ขณะที่ฮันนาห์ วิลเบอร์ฟอร์ซ (ป้าของวิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ ชาวอังกฤษผู้สนับสนุนการเลิกค้าทาส) กำลังจะเสียชีวิต เธอเขียนจดหมายโดยพูดถึงสิ่งที่ได้ยินเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเพื่อนผู้เชื่อในพระเยซูคนหนึ่งว่า “ความสุขเป็นของชายผู้เป็นที่รักซึ่งจากไปสู่สวรรค์ และตอนนี้ได้อยู่กับพระเยซูผู้ที่เขารักแม้ขณะที่ยังมองไม่เห็นพระองค์ หัวใจฉันเต้นโลดด้วยความสุข” แล้วเธอก็อธิบายสถานการณ์ของตนว่า “สำหรับฉันนั้นทั้งในยามดีและร้าย พระเยซูก็ทรงดีเสมอไป”

คำพูดของเธอทำให้ผมคิดถึงสดุดี 23 ที่ดาวิดเขียนว่า “แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาอันมืดมน (หุบเขาเงามัจจุราช) ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์” (ข้อ 4) ถ้อยคำเหล่านี้น่าสนใจเพราะในท่ามกลางหุบเขาแห่งเงามืดของความตาย ที่นี่เองที่พระลักษณะของพระเจ้าที่ดาวิดบรรยายกลายเป็นจริงสำหรับตัวท่าน จากที่พูดถึงพระเจ้าในตอนเริ่มต้นของสดุดีว่า “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ” (ข้อ 1) เปลี่ยนมาเป็นพูดกับพระเจ้าว่า “เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์” (ข้อ 4)

เป็นความรู้สึกมั่นใจจริงๆที่รู้ว่าพระเจ้าองค์มหิทธิฤทธิ์ ผู้ทรง “ให้กำเนิดโลกและพิภพ” (90:2) ทรงเปี่ยมไปด้วยความรักเมตตา โดยดำเนินไปกับเราแม้ในที่ซึ่งยากลำบากที่สุด ไม่ว่าสถานการณ์ของเราจะดีหรือร้าย เราสามารถหันไปหาองค์พระผู้เลี้ยง พระผู้ช่วยให้รอดและเพื่อนของเรา แล้วพบว่าพระองค์ทรง “ดีเสมอไป” ช่างดีจริงๆที่ความตายพ่ายแพ้ราบคาบไปแล้ว และเราจะ “อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์” (23:6)