Category  |  ODB

ฟังเสียงร้องของก้อนหิน

หลังพิธีไว้อาลัยของพ่อที่ครอบครัวเราจัดขึ้นที่ริมแม่น้ำ เราแต่ละคนเก็บหินไว้คนละก้อนเพื่อระลึกถึงท่าน ชีวิตของท่านเหมือนกับเกมกระดานหมากรุกที่มีทั้งแพ้และชนะ แต่เรารู้ว่าหัวใจท่านมีแต่พวกเรา นิ้วของฉันลูบไล้ไปบนผิวเรียบๆของก้อนหินซึ่งช่วยฉันให้ระลึกถึงท่านเสมอ

ในลูกาบทที่ 19 พระเยซูเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต ขณะที่ฝูงชนโบกทางอินทผลัมพร้อมกับตะโกนร้องโฮซันนาและแซ่ซ้องว่า “ขอให้พระมหากษัตริย์ ผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ” (ข้อ 38; ดู ยน.12:12-13) พวกฟาริสีไม่พอใจเพราะคิดว่าการกล่าวอ้างว่าเป็นพระเมสสิยาห์ถือเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าจึงบอกพระเยซูให้สั่งเหล่าสาวกหยุดโห่ร้อง พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง” (ลก.19:40)

ก้อนหินส่งเสียงร้องในหลายรูปแบบ พระเจ้าทรงใช้ก้อนหินในการบอกถึงเรื่องราวแห่งความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อเรา หินสกัดสองก้อนที่แกะสลักบัญญัติสิบประการเพื่อสอนเราในการดำเนินชีวิต (อพย.34:1) หินแห่งความทรงจำที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนเพื่อเตือนชนอิสราเอลทุกรุ่นให้ระลึกถึงการจัดเตรียมและความสัตย์ซื่อของพระเจ้า (ยชว.4:8-9) หินก้อนหนึ่งที่กลิ้งปิดปากอุโมงค์เก็บพระศพของพระเยซู เป็นก้อนเดียวกับที่กลิ้งออกเพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ (มธ.27:59-66; ลก. 24:2) เรา “ได้ยิน” หินก้อนนี้ที่เตือนเราถึงคำตรัสของพระเยซูว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต” (ยน.11:25)

จงฟังเสียงร้องของก้อนหินและเปล่งเสียงร่วมกับหินนั้นเพื่อสรรเสริญพระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักของเรา

เสียงเตือนของพระวิญญาณที่คอยช่วยเรา

ในปีหนึ่งฉันตอบรับที่จะร้องเพลงก่อนการแข่งกีฬาของลูกชาย แม้ฉันจะจำเพลงนั้นจนขึ้นใจแล้วแต่ก็ยังคงฝึกซ้อมอยู่หลายสัปดาห์ ดังนั้นเมื่อฉันเดินเข้าไปในสนามโดยมีทีมนักกีฬายืนเรียงกันข้างฉันทั้งสองด้าน ฉันจึงหลับตาลงและอธิษฐาน ฉันเริ่มร้องเพลงสองสามบรรทัดแรกแล้วฉันก็ยืนตัวแข็ง ในจังหวะนั้นฉันจำเนื้อร้องบรรทัดต่อไปไม่ได้ ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังกระซิบคำที่ฉันลืม ทันทีที่ได้ยินเสียงซึ่งช่วยเตือนความจำนั้น ฉันก็เปล่งเสียงร้องเพลงส่วนที่เหลือได้ด้วยความมั่นใจ

เราทุกคนต่างต้องการความช่วยเหลือบ้างในบางครั้ง ในยอห์นบทที่ 14 พระเยซูทรงอธิบายว่าเราแสดงความรักต่อพระองค์ได้ก็โดยการเชื่อฟังพระองค์ (ข้อ 15) และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะทูลขอพระบิดาให้ส่งองค์พระผู้ช่วยมาช่วยเรา “คือพระวิญญาณแห่งความจริง” (ข้อ 17) พระวิญญาณนี้ “โลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน” (ข้อ 17) แม้ว่าพระเยซูจะทรงสอนสาวกหลายสิ่งขณะอยู่กับพวกเขา (ข้อ 25) พระองค์ตรัสว่า “องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” (ข้อ 26)

เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน พระวิญญาณจะช่วยเราในการตีความให้เข้าใจและปรับใช้พระคำซึ่งเป็นพระปัญญาของพระเจ้านี้ การทรงนำของพระองค์สอดคล้องกับพระวจนะเสมอ เพื่อชี้ทาง ปลอบโยน และเปลี่ยนแปลงเราด้วยความรัก ทรงเป็นเสียงเตือนที่คอยช่วยเหลือเราทุกครั้งเสมอไป

ความโศกเศร้าที่แสนหวาน

ชายคนหนึ่งชื่อฮิเดะซาบุโระ อูเอโนะสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียลในช่วงทศวรรษ 1920 ทุกวันเขากลับบ้านโดยรถไฟเที่ยวบ่ายสามโมงซึ่งฮาจิโกะสุนัขของเขาจะมารอรับ วันหนึ่งศาสตราจารย์อูเอโนะมีภาวะเส้นเลือดในสมองแตกระหว่างการสอนและเสียชีวิต เมื่อเขาไม่ได้ออกมาจากรถไฟเที่ยวบ่าย ฮาจิโกะวนเวียนรออยู่สักพักแล้วกลับบ้านไป วันต่อมาสุนัขกลับมารอเวลาบ่ายสามโมงเช่นเดิม และวันถัดๆไปเป็นเวลาสิบปี ความจงรักภักดีของฮาจิิโกะเป็นที่ประทับใจของคนญี่ปุ่นจำนวนมากซึ่งแวะเวียนมานั่งรอเป็นเพื่อนมัน

เอลีชาอุทิศตัวให้กับเอลียาห์เจ้านายของท่านเช่นกัน ในวันที่เอลีชารู้ว่าจะสูญเสียเอลียาห์ไป ท่านไม่ยอมให้เอลียาห์คลาดสายตา เมื่อรถเพลิงมารับเอลี-ยาห์ขึ้นสู่สวรรค์ เอลีชาตะโกนบอกสิ่งที่ท่านเห็น “คุณพ่อของข้าพเจ้า คุณพ่อของข้าพเจ้า ดูรถรบของอิสราเอลและพลม้าประจำ” (2 พกษ.2:12) ท่านหยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจของผู้เผยพระวจนะที่ก่อนหน้านั้นได้ใช้แยกแม่น้ำจอร์แดนออกจากกัน (ข้อ 8) และท่านถามว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งเอลียาห์ทรงสถิตที่ใด” (ข้อ 14) ท่านฟาดเสื้อคลุมลงไปที่แม่น้ำและน้ำก็แยกจากกันเช่นเดียวกับเจ้านายของท่าน ช่างเป็นวันแห่งความโศกเศร้าที่แสนหวาน!

คุณเคยสูญเสียคนที่รักไปหรือไม่ ไม่มีคำพูดใดที่จะบรรยายความเจ็บปวดของคุณได้ ทุกการร้องไห้รื้อฟื้นความทรงจำถึงความรักที่คุณมีร่วมกัน คุณเจ็บปวดในส่วนลึกเพราะคุณรักอย่างลึกซึ้ง ช่างเป็นความโศกเศร้าที่แสนหวาน! ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับคนที่คุณรัก และการที่คุณสามารถมีความรัก เอลีชาหยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ขึ้นมา แล้วคุณล่ะจะทำสิ่งใด

น้องสาวตระกูลไรท์

คนส่วนมากรู้จักพี่น้องตระกูลไรท์คือออร์วิลล์และวิลเบอร์ผู้คิดค้น สร้างและประสบความสำเร็จในการบินเครื่องบินลำแรกในช่วงต้นทศวรรษ 1900 แต่มีน้อยคนที่รู้จักแคทเธอรีน ไรท์ ถึงกระนั้นเธอก็มีบทบาทสำคัญในความสำเร็จของพี่ชายในการสร้างเครื่องบิน ขณะที่พวกพี่ชายของเธอคร่ำเคร่งอยู่กับรายละเอียดและการทดลองมากมายที่นำไปสู่งานประดิษฐ์ของพวกเขา แคทเธอรีนเลือกที่จะช่วยพวกเขาอย่างเงียบๆด้วยความรัก เธอคอยดูแลกิจการร้านจักรยาน (แหล่งรายได้ของพี่ชาย) ลาออกจากการเป็นครูเพื่อพยาบาลออร์วิลล์ให้หายดีหลังจากเครื่องบินตก และบริหารจัดการรายละเอียดที่ไม่รู้จบหลังจากที่พี่ชายของเธอมีชื่อเสียงมากขึ้น

การสนับสนุนผู้อื่นนั้นมีคุณค่าที่พบได้ในพระคัมภีร์เช่นกัน ตัวอย่างหนึ่งคือเฟบีที่เปาโลกล่าวถึงว่า “ได้ช่วยสงเคราะห์คนหลายคน” (รม.16:2) และปริสคากับอาควิลลาคู่สามีภรรยาที่ปรากฏในงานเขียนของเปาโล ซึ่งเปิดบ้านเพื่อรองรับและช่วยเหลือพันธกิจของเปาโลจนถึงขั้น “เสี่ยงชีวิตของเขาเพื่อป้องกันชีวิต” ของท่าน (ข้อ 4) นอกจากนี้อัครทูตยังชื่นชมมาระโกว่า “เขาช่วยปรนนิบัติข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดี” (2 ทธ.4:11)

เราสามารถเป็นพี่น้องในพระคริสต์ที่ดีได้โดยการรับใช้ผู้อื่น พันธกิจของพระเจ้าจำเป็นต้องมีผู้ช่วยอย่างเฟบีและพวกเรา ซึ่งได้รับการทรงนำจากพระเจ้าให้รับใช้ด้วย “ใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว อย่า...เห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย” (ฟป.2:3-4)

ทรงลืมความบาปของเรา

จูลี่และสามีของเธอรู้สึกเศร้าและเสียใจเมื่อรู้ว่าลูกสาวของพวกเขาชอบขโมยของในร้านค้า แต่โดยการทรงช่วยของพระเจ้า เมื่อลูกสาวมาหาพวกเขาด้วยความสำนึกผิดและเสียใจ พวกเขายกโทษให้เธอ ทั้งยังช่วยชดใช้ค่าเสียหายและช่วยให้เธอเข้ารับการบำบัด หลายเดือนต่อมาเมื่อจู่ๆลูกสาวของพวกเขาก็พูดขึ้นมาว่าพ่อแม่คงจะไม่ไว้วางใจเธออีกต่อไป จูลี่สงสัยว่าเธอหมายถึงอะไร จูลี่ไม่ได้คิดถึงความผิดของลูกสาวในทันทีเพราะพระเจ้าได้ทรงขจัดความเจ็บปวดออกไปจากใจของเธอแล้ว เธอตัดสินใจที่จะไม่จมอยู่กับอดีตและทูลขอพระเจ้าทรงช่วยเธอที่จะให้อภัย

ในช่วงเวลานั้นพระเจ้าทรงให้จูลี่ได้ลิ้มรสถึงความประเสริฐและพระคุณของพระองค์ เมื่อเธอได้สัมผัสถึงความรักที่พระองค์ทรงหยิบยื่นให้แก่ประชากรของพระองค์ พระเจ้าทรงบอกประชากรของพระองค์ให้เลิก “จดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น” เพราะพระองค์ทรง “กำลังกระทำสิ่งใหม่” (อสย.43:18-19) พระองค์ยังทรงประกาศถ้อยคำอันงดงามด้วยว่า “เรา เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเองและเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้” (ข้อ 25) พระองค์ทรงเลือกที่จะถือโทษความบาปของเราเอาไว้ได้ แต่เพราะความรักและความเมตตาของพระองค์ พระองค์จึงไม่ทำเช่นนั้น เมื่อเราสารภาพบาป พระองค์จะทรงลบล้างประวัติของเราให้ขาวสะอาด

แม้ว่าความผิดที่เรากระทำและได้รับการอภัยนั้นอาจส่งผลกระทบในแง่ลบต่อเราและผู้อื่น แต่พระเจ้าไม่ถือโทษเราอีกต่อไป พระองค์จะทรงโอบอุ้มเราด้วยพระเมตตาและพระคุณของพระองค์

อดกลั้นต่อกันและกัน

เมื่อวันก่อนฉันจอดรถติดไฟแดงและสังเกตเห็นสติ๊กเกอร์สีสดใสบนกระจกหลังของรถคันหน้าเขียนว่า “คนขับมือใหม่ กรุณาอดทน” เมื่อคิดถึงความเดือดดาลบนท้องถนนที่เราเคยได้ยิน (หรือพบเจอ) สิ่งนี้เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีเยี่ยมให้อดทนกับผู้ขับขี่คนอื่นๆ

ขณะมองที่สติ๊กเกอร์ ฉันสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากผู้คนจะถือป้ายเตือนเราว่า เขาเป็น “พ่อแม่มือใหม่” หรือ “คริสเตียนใหม่” ถ้าเรารู้ว่าเพื่อนบ้านของเรา เพื่อนร่วมงาน หรือคนที่พบเจอตลอดวันประสบกับอะไรมาบ้าง เราจะอดทนกับเขามากขึ้นหรือช่วยเขาแก้ปัญหาบ้างไหม

เราอาจจะเร่งรีบทำภารกิจของวันโดยพยายามหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นขัดจังหวะ แต่ให้เราพิจารณาดูวิธีที่พระเยซูทรงดูแลผู้คน พระองค์ไม่รีบร้อน พระองค์ทรงมีเมตตาต่อผู้คน และทรงใช้เวลาในการปลอบโยน สอน และสำแดงความรักแก่ทุกคนที่พระองค์พบเจอ

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราถูกเรียกให้ “ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น” (อฟ.4:1) อัครทูตเปาโลกล่าวโดยรวมถึงการ “มีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” (ข้อ 2) และพยายามทุกทางที่จะดำเนินชีวิตอย่างสันติและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับทุกคน (ข้อ 3)

เราอาจไม่รู้ว่าผู้คนเหล่านั้นเผชิญความท้าทายอะไรมาบ้าง แต่เราสามารถอดทนกับพวกเขาได้ ขอให้เราสำแดงความรักของพระเยซูแก่ทุกคนที่เราพบเจอในชีวิตแต่ละวันของเรา

พระเจ้าทรงอยู่กับเราตลอดชีวิต

งานวิจัยของชาวเดนมาร์กได้สำรวจพบเรื่องแปลกที่เราทุกคนเคยประสบมา นั่นคือการที่เรารู้สึกว่าตัวเราอายุน้อยกว่าความเป็นจริง การค้นพบนำเสนอความจริงที่ว่า ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไร เราทุกคนจะมองตัวเองอ่อนวัยกว่าความเป็นจริง 20 เปอร์เซ็นต์เสมอ คนที่อายุห้าสิบปีมักจะจินตนาการว่าตัวเองอายุสี่สิบปี (สิ่งนี้ถูกนำไปเขียนเป็นเรื่องชวนขัน ที่มีเด็กคิดว่า “ว้าว ตอนนี้ฉันห้าขวบ แต่กลับรู้สึกแข็งแรงและดูเหมือนเด็กสี่ขวบ!)

ไม่จำเป็นต้องมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อจะอธิบายเรื่องซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เราทุกคนกำลังแก่ตัวลง และในพระคัมภีร์ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ จากสิ่งที่อิสยาห์พูดกับชนชาติอิสราเอลผู้แก่ชราและอ่อนล้า นักอรรถาธิบายพระคัมภีร์ท่านหนึ่งกล่าวว่า “พระสัญญานี้ที่มีต่ออิสราเอล ชนชาติที่อ่อนแอและแก่ชรา สามารถนำมาใช้กับผู้ติดตามพระคริสต์ที่สูงวัยได้ทุกคน”

ผู้เผยพระวจนะได้เตือนเราถึงการจัดเตรียมของพระเจ้าที่มีในตลอดชีวิตของทุกคนที่สัตย์ซื่อต่อพระองค์ “เราอุ้ม[เจ้า ]มาตั้งแต่กำเนิด ชู [เจ้า ]มาตั้งแต่ในครรภ์” (อสย.46:3)

ดังนั้นขณะที่เราหมกมุ่นและวิตกในเรื่องความแก่ชรานั้น เราก็ได้รับคำเตือนว่าพระเจ้ายังทรงอยู่กับเรา พระองค์ทรงสัญญาว่า “จนกระทั่งเจ้าแก่ เราก็คือพระองค์นั้น เราจะอุ้มเจ้าจนเจ้าถึงผมหงอก” (ข้อ 4) ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร (หรือจะอ่อนวัยลง 20 เปอร์เซ็นต์ตามที่คุณจินตนาการไว้!) ขอให้ยึดมั่นในวันนี้ถึงพระสัญญาของพระเจ้าที่ตรัสว่า “เราได้สร้าง เราจะชูไว้ เราจะอุ้มและเราจะช่วยให้รอด” (ข้อ 4)

ความมีน้ำใจในพระเยซู

ระหว่างการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิพลเมืองของสหรัฐอเมริกา ลีอาห์ เชส แม่ครัวที่มีชื่อเสียงของรัฐนิวออลีนส์ทำในสิ่งที่เธอทำได้ เธอเตรียมอาหารและเลี้ยงดูฝูงชนที่มาเดินขบวนเรียกร้องความเสมอภาคสำหรับทุกคน เธอกล่าวว่า “ฉันแค่ทำอาหารเลี้ยงฝูงชน พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อบางสิ่ง และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องพบเจออะไรเมื่อออกไปที่นั่น พวกเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบนถนน แต่เมื่ออยู่ที่นี่พวกเขารู้ว่าฉันจะเลี้ยงอาหารพวกเขา นั่นคือสิ่งที่ฉันทำให้กับพวกเขาได้”

บางครั้งของประทานเรื่องความมีน้ำใจอาจจะถูกมองข้าม แต่ของประทานนี้ก็สำคัญเท่ากับของประทานอื่นๆในการรับใช้กันและกันในพระคริสต์ นักธุรกิจหญิงคนหนึ่งชื่อลิเดีย “เป็นคนขายผ้าสีม่วง” (กจ.16:14) ได้แสดงน้ำใจต่ออัครทูตเปาโลและกลุ่มผู้ร่วมประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูแก่ชาวเมืองมาซิโดเนีย (ข้อ 11-15) เธอให้สิ่งที่มีคือบ้านของเธอเพื่อช่วยกลุ่มผู้เดินทาง หลังจากเปิดใจรับข่าวประเสริฐ ลิเดียมุ่งมั่นที่จะจัดเตรียมที่พักให้แก่เหล่าผู้ประกาศ โดยกล่าวว่า “ถ้าท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เชิญเข้ามาพักอาศัยในตึกของข้าพเจ้าเถิด” (ข้อ 15) เช่นเดียวกับพวกผู้เรียกร้องสิทธิความเสมอภาค เปาโลและพวกผู้ประกาศจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องอาหารเพราะความมีน้ำใจของลิเดีย

ของประทานในการมีน้ำใจนี้อาจเป็นการให้ความช่วยเหลือคนทุกกลุ่มทั้งที่เป็นผู้เชื่อและผู้ที่ต้องการพระเยซู ขอให้เรารับใช้ผู้อื่นตามที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นไว้ให้กับเราเพื่อช่วยเหลือพวกเขา

ภัยแฝงฝ่ายวิญญาณ

โดยเฉลี่ยคนทั่วไปจะดูโทรศัพท์ของตัวเองประมาณ 150 ครั้งต่อวัน ให้เราใคร่ครวญดูให้ดี มีบางสิ่งดึงดูดความสนใจของเราและอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีกับเราเสมอ ทริสตัน แฮริสเชื่อเช่นนั้น เขาเป็นอีกเสียงหนึ่งจากภาพยนตร์ร่วมกับผู้มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีอีกหลายๆคน ซึ่งนำเราเข้าสู่ “สื่อสังคมออนไลน์” แต่แทนที่จะยกย่องชมเชย เสียงของพวกเขากลับเป็นสัญญาณเตือนภัย โดยเรียกสิ่งที่เราเผชิญ (และภาพยนตร์เรื่องนี้) ว่า ทุนนิยมสอดแนม : ภัยแฝงเครือข่ายอัจฉริยะ “พวกเราคือสินค้า ความสนใจของเราคือสินค้าที่ถูกขายให้แก่ผู้ผลิตสื่อโฆษณา” เราให้ความสนใจกับสิ่งที่เราเชื่อว่ามีคุณค่าและคุ้มค่า ในความเป็นจริงแล้ว เราให้ความสนใจสิ่งใด 

คำว่า ภัยแฝง บ่งบอกถึงสถานการณ์ที่เราต้องตัดสินใจเลือกบางสิ่ง เชื่อหรือไม่ว่าเราเผชิญกับภัยแฝงเช่นเดียวกันนี้ในชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา มีสิ่งที่เราต้องเลือกในแต่ละวัน เช่น ใครหรือสิ่งใดที่เราควรให้ความสนใจ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ใครหรือสิ่งใดที่เราควรนมัสการ ผู้เขียนสดุดีได้เลือกอย่างชัดเจนว่า “ข้าพระองค์จะถวายสาธุการแด่พระองค์ทุกๆวัน สรรเสริญพระนามของพระองค์เป็นนิจกาล” (สดด.145:2) ท่านได้ให้เหตุผลไว้ในข้อถัดไปว่า “พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง ความใหญ่ยิ่งของพระองค์นั้นเหลือจะหยั่งรู้” (ข้อ 3)

ผู้เขียนสดุดีเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดจะเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ ดังนั้นท่านจึงมุ่งความสนใจของท่านไปที่นั่น พระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงสมควรจะได้รับการสรรเสริญจากพวกเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา