Category  |  ODB

พักสงบในพระคริสต์

หลายปีก่อน มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้วิเคราะห์เรื่องภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นที่เชื่อมโยงกับปริมาณการนอนหลับของพวกเขาในแต่ละคืน หลังจากอ่านงานวิจัยหญิงสาวคนหนึ่งแสดงความเห็นในผลวิจัยนั้นว่า “ดูเหมือนฉันไม่เคยรู้ตัวว่าควรหยุดเมื่อไร ฉันผลักดันตัวเองอย่างหนักจนทำให้ตัวเองป่วยเพราะนอนน้อยและเครียด” จากนั้นเธอต้องการรู้ว่าการบริหารเวลาเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าจริงๆแล้วคืออะไร และต้องการรู้ถึงความแตกต่างระหว่างงานที่ยุ่งกับงานที่เกิดผล

การทำงานมากมายจนยุ่งไม่ได้รับประกันถึงประสิทธิภาพ ความสัตย์ซื่อ หรือการเกิดผลมาก แต่เรามักคิดว่าการทำงานยุ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในพระธรรมลูกา 10:41 พระเยซูทรงเตือนมารธาอย่างอ่อนโยนว่าเธอ “ร้อนใจด้วยหลายสิ่ง” และการเลือกของมารีย์น้องสาวของเธอที่ “นั่งใกล้พระบาทพระเยซู” (ข้อ 39) ซึ่งเป็นภาพของการเป็นสาวกนั้นคือตัวเลือกที่ดีกว่า

ในความปรารถนาของเราที่อยากจะรับใช้พระคริสต์นั้น เราทำมากเกินไปโดยคิดว่าพระองค์จะสังเกตเห็นเราได้มากกว่าเพราะเราทำมากใช่ไหม พระธรรมโคโลสี 3:17 บอกว่า “เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า” แต่พระวจนะข้อนี้ไม่ได้บอกให้เรารับใช้ในพระนามพระองค์จนหมดแรง ในสดุดี 46:10 เราได้ยินคำเตือนนี้ “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า”

ขอให้เราผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง และใช้เวลาอยู่กับพระคริสต์แทนที่จะจดจ่อกับรายการของสิ่งที่ต้องทำ เมื่อนั้น “จิตใจ [เราจึง]จะได้พัก” (มธ.11:29) อย่างแท้จริง

รายชื่อคือชีวิต

อิทชัค สเติร์น นั่งค้อมตัวทำงานอยู่เหนือเครื่องพิมพ์ดีดตลอดคืนเพื่อพิมพ์รายชื่อทั้งหมด 1,098 ชื่อ ทั้งหมดเป็นรายชื่อของคนงานชาวยิวที่เจ้าของโรงงานออสการ์ ชินด์เลอร์ ช่วยไว้จากพวกนาซี ขณะถือเอกสารไว้ในมือ สเติร์นประกาศว่า “รายชื่อนี้ดีเยี่ยม รายชื่อนี้คือชีวิต” เพราะรายชื่อในเอกสารนั้นได้รอดพ้นจากการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในปี 2012 มีการคำนวณคร่าวๆว่าลูกหลานของผู้รอดชีวิตในครั้งนั้นมีประมาณ 8,500 คน

ในพระคัมภีร์ก็มีรายชื่อแบบเดียวกัน แต่พวกเรามักจะอ่านข้ามไป เพราะมีีชื่อมากเกินไป มีชื่อที่ซ้ำกันมากเกินไป บางครั้งพวกเราก็บ่นว่าพระธรรมสำหรับวันนี้...น่าเบื่อ “บุตรของยูดาห์ตามครอบครัวของเขา คือเชลาห์คนตระกูลเชลาห์ เปเรศคนตระกูลเปเรศ ...” (กดว.26:20) ใครจะไปอยากรู้ล่ะ

แต่พระเจ้าทรงสนพระทัย! พวกเขาคือ “คนอิสราเอล ผู้ที่ออกจากแผ่นดินอียิปต์” ตามที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ (ข้อ 4) หลังจากนั้นไม่นานประชาชนได้เข้าครอบครองดินแดนที่ทรงสัญญาไว้กับพวกเขา และวันหนึ่งพระเมสสิยาห์จะมาจากชนเผ่ายูดาห์นี้ รายชื่อนี้คือชีวิต ไม่เพียงสำหรับชาวยิวเท่านั้น แต่สำหรับทุกคนที่เชื่อในพระเยซู

พวกเรารู้เกี่ยวกับรายชื่อของออสการ์ ชินด์เลอร์จากภาพยนตร์เรื่อง ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม และบันทึกทางประวัติศาสตร์ พวกเรารู้เรื่องการช่วยให้รอดที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจากเรื่องราวที่บันทึกไว้เพื่อเราในพระคัมภีร์ เมื่อเราอ่านพระวจนะของพระเจ้า ขอพระวิญญาณทรงสำแดงให้เราเห็นคุณค่าของรายชื่อเหล่านั้น รายชื่อเหล่านี้มีความหมายต่อเราเช่นกัน

มอบความกังวลไว้กับพระเยซู

แนนซี่กลัวอนาคตเพราะเธอมองเห็นแต่ปัญหา ทอมสามีของเธอเป็นลมไปสามครั้งขณะเดินป่าในชนบทของรัฐเมน แต่แพทย์ของโรงพยาบาลเล็กๆ ในละแวกนั้นตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ และที่ศูนย์การแพทย์ใหญ่แพทย์ได้ทำการตรวจเพิ่มเติมแต่ก็ไม่พบปัญหาเช่นกัน “ฉันกลัวมาก” แนนซี่กล่าว ขณะที่สามีของเธอได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน เธอถามหมอโรคหัวใจเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ตอนนี้เราต้องทำอย่างไร” หมอได้ให้คำแนะนำแห่งสติปัญญาที่เปลี่ยนมุมมองของเธอตลอดไป “กลับไปใช้ชีวิตของคุณ” เขากล่าว “นี่ไม่ใช่คำพูดติดตลก” แนนซี่เล่า “แต่เป็นคำแนะนำสำหรับเรา”

คำแนะนำนั้นตรงกับคำสอนของพระเยซูในคำเทศนาบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า “อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ” (มธ.6:25) คำแนะนำนั้นไม่ได้บอกเราว่าไม่ต้องสนใจเรื่องการแพทย์ หรือปัญหาและอาการต่างๆของโรค ในทางกลับกันพระคริสต์ตรัสว่า “อย่ากระวนกระวาย” (ข้อ 25) จากนั้นทรงถามว่า “โดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ” (ข้อ 27)

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้นำเสนอถึงสติปัญญาที่คล้ายกัน “จงกล่าวกับคนที่มีใจคร้ามกลัวว่า ‘จงแข็งแรงเถอะ อย่ากลัว ดูเถิด พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมา’”(อสย.35:4) สำหรับแนนซี่และทอม ตอนนี้พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจให้เดินวันละมากกว่าแปดกิโลเมตร พวกเขาไม่ได้เดินด้วยความกังวลอีกต่อไป แต่ก้าวเดินไปด้วยความชื่นชมยินดี

ไม่ฉุนเฉียวง่าย

เมื่อฉันเข้ามาในคริสตจักรหลังจากที่มีการกักตัวช่วงโควิดเป็นเวลาหลายเดือน ฉันตื่นเต้นที่ได้พบสมาชิกที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาระยะหนึ่ง ฉันตระหนักว่ามีบางคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่ได้กลับมา ทั้งด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยและอื่นๆ แต่น่าเศร้าที่บางคนก็จากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อได้เห็นสามีภรรยาสูงวัยคู่หนึ่งเดินเข้ามาในห้องนมัสการและนั่งตรงที่นั่งประจำด้านหลังฉัน ฉันโบกมือให้เขาทั้งสอง สามีโบกมือตอบขณะที่ภรรยาของเขาได้แต่จ้องมองที่ฉันโดยไม่มีรอยยิ้ม ฉันรู้สึกเจ็บปวดและสงสัยว่าเพราะเหตุใด

สองสามสัปดาห์ต่อมาฉันสังเกตเห็นหญิงผู้เป็นภรรยาคนนั้น ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนที่เป็นเหมือนผู้ดูแลเมื่อเธอต้องยืนขึ้นหรือนั่งลง เพื่อนสูงวัยของฉันป่วยมากและจำฉันไม่ได้ ฉันดีใจที่ไม่ได้ต่อว่าหรือโกรธตอนที่เธอไม่ได้ตอบสนองการทักทายของฉัน

พระธรรมสุภาษิตหลายตอนให้คำแนะนำเกี่ยวกับการมีชีวิตอย่างมีสติปัญญา และการไม่ฉุนเฉียวง่ายก็เป็นเหมือนอัญมณี แท้จริงแล้ว สุภาษิตกล่าวว่า “สามัญสำนึกที่ดี...และที่มองข้าม[ความผิด]ไปเสียก็เป็นศักดิ์ศรีแก่เขา” (ข้อ 11) การเลือกที่จะไม่ฉุนเฉียวและเรียนรู้ที่จะ “โกรธช้า” (ข้อ 11) จะนำศักดิ์ศรีมาสู่เรา อาจต้องอาศัยความอดทนและ “ปัญญา” (ข้อ 8) แต่รางวัลที่จะได้รับนั้นก็ควรค่าแก่การที่เราจะมองข้ามตัวเอง และเลือกที่จะรักผู้อื่น

พระเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือการหยั่งรู้

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ได้ทำการค้นพบที่น่าจดจำอีกครั้งหนึ่ง ข้ามขอบเขตจักรวาลที่มนุษยชาติได้เคยสำรวจ กล้องโทรทรรศน์ได้ค้นพบกาแลคซี่ใหม่อีก 6 แห่ง การค้นพบครั้งนี้ส่งผลอย่างมากต่อสิ่งที่เราเคยรู้เกี่ยวกับอวกาศ นักดาราศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า “กลายเป็นว่าบางสิ่งที่เราค้นพบโดยไม่คาดคิดนี้ กลับสร้างปัญหาให้กับวิทยาศาสตร์” นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์พูดแก้ตัวว่า “การไม่รู้ไม่ใช่เรื่องผิด”

ดูเหมือนพระเจ้าทรงสำแดงเรื่องน่าประหลาดใจแก่เราอย่างต่อเนื่อง นานก่อนที่จะมีกล้องโทรทรรศน์อวกาศ ผู้พยากรณ์อิสยาห์เคยพูดโดยตรงกับนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันว่า “ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็น...พระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (อสย.40:28) ท่านได้พูดไว้ล่วงหน้าก่อนนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ว่า “ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้” (ข้อ 28)

แต่หากเราจะหยุดเพียงแค่นั้น เราก็จะพลาดความงดงามของข้อความนี้ทั้งหมด พระองค์ผู้ทรงอยู่เหนือการหยั่งรู้หาใช่พระเจ้าผู้ทรงห่างเหิน พระองค์ผู้ทรงสร้างกาแลคซี่ทั้ง 6 และธรรมชาติทั้งสิ้น (ข้อ 26) ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวกับพระองค์ผู้ “ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลังพระองค์ทรงเพิ่มแรง” (ข้อ 29) พระเจ้าแห่งจักรวาลทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงช่วยให้คนที่หวังใจในพระองค์ “บินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี” (ข้อ 31) จงมั่นใจเถิดว่า พระเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือการหยั่งรู้นี้คือพระเจ้าที่เรารู้จักผู้ทรงตรัสในชีวิตของเราด้วยฤทธิ์เดชและพลานุภาพ

ภาพพระเยซู

โมเสสมีเขาด้วยหรือ นั่นคือลักษณะของประติมากรรมชิ้นเอกรูปโมเสสโดยไมเคิลแองเจโลที่เสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1515 เขาทั้งสองนั้นงอกออกมาเหนือหน้าผากของโมเสส

ไม่เพียงไมเคิลแองเจโล แต่ศิลปินในยุคเรอเนสซองส์และยุคกลางหลายคนก็สร้างภาพของโมเสสในลักษณะเดียวกัน สาเหตุมาจากการแปลพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูเป็นภาษาละตินในยุคนั้น ซึ่งอธิบายใบหน้าที่ทอแสงของโมเสสหลังจากสนทนากับพระเจ้า (อพย.34:29) ในภาษาต้นฉบับใช้คำที่สอดคล้องกับคำว่า “เขา” เพื่ออธิบาย “ลำแสง” ที่ส่องสว่างบนใบหน้าของโมเสส และพระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับโวลเกทแปลตามตัวอักษร ทำให้โมเสสถูกวาดภาพ “ผิดไป”

คุณเคยวาดภาพใครบางคนผิดไปบ้างไหม หลังจากเปโตรได้รักษาชายที่เป็นง่อยแต่กำเนิดในพระนามของพระเยซู (กจ.3:1-10) อัครทูตได้บอกคนอิสราเอลว่าพวกเขาวาดภาพพระเยซูผิดไป “ท่านทั้งหลายจึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย” ท่านพูดอย่างตรงประเด็น “แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก” (ข้อ 15) ท่านกล่าวต่อว่า “แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ว่าพระคริสต์ของพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น” (ข้อ 18) เปโตรยังบอกอีกว่า แม้โมเสสเองก็ชี้ถึงพระคริสต์ด้วย (ข้อ 22)

“โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์”คือ “ความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์” ได้ทำให้ชีวิตของชายผู้นี้เปลี่ยนแปลงไป (ข้อ 16) ไม่ว่าเราจะเคยเข้าใจพระองค์ผิดไปหรือมีเรื่องราวในอดีตมาอย่างไร พระคริสต์ทรงยินดีต้อนรับเราเสมอเมื่อเราหันกลับมาหาพระองค์ พระผู้สร้างชีวิตทรงพร้อมที่จะเขียนจุดเริ่มต้นใหม่ให้กับเรา

หยิบยื่นความรักของพระเจ้า

วันหนึ่งในฤดูหนาวที่รัฐมิชิแกน พนักงานส่งของเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังขุดหิมะออกจากทางเดินรถของเธอ เขาจึงหยุดและโน้มน้าวหญิงวัยแปดสิบเอ็ดปีที่จะยอมให้เขาช่วยขุดหิมะต่อให้เสร็จ ด้วยความกังวลว่าเขาจะไปส่งของล่าช้า หญิงชราจึงหยิบพลั่วอีกอันหนึ่งออกมา เพื่อนบ้านมองเห็นทั้งสองคนทำงานเคียงข้างกันเกือบสิบห้านาทีจากระยะไกล “ขอบคุณจริงๆที่มาช่วยฉัน” หญิงชราพูด “คุณคือคนที่พระเจ้าทรงส่งมา”

ในระหว่างการสนทนากับผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมบัญญัติ พระเยซูได้ทรงให้นิยามใหม่เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการรักเพื่อนบ้าน(ลก.10:25-37)เมื่อพระเยซูทรงขอให้เขาอธิบายธรรมบัญญัติที่เขารู้จักดี ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (ข้อ 27)

จากนั้นพระเยซูทรงเล่าเรื่องผู้นำทางศาสนาสองคนที่เมินเฉยเหยื่อที่ถูกปล้น แต่ชาวสะมาเรียที่ผู้นำของชาวยิวในยุคนั้นถือว่าเป็นชนชั้นต่ำ ได้ยอมเสียสละเข้าช่วยชายที่บาดเจ็บ (ข้อ 30-35) เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมบัญญัติได้ตระหนักว่า ชายผู้มีเมตตาต่อเหยื่อคือผู้ที่ได้แสดงความรักต่อเพื่อนบ้าน พระเยซูจึงหนุนใจเขาให้ทำแบบเดียวกัน (ข้อ 36-37)

การแสดงความรักต่อผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่ายในทุกครั้ง แต่เมื่อพระเยซูทรงเติมเราให้เต็มล้นด้วยความรักของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงช่วยให้เรารักเพื่อนบ้านได้เหมือนกับชาวสะมาเรียใจดีนั้น

พระเยซูเป็นที่พักพิงของเรา

ในปีค.ศ. 1943 ค่ายแห่งหนึ่งในชนบทของรัฐแมรี่แลนด์ชื่อแชงกรีล่า ได้ถูกซื้อเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนส่วนตัวของประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์แห่งสหรัฐอเมริกา ข้อมูลในเว็บไซต์ของทำเนียบขาวระบุว่า ค่ายแห่งนี้เรียบง่าย เงียบสงบและห่างไกลผู้คน จึงทำให้รู้สึก “เป็นส่วนตัวและผ่อนคลาย” และ “เป็นสถานที่เหมาะแก่การทำงานและรับรองผู้นำจากต่างประเทศอีกด้วย” เมื่อดไวท์ ไอเซนฮาวร์ได้เป็นประธานาธิบดี เขาเปลี่ยนชื่อค่ายแห่งนี้เป็นแคมป์เดวิด เพื่อเป็นเกียรติและเป็นที่ระลึกถึงพ่อและหลานชายของเขา ชื่อนี้จึงใช้มาจนถึงปัจจุบัน นอกเหนือจากการเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัยแล้ว ค่ายแห่งนี้นำความทันสมัยมาใช้น้อยมาก สถานที่นี้จึงยังคงเป็นที่ที่เหมาะให้ประธานาธิบดีและครอบครัวใช้ในการหลบเร้นและพักผ่อน

ผู้เชื่อในพระเยซูก็มีค่ายที่เราจะเข้ามาพักสงบได้ในท่ามกลางโลกที่วุ่นวายเช่นกัน ในพระธรรมสดุดี 32:7 กษัตริย์ดาวิดทรงเขียนว่า “พระองค์ทรงเป็นที่ซ่อนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงสงวนข้าพระองค์ไว้จากความยากลำบาก พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยเพลงฉลองการช่วยกู้” กษัตริย์ดาวิดตระหนักว่าพระเจ้าทรงเป็นที่ปลอดภัยที่แท้จริงของพระองค์

พระเยซูเชื้อเชิญเราให้พบการฟื้นฟูและสงบในพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก” (มธ.11:28-29) พระองค์ทรงเป็นที่พักพิงของเราเสมอ ในทุกวันและทุกเวลา

เข้าใจพระคัมภีร์

พระคัมภีร์นั้นสำคัญเพียงใด พระคัมภีร์สำคัญมากจนผู้คนในหลายประเทศยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อแปลเป็นภาษาของพวกเขา บ่อยครั้งคนธรรมดาเหล่านี้ที่เชื่อในพระเยซูต้องถูกจับกุมเพราะแปลพระวจนะคำให้เป็นภาษาที่คนอื่นๆสามารถเข้าใจได้

นักแปลหญิงคนหนึ่งในประเทศที่ต่อต้านผู้เชื่อในพระเยซูกล่าวว่า “ฉันต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ ฉันต้องการเห็นคนที่ฉันรักได้รับความรอดในพระคริสต์” และชายคนหนึ่งที่ดูแลจัดการให้ประชาชนทั่วไปลักลอบแปลพระคัมภีร์อธิบายว่า พระคัมภีร์เป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อการเติบโตเป็นผู้เชื่อที่เข้มแข็งในคริสตจักรท้องถิ่น “คุณเริ่มคริสตจักรได้ แต่...(หากไม่มี)พระคัมภีร์ในภาษาของพวกเขาแล้ว คริสตจักรจะอยู่รอดได้แค่เพียงคนในรุ่นเดียวเท่านั้น”

เหตุที่พวกเขาต้องทำสิ่งนี้ ก็เพราะไม่มีหนังสือเล่มใดเหมือนพระคัมภีร์ การดำรงอยู่ของพระคัมภีร์มาตลอดหลายศตวรรษเป็นสิ่งที่พิเศษ ความจริงแท้ของพระคัมภีร์และการสำแดงถึงหัวใจของมนุษย์นั้นถูกต้องแม่นยำ พระคัมภีร์นั้น “ไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ...และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” (ฮบ.4:12) และ “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า” ( 2 ทธ.3:16) และสำคัญที่สุด พระคัมภีร์เปิดเผยต้นกำเนิดและความจริงแห่ง “ความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 15)

ขอให้เราอ่าน ยึดมั่น และดำเนินชีวิตตามพระคัมภีร์ และเมื่อพระเจ้าทรงเปิดหนทาง ขอให้เราช่วยผู้คนทั่วโลกให้ได้รับและเข้าใจในพระคัมภีร์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา