เดือน: ตุลาคม 2021

ที่โต๊ะเสวย

“มันไม่ตายหรอกครับ” สัตวแพทย์บอก “แต่จะต้องถูกตัดขา” เพื่อนฉันนำสุนัขพันทางจรจัดที่ถูกรถชนมา “คุณเป็นเจ้าของใช่ไหม” ยอดค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดน่าจะสูงพอสมควร และเจ้าสุนัขน้อยตัวนี้คงต้องมีคนดูแลขณะพักฟื้นอีก “ตอนนี้ใช่แล้วค่ะ” เพื่อนฉันตอบ ความเมตตาของเธอทำให้สุนัขตัวนั้นมีอนาคตในบ้านที่เต็มไปด้วยความรัก

เมฟีโบเชทมองตัวเองว่าเป็น “สุนัขตาย” ที่ไม่ควรค่าต่อความกรุณา (2 ซมอ.9:8) ขาทั้งสองข้างที่พิการจากอุบัติเหตุ ทำให้เขาต้องพึ่งพาคนอื่นในการปกป้องและเลี้ยงดู (ดู 4:4) ยิ่งกว่านั้น หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระอัยกาคือกษัตริย์ซาอูล เขาอาจกลัวว่าดาวิดซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ใหม่จะสั่งฆ่าศัตรูและคู่แข่งราช-บัลลังก์เสียตามวิถีปฏิบัติในเวลานั้น

แต่ด้วยความรักที่มีต่อโยนาธานผู้เป็นสหาย ดาวิดจึงให้ความมั่นใจกับบุตรชายของโยนาธานคือเมฟีโบเชทว่าเขาจะปลอดภัย และได้รับการดูแลเหมือนเป็นบุตรของตัวเอง (9:7) และเช่นเดียวกัน เราผู้เคยเป็นศัตรูของพระเจ้าและถูกกำหนดด้วยความตาย ก็ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซูและมีสถานะร่วมกับพระองค์ในสวรรค์ตลอดนิรันดร์ นี่คือความหมายของการร่วมงานเลี้ยงรับประทานอาหารในแผ่นดินสวรรค์ที่ลูกาอธิบายไว้ในพระกิตติคุณของท่าน (ลก.14:15) เราคือบุตรชายและบุตรสาวขององค์กษัตริย์! นี่คือความเมตตาอันเหลือล้นและที่เราไม่สมควรได้รับ! ขอให้เราเข้ามาใกล้พระเจ้าด้วยใจยินดีและขอบพระคุณ

เห็นแก่ผู้อื่น

ช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด 19 ชาวสิงคโปร์หลายคนอยู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ แต่ผมยังไปว่ายน้ำอยู่อย่างมีความสุขโดยเชื่อว่าปลอดภัย

แต่ภรรยากลัวว่าผมอาจได้รับเชื้อจากสระว่ายน้ำสาธารณะและแพร่เชื้อต่อไปยังแม่ของเธอที่อายุมากแล้ว ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อกว่าเฉกเช่นผู้สูงอายุคนอื่นๆ “คุณหยุดว่ายน้ำก่อนสักพักได้ไหม เพื่อเห็นแก่ฉัน” เธอถาม

ตอนแรกผมอยากจะแย้งว่าความเสี่ยงมันน้อยมาก แต่แล้วจึงคิดได้ว่าความรู้สึกของเธอสำคัญกว่า ทำไมผมจะต้องยืนกรานที่จะว่ายน้ำซึ่งไม่สำคัญเลย หากทำให้เธอห่วงโดยไม่จำเป็น

ในโรม 14 เปาโลพูดถึงปัญหาเช่น ผู้เชื่อในพระคริสต์ควรกินอาหารหรือจัดฉลองวันเทศกาลบางอย่างหรือไม่ ท่านเป็นห่วงว่าบางคนจะยัดเยียดความคิดของตนให้คนอื่น

เปาโลเตือนคริสตจักรในโรมและเราทั้งหลายว่า ผู้เชื่อในพระเยซูอาจมองสถานการณ์แตกต่างกันไป นอกจากนี้เรายังมีเบื้องหลังอันหลากหลายที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติและวิธีปฏิบัติของเรา ท่านเขียนว่า “ดังนั้นเราอย่ากล่าวโทษกันและกันอีกเลย แต่จงตัดสินใจเสียดีกว่า ว่าจะไม่วางสิ่งซึ่งทำให้สะดุด หรือสิ่งกีดขวางทางของพี่น้อง” (ข้อ 13)

พระคุณของพระเจ้าประทานเสรีภาพอันยิ่งใหญ่ให้เรา และยังช่วยให้เราสำแดงความรักต่อเพื่อนผู้เชื่อคนอื่นๆ เราสามารถใช้เสรีภาพนั้นเพื่อวางความต้องการด้านจิตวิญญาณของผู้อื่นให้อยู่เหนือความเชื่อมั่นในกฎและวิธีปฏิบัติของเรา โดยไม่สวนทางกับหลักความจริงที่ปรากฏในพระกิตติคุณ (ข้อ 20)

ความต้องการสติปัญญา

การที่ต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีพ่อ ทำให้ร็อบรู้สึกว่าเขาพลาดโอกาสที่จะได้รับสติปัญญาหรือคำชี้แนะที่พ่อมักจะส่งต่อให้กับลูกๆ ร็อบไม่อยากให้คนอื่นขาดทักษะชีวิตที่สำคัญนี้ เขาจึงทำซีรี่ย์ชื่อว่า “พ่อครับ..ทำยังไง” เป็นวิดีโอที่สาธิตทุกอย่างตั้งแต่การทำชั้นวางของไปจนถึงการเปลี่ยนยางรถยนต์ ด้วยรูปแบบความใจดีและอบอุ่นของเขา ร็อบจึงมีชื่อเสียงทางช่องยูทูปที่มีคนติดตามเป็นล้านๆ

เราหลายคนปรารถนาจะมีคนที่มีคุณสมบัติเป็นพ่อแม่ที่มีความเชี่ยวชาญคอยสอนทักษะที่มีประโยชน์ และช่วยนำทางเราในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โมเสสต้องการคำแนะนำหลังจากที่ท่านและคนอิสราเอลหนีออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์ และกำลังสร้างชาติของตนเอง เยโธรผู้เป็นพ่อตาของโมเสสมองเห็นความตึงเครียดในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของผู้คนที่ส่งผลกระทบต่อโมเสส เยโธรจึงให้คำแนะนำที่ชาญฉลาดถึงวิธีการแบ่งหน้าที่ของผู้นำ (อพย.18:17-23) โมเสส “เชื่อฟังถ้อยคำของพ่อตา และทำตามที่เขาแนะนำทุกประการ” (ข้อ 24)

พระเจ้าทรงรู้ว่าเราทุกคนต้องการสติปัญญา บางคนอาจได้รับพระพรด้วยการมีพ่อแม่ที่รักพระเจ้าเป็นผู้มอบคำปรึกษาอันชาญฉลาด แต่ถ้าไม่มี เราสามารถขอสติปัญญาจากพระเจ้าผู้ทรงประทานให้แก่ทุกคนที่ทูลขอ (ยก.1:5) และพระองค์จะยังทรงประทานสติปัญญาผ่านข้อความในพระคัมภีร์ ที่เตือนว่าเมื่อเราถ่อมใจและจริงใจที่จะฟังคำสอนของผู้มีปัญญา เรา “จะได้ปัญญา” (สภษ.19:20) และมีสติปัญญาที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่น

ไม่ธรรมดา

เมื่ออนิต้าเสียชีวิตขณะนอนหลับในวันเกิดอายุครบ 90 ปี ความเงียบของการจากไปอย่างเงียบๆนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเรียบง่ายของชีวิตเธอ เธอเป็นหญิงหม้ายที่ได้อุทิศตนเพื่อลูกหลาน และเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าในคริสตจักร

อนิต้าไม่ได้มีความสามารถหรือประสบความสำเร็จด้านใดที่เด่นชัดเป็นพิเศษ แต่ความเชื่อในพระเจ้าที่หยั่งรากลึกนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่ได้รู้จักเธอ เพื่อนคนหนึ่งของฉันบอกว่า “เมื่อฉันไม่รู้จะทำอย่างไรกับปัญหา ฉันไม่ได้คิดถึงคำพูดของนักเทศน์หรือนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ฉันคิดว่าอนิต้าจะพูดว่าอะไร”

เราหลายคนก็คล้ายกับอนิต้า คือเป็นคนธรรมดาที่ดำเนินชีวิตเรียบง่าย ชื่อของเราจะไม่มีทางไปปรากฏในข่าว และจะไม่มีอนุสาวรีย์ที่สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่เรา แต่ชีวิตที่ดำเนินด้วยความเชื่อในพระเยซูไม่มีทางจะเป็นชีวิตที่ธรรมดา บุคคลที่อยู่ในฮีบรู 11 ไม่ได้ถูกเอ่ยชื่อ (ข้อ 35-38) คนเหล่านั้นเดินบนเส้นทางที่ไม่โดดเด่นและไม่ได้รับรางวัลที่ทรงสัญญาไว้ในชีวิตนี้ (ข้อ 39) แต่เพราะเขาเหล่านั้นเชื่อฟังพระเจ้า ความเชื่อของพวกเขาจึงไม่ไร้ค่า พระเจ้าได้ทรงใช้ชีวิตของพวกเขาในหนทางที่ไปไกลยิ่งกว่าความไม่มีชื่อเสียงของพวกเขา (ข้อ 40)

ถ้าคุณรู้สึกท้อแท้กับสถานะในชีวิตที่ดูเหมือนธรรมดาของคุณ อย่าลืมว่าชีวิตที่ดำเนินด้วยความเชื่อในพระเจ้าจะสร้างผลกระทบไปตลอดนิรันดร์ แม้เราจะเป็นเพียงคนธรรมดา เรามีความเชื่อที่ไม่ธรรมดาได้

การแข่งขันของกระแสไฟ

เมื่อคุณเสียบปลั๊กเครื่องปิ้งขนมปัง คุณกำลังได้รับประโยชน์จากผลของความขัดแย้งอันเจ็บปวดจากช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เวลานั้นนักประดิษฐ์ชื่อโธมัส เอดิสันและนิโคล่า เทสล่า แข่งขันกันว่าไฟฟ้าชนิดไหนดีที่สุดเพื่อการพัฒนาความเจริญ ระหว่างกระแสตรง (DC) เช่น กระแสไฟที่ได้จากแบตเตอรี่ในไฟฉาย หรือกระแสสลับ (AC) ที่ได้จากปลั๊กไฟ

ในที่สุด กระแสสลับของเทสล่าเป็นฝ่ายชนะและถูกนำมาใช้เพื่อส่งกระแสไฟฟ้าให้บ้านเรือน ธุรกิจ และชุมชนทั่วโลก โดยกระแสสลับมีประสิทธิภาพกว่ามากในการส่งไฟฟ้าระยะไกล และมีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

บางครั้งเราก็ต้องการสติปัญญาเมื่อเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาระหว่างผู้เชื่อในพระเยซู (ดู รม.14:1-12) อัครทูตเปาโลเรียกร้องให้เราแสวงหาการ
ช่วยเหลือจากพระเจ้าเพื่อความกระจ่างชัดในประเด็นนั้น ท่านกล่าวว่า “ถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดให้เรื่องนั้นประจักษ์แก่ท่านด้วย” (ฟป.3:15) ในข้อต่อมา เราได้เห็นผลของการที่คนสองคนปล่อยให้ความแตกต่างมาแบ่งแยกพวกเขา เป็นความขัดแย้งที่ทำให้เปาโลเศร้าใจ “ข้าพเจ้าขอเตือนนางยูโอเดีย และขอเตือนนางสินทิเค ให้มีจิตใจปรองดองกันในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (4:2)

เมื่อใดที่ความขัดแย้งเริ่มแยกเราออกจากกัน ขอให้เราแสวงหาพระคุณและสติปัญญาของพระเจ้าจากพระคัมภีร์ จากคำแนะนำของผู้เชื่อที่เป็นผู้ใหญ่ และฤทธิ์อำนาจแห่งการอธิษฐาน ให้เรามุ่งมั่นเพื่อจะมี “จิตใจปรองดองกัน” ในพระองค์ (ข้อ 2)

ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ขณะเล่นบาสเก็ตบอลอยู่กับพวกเพื่อนผู้หญิง แอมเบอร์คิดขึ้นมาได้ว่าชุมชนของเธอน่าจะได้ประโยชน์จากกลุ่มผู้หญิงนี้ เธอจึงก่อตั้งองค์กรไม่แสวงผลกำไรเพื่อสนับสนุนการร่วมงานเป็นทีมและเสริมสร้างคนรุ่นใหม่ บรรดาผู้นำของกลุ่มที่ชื่อสตรีชู้ตห่วงนี้ มุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจและคุณลักษณะที่ดีในผู้หญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และเพื่อหนุนใจให้พวกเขาเป็นผู้ให้ที่มีคุณค่าต่อชุมชนของตน หนึ่งในผู้เล่นของทีมรุ่นแรกซึ่งตอนนี้กลายเป็นพี่เลี้ยงของผู้เล่นใหม่ได้กล่าวไว้ว่า “มิตรภาพอันแน่นแฟ้นท่ามกลางเรานี้ เป็นสิ่งที่ฉันคิดถึงอยู่เสมอ เราช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหลายด้าน ฉันปรารถนาจะเห็นเด็กสาวเหล่านี้ประสบความสำเร็จและเติบโตขึ้น”

พระเจ้าทรงปรารถนาเช่นกันที่จะให้คนของพระองค์รวมตัวกันเป็นทีมเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อัครทูตเปาโลหนุนใจชาวเธสะโลนิกาให้ “หนุนใจกันและต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น” (1 ธส.5:11) พระเจ้าทรงนำเราเข้ามาสู่ครอบครัวแห่งประชากรของพระองค์ เพื่อพวกเขาจะเป็นความช่วยเหลือในชีวิตของเรา เราต้องการซึ่งกันและกันเพื่อจะเดินไปบนเส้นทางชีวิตในพระคริสต์ บางครั้งนั่นอาจหมายถึงการฟังคนอื่นที่กำลังทุกข์ยาก การหยิบยื่นความช่วยเหลือที่จำเป็น หรือการพูดหนุนใจสั้นๆ เราสามารถเฉลิมฉลองความสำเร็จต่างๆ ทูลอธิษฐานขอกำลังในยามลำบาก หรือหนุนใจซึ่งกันและกันให้เติบโตขึ้นในความเชื่อ และในทุกสิ่งนั้นเราสามารถ “หาทางทำดีเสมอต่อพวกท่านเอง” (ข้อ 15)

เราสามารถชื่นชมกับสัมพันธภาพที่ดีเช่นนี้ เมื่อเราเข้าร่วมทีมกับผู้เชื่อในพระเยซูเพื่อจะไว้วางใจในพระเจ้าร่วมกัน!

ทรงอยู่ด้วยในหุบเขา

ขณะที่ฮันนาห์ วิลเบอร์ฟอร์ซ (ป้าของวิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ ชาวอังกฤษผู้สนับสนุนการเลิกค้าทาส) กำลังจะเสียชีวิต เธอเขียนจดหมายโดยพูดถึงสิ่งที่ได้ยินเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเพื่อนผู้เชื่อในพระเยซูคนหนึ่งว่า “ความสุขเป็นของชายผู้เป็นที่รักซึ่งจากไปสู่สวรรค์ และตอนนี้ได้อยู่กับพระเยซูผู้ที่เขารักแม้ขณะที่ยังมองไม่เห็นพระองค์ หัวใจฉันเต้นโลดด้วยความสุข” แล้วเธอก็อธิบายสถานการณ์ของตนว่า “สำหรับฉันนั้นทั้งในยามดีและร้าย พระเยซูก็ทรงดีเสมอไป”

คำพูดของเธอทำให้ผมคิดถึงสดุดี 23 ที่ดาวิดเขียนว่า “แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาอันมืดมน (หุบเขาเงามัจจุราช) ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์” (ข้อ 4) ถ้อยคำเหล่านี้น่าสนใจเพราะในท่ามกลางหุบเขาแห่งเงามืดของความตาย ที่นี่เองที่พระลักษณะของพระเจ้าที่ดาวิดบรรยายกลายเป็นจริงสำหรับตัวท่าน จากที่พูดถึงพระเจ้าในตอนเริ่มต้นของสดุดีว่า “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ” (ข้อ 1) เปลี่ยนมาเป็นพูดกับพระเจ้าว่า “เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์” (ข้อ 4)

เป็นความรู้สึกมั่นใจจริงๆที่รู้ว่าพระเจ้าองค์มหิทธิฤทธิ์ ผู้ทรง “ให้กำเนิดโลกและพิภพ” (90:2) ทรงเปี่ยมไปด้วยความรักเมตตา โดยดำเนินไปกับเราแม้ในที่ซึ่งยากลำบากที่สุด ไม่ว่าสถานการณ์ของเราจะดีหรือร้าย เราสามารถหันไปหาองค์พระผู้เลี้ยง พระผู้ช่วยให้รอดและเพื่อนของเรา แล้วพบว่าพระองค์ทรง “ดีเสมอไป” ช่างดีจริงๆที่ความตายพ่ายแพ้ราบคาบไปแล้ว และเราจะ “อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์” (23:6)

ไม่ว่าจะนมัสการที่ไหน

อาการปวดหัวรุนแรงจนร่างกายอ่อนเพลียทำให้ฉันไม่ได้ไปร่วมนมัสการกับครอบครัวคริสตจักรที่ฉันอยู่...อีกแล้ว ฉันดูเทศนาออนไลน์ด้วยความเสียใจที่ต้องขาดการนมัสการร่วมกับพี่น้อง ตอนแรกฉันรู้สึกแย่กับคำบ่น เพราะคุณภาพของภาพและเสียงที่ไม่ดีนัก แต่เมื่อเสียงเพลงนมัสการที่คุ้นเคยดังขึ้น น้ำตาฉันไหลขณะที่ร้องเพลงนั้น “โอเจ้าแห่งดวงจิตเป็นนิมิตของข้า ทุกสิ่งไร้ราคาถ้าไม่มีพระองค์ ทรงดำรงในใจทุกคืนวันมั่นคง ตื่นขึ้นหรือนอนลงพระองค์ทรงนำพา” เมื่อมุ่งมองไปที่ของประทานแห่งการทรงสถิตอยู่เสมอของพระเจ้า ฉันก็นมัสการพระองค์ขณะนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

ขณะที่พระคัมภีร์ยืนยันความสำคัญและความจำเป็นของการนมัสการร่วมกัน (ฮบ.10:25) แต่พระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่ในอาคารคริสตจักร เมื่อพระเยซูพูดกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ พระองค์ทำสวนทางกับทุกสิ่งที่คนคาดหวังในพระเมสสิยาห์ (ยน.4:9) แทนการกล่าวโทษ พระเยซูทรงตรัสความจริงและสำแดงความรักแก่เธอที่ข้างบ่อน้ำนั้น (ข้อ 10) พระองค์สำแดงถึงการที่ทรงรู้จักประชากรของพระองค์อย่างใกล้ชิด (ข้อ 17-18) พระเยซูประกาศการเป็นพระเจ้าโดยตรัสว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเรียกร้องการนมัสการที่แท้จริงจากหัวใจของคน ไม่ใช่จากสถานที่ใดที่หนึ่ง (ข้อ 23-24)

เมื่อเรามุ่งมองว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด มองสิ่งที่พระองค์กระทำ และพระสัญญาทั้งสิ้น เราจะชื่นชมยินดีในการทรงสถิตอยู่เสมอของพระองค์ขณะที่เรานมัสการพระองค์กับผู้เชื่อคนอื่นๆ ทั้งที่ห้องนั่งเล่นและทุกหนทุกแห่ง!

ตัวบั่นทอน

มันเริ่มด้วยอาการระคายคอ ผมคิดในใจว่าแย่แล้ว อาการระคายคอนั้นกลายมาเป็นไข้หวัดใหญ่ ที่เป็นระยะเริ่มต้นของโรคหลอดลมอักเสบ ไข้หวัดใหญ่กลายเป็นไอกรน และไอกรนนี้เองได้กลายเป็นปอดอักเสบ

เป็นเวลา 8 สัปดาห์กับการไออย่างรุนแรงจนลำตัวแทบแตกเป็นเสี่ยง โรคไอกรนนี้มีที่มาสมกับชื่อจริงๆ มันทำให้ผมถ่อมใจ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะแก่ขนาดนั้น แต่ผมก็อายุมากพอที่จะเริ่มคิดถึงว่าตัวเองนั้นแก่แล้ว สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มย่อยที่คริสตจักรมีชื่อตลกๆสำหรับปัญหาสุขภาพที่โจมตีเมื่อเราอายุมากขึ้นว่า “ตัวบั่นทอน” แต่ไม่มีอะไรที่น่ารักเลยเมื่อตัวบั่นทอนนี้ “ปฏิบัติการ” ของมัน

ใน 2 โครินธ์ 4 เปาโลเองได้เขียนถึง “ตัวบั่นทอน” ในแบบที่ท่านพบ บทนี้บันทึกถึงการถูกข่มเหงที่ท่านและเพื่อนร่วมงานต้องทน การทำพันธกิจให้สำเร็จนั้นนำมาซึ่งความเหนื่อยล้าจนหมดกำลัง ท่านยอมรับว่า “กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป” แต่ถึงแม้ร่างกายจะเสื่อมถอยจากอายุ การถูกข่มเหง และสภาพแวดล้อมที่หนักหนาสาหัส เปาโลยังคงยึดมั่นในความหวังที่ทำให้ท่านไปต่อได้ “แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน” (ข้อ 16) ท่านยังเน้นย้ำว่า “การทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆ...ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้น” เทียบไม่ได้กับสิ่งที่รอเราอยู่ นั่นคือ “ศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้” (ข้อ 17)

แม้ในค่ำคืนที่ผมเขียนอยู่นี้ กรงเล็บของตัวบั่นทอนจะยังเกาะแน่นที่หน้าอก แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่บทสรุปของชีวิตผมและของทุกคนที่ยึดมั่นอยู่ในพระคริสต์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา