้าพเจ้าไว้เพื่อนำข่าวดีมายังผู้ที่ทุกข์ใจ” (61:1) ขณะที่มองไปยังความรกร้างของชีวิตที่พังพินาศและอนาคตที่มืดมนของพวกเขา เสียงที่ชัดเจนของอิสยาห์ได้นำข่าวดีมาในเวลาที่ดูเหมือนว่ากำลังจะสูญเสียทุกสิ่งไป พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะ “เล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจและร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย...สร้างสิ่งปรักหักพังโบราณขึ้นใหม่ เขาจะซ่อมเสริมที่ทิ้งร้างแต่เก่าก่อนขึ้น” (ข้อ 1,4) ท่ามกลางความหวาดกลัวของพวกเขา ประชากรได้ยินถึงพระสัญญาอันมั่นคงของพระเจ้า นี่คือข่าวดีของพระองค์

สำหรับพวกเราในวันนี้เราได้ยินข่าวดีของพระเจ้าในพระเยซู นี่คือความหมายของคำว่าพระกิตติคุณ ในความกลัว ความเจ็บปวดและความล้มเหลวของเรา พระเจ้าทรงนำข่าวดีมา และความสุขได้เข้ามาแทนที่ความทุกข์ใจของเรา

ส่วนหนึ่งของครอบครัว

ดาวน์ตันแอบบีย์ เป็นละครโทรทัศน์ยอดนิยมของอังกฤษ ซึ่งพูดถึงตระกูลครอว์ลีย์ที่ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคมในช่วงต้น ทศวรรษ 1900 ของอังกฤษ ตัวละครเอกตัวหนึ่งคือ ทอม แบรนสันซึ่งเคยเป็นคนขับรถของครอบครัว ก่อนที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงโดยแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของตระกูลครอว์ลีย์ หลังจากช่วงเวลาที่ถูกขับไล่ไป คู่แต่งงานวัยเยาว์ได้กลับสู่ดาวน์ตันแอบบีย์และทอมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ได้รับสถานะและสิทธิพิเศษที่เขาเคยถูกปฏิเสธตอนเป็นลูกจ้าง

ครั้งหนึ่งพวกเราเคยถูกมองว่าเป็น “คนต่างด้าวต่างแดน” (อฟ.2:19) และถูกกีดกันไม่ให้ได้รับสิทธิที่มอบให้กับผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า แต่โดยพระเยซู ผู้เชื่อทุกคนไม่ว่าจะมีภูมิหลังเช่นไร ได้คืนดีกับพระเจ้าและถูกนับว่า “เป็นครอบครัวของพระเจ้า” (ข้อ 19)

การเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้านำมาซึ่งสถานะและสิทธิพิเศษที่อัศจรรย์ เราจึง “เข้ามาหาพระเจ้าได้ด้วยเสรีภาพและความมั่นใจ” (3:12 TNCV) และชื่นชมยินดีในการเข้าถึงพระเจ้าได้อย่างไม่จำกัดและไม่ถูกกีดกันพวกเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ ชุมชนแห่งความเชื่อที่เสริมสร้างและหนุนใจเรา (2:19-22) สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้ามีสิทธิพิเศษ ในการช่วยเหลือกันให้เข้าใจถึงความรักอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า (3:18)

ความกลัวและสงสัยทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นคนนอกได้โดยง่าย และฉุดรั้งเราไม่ให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า แต่ให้เรารับฟังและยอมรับของขวัญแห่งความรักจากพระเจ้าที่ประทานให้โดยไม่คิดมูลค่าอีกครั้ง (2:8-10) และอิ่มเอมในความมหัศจรรย์ที่ได้เป็นของพระองค์

หลีกเลี่ยงประตู

จมูกของเจ้ากระรอกจิ๋วดอร์เมาส์ขยุกขยิก มีของอร่อยอยู่ใกล้ๆ และแน่นอนว่ากลิ่นนั้นนำมันไปที่เครื่องให้อาหารนกที่เต็มไปด้วยเมล็ดพืชแสนอร่อย ดอร์เมาส์ไต่ลงไปตามโซ่แล้วไถลผ่านประตูเข้าไปและเริ่มกินแล้วก็กินตลอดคืน จนกระทั่งเช้ามันจึงรู้ตัวว่าเจอปัญหา ตอนนี้นกกำลังจิกมันผ่านประตูของเครื่องให้อาหาร แต่เพราะกินเมล็ดพืชเข้าไปมากตัวมันจึงใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าและไม่สามารถลอดผ่านประตูออกมาได้

ประตูทั้งหลายนั้นสามารถนำเราไปยังสถานที่ที่อัศจรรย์ หรือที่เป็นอันตรายได้ ประตูมีความสำคัญพิเศษในคำแนะนำของซาโลมอนในสุภาษิต บทที่ 5 ในเรื่องการหลีกเลี่ยงจากการทดลองทางเพศ พระองค์กล่าวว่าขณะที่ความบาปทางเพศอาจน่าหลงใหล แต่ปัญหารอเราอยู่หากเราหลงตามไป (สภษ.5:3-6) ดีที่สุดคืออยู่ให้ห่างจากมัน เพราะหากคุณเดินผ่านประตูนั้นเข้าไปแล้วคุณจะติดกับดัก คุณจะเสียชื่อ ทรัพย์สมบัติของคุณจะถูกคนแปลกหน้าจิกกิน (ข้อ 7-11) ซาโลมอนแนะนำพวกเราให้มีความสุขในการมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคู่สมรสของเราเอง (ข้อ 15-20) คำแนะนำของพระองค์ประยุกต์เข้ากับความบาปอื่นๆได้เช่นกัน (ข้อ 21-23) ไม่ว่าจะเป็นการทดลองให้กินอาหารมากเกินไป ให้ใช้จ่ายเกินตัว หรือเรื่องอื่นๆ พระเจ้าทรงช่วยเราให้หลีกเลี่ยงจากประตูที่นำไปสู่กับดักได้

เจ้าดอร์เมาส์คงจะดีใจมากเมื่อเจ้าของบ้านพบมันในเครื่องให้อาหารนกที่อยู่ในสวนและปล่อยมันออกมา ขอบคุณพระเจ้าที่พระหัตถ์ของพระองค์ทรงพร้อมที่จะปลดปล่อยเราเมื่อเราติดกับดัก แต่จะดีกว่าหากเราทูลขอกำลังจากพระองค์เพื่อหลีกเลี่ยงจากประตูที่นำไปสู่กับดักนั้นตั้งแต่แรก

เดินตามผู้นำ

ไม่มีคำพูด มีเพียงดนตรีและการเคลื่อนไหว ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงของการเต้นซุมบ้ามาราธอนในช่วงการระบาดของโควิด 19 ผู้คนนับพันจากทั่วโลกออกกำลังร่วมกันผ่านสื่อเสมือนจริงและทำตามผู้นำจากอินเดีย จีน เม็กซิโก อเมริกา แอฟริกาใต้ บางส่วนของยุโรปและอีกหลายๆที่ ผู้คนหลากหลายที่เคลื่อนไหวไปด้วยกันโดยไม่มีอุปสรรคด้านภาษา เพราะเหตุใด เพราะผู้สอนการออกกำลังที่คลั่งไคล้การเต้นซุมบ้า ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1990 โดยครูสอนเต้นแอโรบิคชาวโคลัมเบียที่ใช้อวัจนสัญญาณในการสื่อสาร เมื่อครูเคลื่อนไหว นักเรียนก็ทำตาม พวกเขาทำตามโดยไม่ต้องมีการพูดหรือตะโกนบอก

บางครั้งคำพูดอาจกีดขวางและเป็นอุปสรรคได้ อาจก่อให้เกิดความสับสนเช่นที่ชาวโครินธ์เคยประสบ ซึ่งเปาโลระบุไว้ในจดหมายฉบับแรกที่เขียนถึงพวกเขา เป็นความสับสนจากมุมมองที่ต่างกันเรื่องข้อห้ามในการกินอาหารบางอย่าง (1 คร.10:27-30) แต่การกระทำของเราเอาชนะอุปสรรคและความสับสนได้ เช่นเดียวกับที่เปาโลกล่าวไว้ในข้อพระคำวันนี้ เราควรแสดงให้ผู้คนเห็นว่าจะติดตามพระเยซูอย่างไรโดยการกระทำของเรา เพื่อเห็นแก่ “ประโยชน์ของคนทั้งหลาย” (10:32-33) เราเชิญชวนโลกให้เชื่อในพระองค์เมื่อเรา “ปฏิบัติตามอย่างพระคริสต์” (11:1)

ดังเช่นบางคนเคยกล่าวไว้ “จงสอนพระกิตติคุณตลอดเวลา พูดเมื่อจำเป็น” เมื่อเราติดตามการทรงนำของพระเยซู ขอพระองค์ทรงชี้นำการกระทำของเราให้นำผู้อื่นสู่ความจริงแห่งความเชื่อของเรา และขอให้คำพูดและการกระทำทั้งหมดของเราเป็นไปเพื่อ “เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (10:31)

การท้าทายของดวงดาว

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กวีชาวอิตาลี เอฟ. ที. มาริเนตติได้ให้กำเนิดอนาคตนิยม ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวทางศิลปะที่ปฏิเสธอดีต เย้ยหยันความคิดดั้งเดิมเรื่องความงาม และยกย่องเครื่องจักร ในปีค.ศ. 1909 มาริเนตติเขียนคำแถลงการณ์แห่งอนาคตของเขา ซึ่งเขาประกาศว่า “ผู้หญิงไร้ค่า” แต่สรรเสริญ “การต่อสู้ด้วยกำปั้น” และยืนยันว่า “เราต้องการเชิดชูสงคราม” แถลงการณ์ปิดท้ายว่า “การได้ยืนบนจุดสูงสุดของโลก เราขอประกาศการท้าทายที่โอหังของเราต่อหมู่ดาวอีกครั้งหนึ่ง!”

ห้าปีหลังจากแถลงการณ์ของมาริเนตติ สงครามยุคใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง สงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ได้นำมาซึ่งเกียรติยศใดๆ มาริเนตติเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1944 โดยที่หมู่ดาวไม่ได้ให้ความสนใจใดๆและยังคงอยู่ในที่เดิมของมัน

กษัตริย์ดาวิดร้องบทกวีแห่งดวงดาวแต่ด้วยมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทรงเขียนว่า “เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์ อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา” (สดด.8:3-4) คำถามของดาวิดไม่ได้มาจากความไม่เชื่อ แต่มาจากความอัศจรรย์ใจอย่างถ่อมใจ พระองค์ทรงทราบว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างจักรวาลอันกว้างใหญ่ทรงห่วงใยพวกเราอย่างยิ่ง พระองค์ทรงสังเกตทุกรายละเอียดเกี่ยวกับเรา ทั้งดีและร้าย ทั้งความถ่อมใจและความโอหัง แม้กระทั่งความโง่เขลาของเรา

ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะท้าทายดวงดาว แต่ตรงกันข้ามดวงดาวเหล่านั้นท้าทายพวกเราให้สรรเสริญองค์พระผู้สร้าง

รักคนที่คุณรัก

เอมอสเป็นคนชอบแสดงออกที่เอาแต่ใจ ขณะที่แดนนี่เป็นคนเก็บตัวที่ชอบสงสัยในตัวเอง แต่อัจฉริยะที่แปลกประหลาดทั้งสองคนกลายเป็นเพื่อนรักกัน พวกเขาใช้เวลาสิบปีหัวเราะและเรียนรู้ร่วมกัน วันหนึ่งผลงานของพวกเขาอาจได้รับรางวัลโนเบล แต่แดนนี่เบื่อหน่ายกับการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของเอมอส และบอกกับเขาว่าพวกเขาไม่เป็นเพื่อนกันอีกต่อไป

สามวันต่อมาเอมอสโทรไปบอกข่าวร้าย หมอตรวจพบมะเร็งและบอกเขาว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงหกเดือน แดนนี่หัวใจแตกสลาย “เราเป็นเพื่อนกัน” เขาพูด “ไม่ว่านายจะคิดยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน”

เปาโลเป็นคนมีนิมิตที่ดื้อรั้น ขณะที่บารนาบัสเป็นผู้หนุนน้ำใจที่มีจิตใจอ่อนโยน พระวิญญาณนำพวกเขามาทำงานร่วมกัน และส่งพวกเขาให้ออกเดินทางเพื่อไปประกาศ (กจ.13:2-3) พวกเขาเทศนาและก่อตั้งคริสตจักร จนกระทั่งมาขัดแย้งกันในเรื่องที่มาระโกละทิ้งหน้าที่ไป บารนาบัสอยากจะให้โอกาสมาระโกอีกครั้ง แต่เปาโลบอกว่าท่านไม่สามารถเชื่อใจมาระโกได้อีกแล้ว พวกเขาจึงต้องแยกจากกัน (15:36-41)

ในที่สุดเปาโลยกโทษให้มาระโก ท่านลงท้ายจดหมายสามฉบับด้วยคำทักทายหรือคำชมเชยในตัวเขา (คส.4:10; 2 ทธ.4:11; ฟม.1:24) เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบารนาบัส ท่านมีชีวิตยืนยาวจนได้คืนดีกับเปาโลไหม ผมก็หวังเช่นนั้น

วันนี้ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์ใด จงพยายามสานสัมพันธ์กับคนที่คุณเคยขัดแย้ง นี่เป็นเวลาที่จะแสดงและบอกพวกเขาว่าคุณรักพวกเขามากเพียงไร

ไม่เคยพูดว่า “ทำไม่ได้”

เจนเกิดมาไม่มีขาและถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล แต่เธอยังบอกว่าการถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมเป็นพระพรสำหรับเธอ “ฉันอยู่ที่นี่เพราะมีคนได้ทุ่มเทในชีวิตฉัน” ครอบครัวบุญธรรมช่วยให้เธอรู้ว่าเธอ “เกิดมาแบบนี้เพื่อเหตุผลบางอย่าง” พวกเขาเลี้ยงดูเธอให้ “ไม่เคยพูดว่า ‘ทำไม่ได้’” และให้กำลังใจในทุกสิ่งที่เธอทำ ซึ่งรวมไปถึงการเป็นนักแสดงผาดโผนและนักกายกรรมกลางหาวที่ประสบความสำเร็จ! เธอเผชิญความท้าทายด้วยทัศนคติว่า “ฉันจะจัดการกับสิ่งนี้อย่างไร” และจูงใจให้ผู้อื่นทำแบบเดียวกัน

พระคัมภีร์บอกเล่าเรื่องราวของคนมากมายที่พระเจ้าทรงใช้ ที่ดูเหมือนไร้ความสามารถหรือไม่เหมาะกับการทรงเรียกของพวกเขา แต่พระเจ้าก็ยังทรงใช้พวกเขา โมเสสเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อพระเจ้าทรงเรียกท่านให้นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ ท่านไม่เต็มใจ (อพย.3:11; 4:1) และคัดค้าน “ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว” พระเจ้าทรงตอบว่า “ผู้ใดเล่าที่สร้างปากมนุษย์หรือทำให้เป็นใบ้ หูหนวก ตาดีหรือตาบอด เรา พระเจ้าเป็นผู้ทำไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นไปเถิด เราจะอยู่ที่ปากของเจ้า และจะสอนคำซึ่งควรจะพูด” (อพย.4:10-12) เมื่อโมเสสยังคงคัดค้าน พระเจ้าทรงเตรียมอาโรนให้พูดแทนท่านและทรงยืนยันว่าจะช่วยพวกเขา (ข้อ 13-15)

เช่นเดียวกับเจนและโมเสส เราทุกคนอยู่ที่นี่เพื่อเหตุผลบางอย่าง และพระเจ้าจะทรงช่วยเราตลอดเส้นทางนี้โดยพระคุณของพระองค์ พระองค์ทรงจัดเตรียมบางคนเพื่อช่วยเรา และทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นแก่เราในการมีชีวิตเพื่อพระองค์

พึ่งพิงในพระเจ้า

แฮเรียต ทับแมนไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้ ในช่วงวัยรุ่นเธอต้องทนทุกข์กับการบาดเจ็บที่ศีรษะโดยน้ำมือของนายทาสที่โหดร้าย ซึ่งส่งผลให้เธอมีอาการชักและหมดสติชั่วขณะไปตลอดชีวิต แต่เมื่อเธอรอดพ้นจากการเป็นทาส พระเจ้าทรงใช้เธอให้ช่วยปลดปล่อยทาสคนอื่นๆถึงสามร้อยคน

เธอได้ชื่อเล่น “โมเสส” จากคนที่เธอช่วยไว้ ด้วยความกล้าหาญแฮเรียตเดินทางไปทางภาคใต้ถึง 19 ครั้งในช่วงก่อนสงครามกลางเมืองเพื่อช่วยเหลือทาสคนอื่นๆเธอยังคงทำต่อไปแม้จะมีการตั้งค่าหัวและชีวิตของเธอต้องอยู่ในอันตรายตลอดเวลา เธอเป็นผู้เชื่อในพระเยซูที่มุ่งมั่น โดยพกหนังสือเพลงนมัสการและพระคัมภีร์ไปกับเธอในทุกการเดินทางและให้คนอื่นอ่านให้เธอฟัง ซึ่งเธอตั้งใจที่จะท่องจำและอ้างถึงบ่อยๆ “ฉันอธิษฐานตลอดเวลา” เธอกล่าว “เกี่ยวกับงานของฉัน ไม่ว่าที่ใดฉันคุยกับพระเจ้าเสมอ” เธอยกย่องพระเจ้าแม้ในความสำเร็จที่เล็กที่สุด ชีวิตของเธอนั้นแสดงออกอย่างทรงพลังถึงคำสอนของอัครทูตเปาโลที่สอนคริสเตียนในยุคแรกว่า “จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย” (1 ธส.5:16-18)

เมื่อเราพึ่งพาในพระเจ้าและดำเนินชีวิตด้วยการอธิษฐานและสรรเสริญพระองค์แม้ในยามยากลำบากของชีวิต พระองค์จะประทานกำลังให้เราสามารถทำภารกิจซึ่งท้าทายที่สุดให้สำเร็จได้ พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งที่เราเผชิญอยู่ และพระองค์จะทรงนำเราเมื่อเรามองที่พระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา