Month: ตุลาคม 2020

เศษไม้ ก้อนอิฐ และพระเจ้า

หลังจากอธิษฐานถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้พวกเขาทำในก้าวต่อไปของชีวิต มาร์คและนีน่าตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าการย้ายไปอยู่ใจกลางเมืองคือสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ พวกเขาซื้อบ้านหลังหนึ่ง และขณะการปรับปรุงบ้านกำลังดำเนินไปพายุก็พัดเข้ามา มาร์คส่งข้อความมาหาผมว่า “เรามีเรื่องประหลาดใจเมื่อเช้านี้ พายุทอร์นาโดพัดผ่านเมืองเจฟเฟอร์สัน และทำลายบ้านที่เรากำลังปรับปรุงจนเหลือแต่เศษไม้กับก้อนอิฐ พระเจ้ากำลังมีแผนการอะไรสักอย่าง”

พายุที่ควบคุมไม่ได้นี้ไม่ใช่สิ่งเดียวที่นำเรื่องประหลาดใจและความสับสนมาสู่ชีวิตของเรา อย่างไรก็ตามการไม่ละสายตาไปจากพระเจ้าในท่ามกลางวิบัติที่เกิดขึ้นเป็นกุญแจดอกหนึ่งของการอยู่รอด

ภัยพิบัติจากสภาพอากาศในชีวิตโยบซึ่งส่งผลให้ท่านสูญเสียทรัพย์สินและชีวิตของลูกๆ (โยบ 1:19) นั้นเป็นเพียงหนึ่งในเรื่องช็อกที่ท่านกำลังเผชิญ ก่อนหน้านั้นมีผู้ส่งข่าวร้ายอื่นมาให้ท่านแล้ว (ข้อ 13-17)

ในแต่ละวัน เราอาจเริ่มต้นจากความรื่นเริงไปสู่ความเศร้า งานฉลองการมีชีวิตไปสู่ความตาย หรือความท้าทายอื่นๆของชีวิต ชีวิตของเราอาจถูกลดทอนลงอย่างฉับพลันจนเหลือเพียง “เศษไม้และก้อนอิฐ” ทั้งในด้านการเงิน ความสัมพันธ์ สภาพร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณ แต่พระเจ้าทรงพลานุภาพกว่าพายุใดๆ การจะรอดจากพายุแห่งชีวิตนั้นเราจำเป็นต้องมีความเชื่อที่จดจ่ออยู่ที่พระองค์ เป็นความเชื่อที่ช่วยเราให้พูดเช่นเดียวกับโยบและอีกหลายๆคนว่า “สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” (ข้อ 21)

ทุกคนต้องการพี่เลี้ยง

ขณะเดินเข้าห้องทำงานของหัวหน้างานคนใหม่ ฉันรู้สึกระแวงและปั่นป่วน หัวหน้าเก่าของฉันดูแลแผนกของเราด้วยความเกรี้ยวกราดและดูแคลน ซึ่งบ่อยครั้งทำให้ฉันและคนอื่นต้องร้องไห้ ตอนนี้ฉันสงสัยว่าหัวหน้าคนใหม่จะเป็นแบบไหน ไม่นานหลังก้าวเข้าไปในห้องทำงานของหัวหน้าคนใหม่ ความกลัวของฉันหายไปเพราะเขาต้อนรับฉันอย่างอบอุ่นและขอให้ฉันพูดถึงตัวเองและความคับข้องใจ ฉันรู้ว่าเขาฟังอย่างตั้งใจจากคำพูดและการแสดงออกที่อ่อนโยนที่ทำให้รู้ว่าเขาห่วงใยจริงๆ ผู้เชื่อในพระเยซูคนหนึ่งได้กลายเป็นพี่เลี้ยงในที่ทำงาน เป็นผู้ให้กำลังใจและเป็นเพื่อนของฉัน

อัครทูตเปาโลเป็นพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณของทิตัสผู้เป็น “บุตรแท้ของข้าพเจ้าในความเชื่อเดียวกัน” (ทต.1:4) ในจดหมายถึงทิตัส เปาโลให้คำแนะนำและแนวทางที่เป็นประโยชน์เพื่อการทำหน้าที่ของเขาในคริสตจักร ท่านไม่เพียงสอน แต่ได้เป็นแบบอย่างในการ “สั่งสอนให้สอดคล้องกับคำสอนอันมีหลัก” (2:1) เป็น “แบบอย่างในการดีทุกอย่าง” และจงสุจริตและมีใจสูง และ “ใช้คำพูดอันมีหลัก” (ข้อ 7-8) ซึ่งทำให้ทิตัสกลายเป็นหุ้นส่วน น้องชาย และผู้ร่วมงานของท่าน (2 คร.2:13; 8:23) และเป็นพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณของผู้อื่น

เราหลายคนเคยได้รับประโยชน์จากพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณ คุณครู ครูฝึก คุณปู่คุณย่า ผู้นำอนุชนหรือศิษยาภิบาลของเรา ผู้นำเราด้วยความรู้ สติปัญญา การหนุนใจและความเชื่อในพระเจ้าของพวกท่าน แล้วใครจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากบทเรียนฝ่ายวิญญาณที่คุณได้เดินร่วมกับพระเยซู

มือของคนขับรถบรรทุก

เป็นข่าวที่น่าตกใจ พ่อของผมเพิ่งรอดชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมาก ตอนนี้ท่านตรวจพบมะเร็งตับอ่อน และที่แย่ไปกว่านั้น คือพ่อเป็นผู้ดูแลเต็มเวลาให้กับคุณแม่ที่ป่วยเรื้อรัง การที่ทั้งสองท่านต้องได้รับการดูแลนั้น เรามองเห็นวันที่ยากลำบากรออยู่ข้างหน้า

หลังจากกลับมาอยู่กับพวกท่านที่บ้าน ผมได้ไปที่คริสตจักรของท่านในวันอาทิตย์ ชายคนหนึ่งชื่อเฮลมุทเสนอตัวที่จะช่วยผม สองวันต่อมาเขามาเยี่ยมที่บ้านพร้อมกับรายการสิ่งที่ต้องทำ “คุณจะต้องการอาหารเมื่อเริ่มทำเคมีบำบัด” เขาพูด “ผมจะจัดเวรคนเตรียมอาหารให้ ส่วนการตัดหญ้าผมทำเองได้ แล้วรถขยะจะมาเก็บขยะที่นี่วันไหน” เฮลมุทเป็นคนขับรถบรรทุกที่เกษียณแล้ว แต่สำหรับพวกเราเขาคือทูตสวรรค์ เราพบว่าเขาคอยช่วยคนอื่นอยู่เสมอ ทั้งแม่เลี้ยงเดี่ยว คนไร้บ้าน และผู้สูงอายุ

ขณะที่ผู้เชื่อในพระเยซูถูกเรียกให้ช่วยเหลือผู้อื่น (ลก.10:25-37) บางคนอาจมีความสามารถเป็นพิเศษที่จะทำ เปาโลเรียกสิ่งนั้นว่าของประทานแห่งความเมตตา (รม.12:8) ผู้ที่มีของประทานนี้จะมองเห็นความจำเป็น คอยให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม และสามารถทำล่วงเวลาได้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย โดยการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาเป็นมือในพระกายของพระคริสต์ที่ยื่นออกมาแตะต้องบาดแผลของเรา (ข้อ 4-5)

เร็วๆนี้พ่อได้เข้ารับเคมีบำบัดเป็นวันแรกโดยเฮลมุทเป็นคนขับรถพาท่านไปโรงพยาบาล ค่ำวันนั้นตู้เย็นของเราอัดแน่นไปด้วยอาหารพร้อมรับประทาน

พระเมตตาของพระเจ้าส่งผ่านมาทางมือของคนขับรถบรรทุก

มีไว้สำหรับใคร

ภาพนั้นทำให้ผมหัวเราะเสียงดัง ฝูงชนยืนเรียงรายโบกธงและโปรยกระดาษสีบนถนนเม็กซิกันขณะรอพระสันตะปาปา ที่กลางถนนมีลูกสุนัขจรจัดตัวหนึ่งเดินนวยนาดพร้อมกับรอยยิ้มราวกับว่าฝูงชนกำลังเชียร์มันอยู่ ใช่แล้ว! สุนัขทุกตัวควรมีวันของมัน และมันควรจะเป็นแบบนี้

เมื่อลูกสุนัข “แย่งความสนใจ” ไปอาจดูน่ารัก แต่การแย่งเกียรติของคนอื่นอาจทำลายชีวิตของเรา กษัตริย์ดาวิดทรงรู้ถึงข้อนี้ดีและปฏิเสธที่จะดื่มน้ำที่เหล่าทหารกล้าของพระองค์เสี่ยงชีวิตไปหามาให้ พระองค์ตรัสด้วยความโหยหาว่าคงเป็นการดีมากถ้ามีใครตักน้ำจากบ่อในเบธเลเฮ็มมาให้พระองค์ดื่ม ทหารกล้าสามนายทำตามที่พระองค์ตรัส พวกเขาฝ่าแนวรบของศัตรูเพื่อไปตักน้ำและนำกลับมา กษัตริย์ดาวิดทรงตื้นตันในความจงรักภักดีของพวกเขา และปรารถนาจะส่งต่อความดีของพวกเขา พระองค์ปฏิเสธที่จะดื่มน้ำนั้น แต่ทรง “เทออกถวายแด่พระเจ้า” เพื่อเป็นเครื่องบูชา (2 ซมอ.23:16)

วิธีที่เราตอบสนองต่อคำยกย่องและสรรเสริญจะบ่งบอกถึงตัวตนของเรา เมื่อคำสรรเสริญนั้นมอบให้ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กับพระเจ้า จงหลีกให้พ้นทาง ขบวนแห่นั้นไม่ใช่สำหรับเรา เมื่อคำยกย่องนั้นมีให้กับเรา จงขอบคุณเขาและทวีคูณคำสรรเสริญนั้นโดยถวายเกียรติทั้งหมดแด่พระเยซู “น้ำ” นั้นไม่ใช่เพื่อเราเช่นกัน จงขอบพระคุณและเทน้ำนั้นถวายต่อพระพักตร์พระเจ้า

เลือกที่จะมีความหวัง

ฉันเป็นหนึ่งในหลายล้านคนทั่วโลกที่ต้องทนทุกข์กับภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เป็นภาวะที่เกิดกับผู้ที่อยู่ในที่ซึ่งมีแสงอาทิตย์จำกัดในฤดูหนาวที่มีช่วงกลางวันสั้น เมื่อฉันเริ่มกลัวว่าความหนาวเหน็บของฤดูหนาวจะไม่มีวันสิ้นสุด ฉันเริ่มอยากเห็นสัญญาณว่ากลางวันที่ยาวนานและอบอุ่นขึ้นกำลังจะมาถึง

สัญญาณแรกของฤดูใบไม้ผลิคือดอกไม้เริ่มแทรกตัวผ่านหิมะออกมาอย่างกล้าหาญ นี่เป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลังว่า ความหวังในพระเจ้าจะฝ่าทะลุฤดูกาลที่มืดมิดที่สุดของเราได้เช่นกัน มีคาห์ยอมรับขณะยืนหยัดในความปวดร้าวใจของ “ฤดูหนาว” ที่ชนชาติอิสราเอลหันออกจากทางของพระเจ้า ขณะประเมินสถานการณ์ที่มืดมนท่านคร่ำครวญว่า “จะหาคนซื่อตรงสักคนก็ไม่มี” (มคา.7:2)

แม้สถานการณ์จะดูเลวร้าย แต่มีคาห์ไม่ยอมหมดหวัง ท่านเชื่อมั่นว่าพระเจ้ากำลังทำงาน (ข้อ 7) แม้อยู่ในท่ามกลางการทำลายล้าง และท่านก็ยังไม่เห็นสัญญาณใดๆจากพระเจ้า

เราต้องเผชิญความยากลำบากเช่นเดียวกับมีคาห์ เมื่อเราอยู่ในความมืดมิดที่ดูเหมือนไม่สิ้นสุดของ “ฤดูหนาว” และฤดูใบไม้ผลิดูเหมือนจะมาไม่ถึง เราจะยอมสิ้นหวังหรือไม่ หรือเราจะ “มองดูพระเจ้า” (ข้อ 7)

ความหวังในพระเจ้าของเราไม่มีวันสูญเปล่า (รม.5:5) พระองค์จะนำช่วงเวลาที่ไร้ซึ่ง “ฤดูหนาว” คือเวลาที่ไม่มีการร้องไห้และความเจ็บปวดมาให้เรา (วว.21:4) จนกว่าจะถึงวันนั้น ให้เราพักสงบอยู่ในพระองค์และยอมรับว่า “ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์” (สดด.39:7)

อธิษฐานบนชายหาดลาพลาย่า

ในระหว่างการท่องเที่ยวเพื่อฉลองการแต่งงานครบรอบ 25 ปี ฉันและสามีอ่านพระคัมภีร์อยู่ที่ชายหาด พ่อค้าแม่ค้าเดินตะโกนขายของผ่านไปมาหลายคน เราขอบคุณพวกเขาแต่ไม่ได้ซื้ออะไร เฟอร์นันโด้พ่อค้าคนหนึ่งยิ้มกว้างให้เมื่อฉันปฏิเสธและพยายามชักชวนให้เราซื้อของขวัญให้เพื่อน หลังจากที่ฉันปฏิเสธ เฟอร์นันโด้เก็บของและกำลังจะลุกจากไปพร้อมรอยยิ้ม ฉันบอกกับเขาว่า “ฉันอธิษฐานขอให้พระเจ้าอวยพระพรคุณในวันนี้”

เฟอร์นันโด้หันกลับมาและพูดว่า “พระองค์อวยพรผมแล้ว! พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของผม” เฟอร์นันโด้คุกเข่าลงระหว่างเก้าอี้ของเรา “ผมรู้สึกว่าพระเจ้าทรงสถิตที่นี่” จากนั้นเขาแบ่งปันถึงการที่พระเจ้าปลดปล่อยเขาจากการติดยาและติดเหล้าเมื่อ 14 ปีก่อน

ฉันน้ำตาไหลเมื่อเขาท่องบทกลอนจากพระธรรมสดุดีและอธิษฐานเผื่อเรา พวกเราร่วมกันสรรเสริญพระเจ้าและชื่นชมยินดีที่ทรงสถิตกับเราที่ลาพลาย่า

สดุดีบทที่ 148 เป็นคำอธิษฐานแห่งการสรรเสริญ ผู้เขียนสดุดีหนุนใจทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง “ให้สิ่งเหล่านั้นสรรเสริญพระนามพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงบัญชา สิ่งเหล่านั้นก็ถูกเนรมิตขึ้นมา” (ข้อ 5) “เพราะพระนามของพระองค์เท่านั้นที่ควรเยินยอ พระสิริของพระองค์อยู่เหนือแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์” (ข้อ 13)

แม้พระเจ้าทรงเรียกให้เรามอบความต้องการของเราไว้ต่อพระองค์ และวางใจว่าพระองค์ทรงฟังและห่วงใยเรา แต่พระองค์ก็ทรงยินดีในคำอธิษฐานที่เราสรรเสริญพระองค์ด้วยความขอบพระคุณไม่ว่าจะอยู่ที่ใด แม้กระทั่งที่ชายหาด

เข้มแข็งและกล้าหาญ

แต่ละคืนเมื่อคาเลบน้อยหลับตาลง เขารู้สึกว่าความมืดห่อหุ้มตัวเขาไว้ ความเงียบในห้องของเขาถูกรบกวนเสมอจากเสียงลั่นของบ้านไม้ในคอสตาริก้า จากนั้นค้างคาวในห้องใต้หลังคาก็จะเริ่มตื่นตัว แม่ของเขาเปิดไฟหรี่ไว้ให้ในห้องแต่เขาก็ยังคงกลัวความมืด คืนหนึ่งพ่อของคาเลบติดข้อพระคัมภีร์ไว้ที่ปลายเตียงของเขาว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย...เพราะพระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า” (ยชว.1:9) คาเลบเริ่มอ่านพระคำนั้นทุกคืน และเขาติดพระสัญญาของพระเจ้าข้อนี้ไว้ปลายเตียงจนเขาย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัย

ในพระธรรมโยชูวาบทที่ 1 เราอ่านเรื่องการสืบทอดตำแหน่งผู้นำของโยชูวาหลังจากโมเสสเสียชีวิต คำสั่ง “จงเข้มแข็งและกล้าหาญ” ถูกย้ำเตือนหลายครั้งเพื่อเน้นถึงความสำคัญต่อโยชูวาและชนชาติอิสราเอล (ข้อ 6-7, 9) แน่นอนว่าพวกเขารู้สึกหวั่นใจที่ต้องเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน แต่พระเจ้าตรัสเพื่อให้เขามั่นใจว่า “เราอยู่กับโมเสสมาแล้วฉันใด เราจะอยู่กับเจ้าฉันนั้น เราจะไม่ละเลยหรือละทิ้งเจ้าเสีย” (ข้อ 5)

เป็นเรื่องปกติที่จะกลัว แต่มันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพและจิตวิญญาณหากเราต้องอยู่กับมันเสมอๆ เหมือนกับที่พระเจ้าทรงหนุนใจผู้รับใช้ของพระองค์ในอดีต เราทุกคนสามารถเข้มแข็งและกล้าหาญได้ เพราะพระเจ้าสัญญาว่าจะทรงสถิตกับเราเสมอ

รอดจากความแห้งแล้ง

ในเดือนเมษายนปี 2019 ย่านชานเมืองในวิกเตอร์วิลล์รัฐแคลิฟอร์เนียถูกปกคลุมไปด้วยวัชพืช สายลมแรงพัดพาเมล็ดของต้นทิเซิ้ลซึ่งมีหนามแหลมจากทะเลทรายโมฮาวีที่อยู่ติดกันให้มาเจริญเติบโตที่นี่ เมื่อโตเต็มที่วัชพืชที่น่ารังเกียจอาจสูงถึงหกฟุต เป็นขนาดที่น่ากลัวเมื่อมันหลุดจากรากและ “ล้มกลิ้ง” ไปตามลมเพื่อกระจายเมล็ดของมัน

ฉันเห็นภาพของวัชพืชเมื่ออ่านคำจำกัดความของเยเรมีย์ถึงบุคคลที่ “ใจของเขาหันออกจากพระเจ้า” (ยรม.17:5) ท่านกล่าวว่าผู้ที่พึ่งพาในกำลังของ “เนื้อหนัง” จะเป็นเหมือน “พุ่มไม้ที่อยู่ในทะเลทราย” และไม่สามารถ “เห็นความดีอันใดมาถึงเลย” (ข้อ 5-6) ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับผู้ที่มอบความวางใจของเขาไว้ในพระเจ้าแทนที่จะเป็นมนุษย์ พวกเขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่รากอันแข็งแรงและหยั่งลึกได้รับกำลังจากพระเจ้า ทำให้พวกเขายังคงเต็มไปด้วยชีวิตแม้อยู่ในสถานการณ์ที่แห้งแล้ง

ทั้งวัชพืชและต้นไม้ต่างก็มีราก แต่วัชพืชไม่ยึดติดอยู่กับรากที่ให้ชีวิต มันจึงแห้งและตายไป ในทางตรงกันข้าม ต้นไม้ยึดติดอยู่กับรากของมันอย่างมั่นคงซึ่งช่วยให้มันเติบโต เบ่งบานและหล่อเลี้ยงมันในเวลายากลำบาก เมื่อเรายึดมั่นในพระเจ้า รับกำลังและการหนุนใจจากพระปัญญาที่พบได้ในพระคัมภีร์ และพูดคุยกับพระองค์ในคำอธิฐาน เราจะได้รับชีวิตและการบำรุงเลี้ยงที่พระองค์ทรงจัดเตรียมเพื่อเรา

ยิงได้เยี่ยมจริงหรือ

เมื่อการ์ตูนแบมบี้ของวอลท์ดิสนีย์ออกฉายอีกครั้ง บรรดาพ่อแม่ต่างได้รำลึกถึงความทรงจำในวัยเด็กกับลูกๆ คุณแม่วัยสาวซึ่งสามีเป็นนักเดินป่าตัวยงพร้อมห้องถ้วยรางวัลที่น่าประทับใจเป็นหนึ่งในนั้น เธอและลูกน้อยที่อยู่ข้างๆได้สัมผัสถึงช่วงเวลาที่บีบคั้นและเศร้าโศกเมื่อแบมบี้สูญเสียแม่ให้กับนายพราน จนถึงวันนี้ ในการสังสรรค์ของครอบครัวเธอมักจะระลึกถึงความอับอายเมื่อลูกชายตัวน้อยตะโกนอย่างไร้เดียงสาในโรงภาพยนต์ว่า “ยิงได้เยี่ยม!”

เราหัวเราะได้กับเรื่องอับอายที่ลูกๆของเราพูดภายหลังเหตุการณ์ แต่เราจะพูดอะไรได้เมื่อคนในสดุดี 136 ทำสิ่งที่คล้ายคลึงกัน อิสราเอลซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเลือกสรรและได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า ได้เฉลิมฉลองความรักมั่นคงที่ทรงมีต่อสิ่งทรงสร้างและตัวพวกเขาเอง แต่ไม่รวมถึงศัตรูของพวกเขา พระธรรมสดุดีร้องเพลงสรรเสริญถวาย “พระองค์ผู้ทรงตีอียิปต์ทางบรรดาลูกหัวปี” (ข้อ 10 และดูอพย.12:29-30)

นี่ฟังดูคล้ายกับการตะโกนว่า “ยิงได้เยี่ยม” ให้กับการสูญเสียของแม่ พี่สาว พ่อ หรือพี่ชายของใครบางคนไหม

นั่นคือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องรู้เรื่องราวที่เหลือ โดยแสงแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเท่านั้นที่ทำให้โลกได้รับเชิญให้เป็นครอบครัวเดียวกัน และชื่นชมยินดีไปกับเรื่องราว น้ำตาและเสียงหัวเราะร่วมกัน เมื่อเรายอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและมีชีวิตในพระองค์เท่านั้น ที่เราจะสามารถแบ่งปันความอัศจรรย์ของพระเจ้าผู้ทรงรักมนุษย์ทุกคน โดยยอมสละพระชนม์ของพระองค์เองเพื่อเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา