Month: มกราคม 2024

ยอมจำนนต่อพระคริสต์อย่างสิ้นเชิง

ในปีค.ศ. 1920 จอห์น ซงซึ่งเป็นลูกชายคนที่หกของศิษยาภิบาลชาวจีนได้รับทุนไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เขาจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับสูงสุด สำเร็จหลักสูตรปริญญาโทและได้ปริญญาเอก แต่ระหว่างช่วงเวลาที่ศึกษานั้นเขาได้ละทิ้งพระเจ้า จากนั้นในคืนวันหนึ่งในปีค.ศ. 1927 เขาได้ยอมมอบชีวิตให้กับพระคริสต์และรู้สึกได้ถึงการทรงเรียกให้เป็นนักประกาศ

โอกาสมากมายที่จะได้งานซึ่งมีค่าตอบแทนสูงรอเขาอยู่ที่ประเทศจีน แต่ขณะอยู่บนเรือที่จะกลับบ้าน เขาได้รับความเชื่อมั่นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ให้ละทิ้งความปรารถนาของเขา และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นตั้งใจนี้ เขาได้โยนรางวัลทั้งหมดทิ้งลงในทะเล เก็บไว้เพียงใบปริญญาเอกไปให้พ่อกับแม่เพื่อให้เกียรติท่าน

จอห์น ซงเข้าใจในสิ่งที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับการมาเป็นสาวกของพระองค์ว่า “เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร” (มก.8:36) เมื่อเราปฏิเสธตนเองและละทิ้งชีวิตเก่าไว้เบื้องหลังเพื่อติดตามพระคริสต์และการทรงนำของพระองค์ (ข้อ 34-35) นั่นอาจหมายถึงการเสียสละความปรารถนาส่วนตัวและการได้มาซึ่งวัตถุสิ่งของ ที่จะทำให้เราไขว้เขวจากการติดตามพระองค์

สิบสองปีต่อมาหลังจากนั้น จอห์นได้ทำพันธกิจที่พระเจ้ามอบให้อย่างสุดหัวใจ โดยประกาศพระกิตติคุณให้กับหลายพันคนทั่วทั้งประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วเราล่ะ เราอาจไม่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นนักประกาศหรือมิชชันนารี แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกให้เรารับใช้ที่ใด โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงทำงานอยู่ภายในเรา ขอให้เรายอมจำนนต่อพระองค์ในทุกทาง

พระเยซูผู้เป็นกษัตริย์ของเรา

ขณะทำการขุดเจาะน้ำมันในประเทศที่มีแสงแดดจัดและแห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทีมงานต้องตกตะลึงที่ได้พบกับระบบน้ำใต้ดินขนาดมหึมา ดังนั้นในปีค.ศ. 1983 จึงมีโครงการ “แม่น้ำใหญ่ที่มนุษย์สร้าง” ซึ่งเริ่มต้นขึ้นด้วยการวางระบบท่อที่ส่งน้ำจืดคุณภาพสูงไปยังเมืองต่างๆที่มีความจำเป็นในการใช้น้ำ แผ่นป้ายใกล้กับจุดเริ่มต้นโครงการเขียนไว้ว่า “เส้นเลือดแห่งชีวิตไหลออกจากที่นี่”

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้ใช้ภาพของน้ำในที่แห้งมาบรรยายถึงพระราชาผู้ชอบธรรมในอนาคต (อสย.32) เมื่อกษัตริย์และผู้ปกครองต่างปกครองด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม พวกเขาเหล่านั้นก็จะเป็นเหมือน “ธารน้ำในที่แห้ง เหมือนร่มเงาศิลามหึมาในแผ่นดินที่อ่อนเปลี้ย” (ข้อ 2) ผู้ปกครองบางคนเลือกที่จะหาประโยชน์แทนที่จะให้ออกไป แต่เครื่องหมายของผู้นำที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าคือผู้ที่จะให้การพักพิง ที่หลบภัย ความสดชื่นและการปกป้อง อิสยาห์กล่าวว่า “ผลของความชอบธรรมจะเป็นศานติภาพ” สำหรับคนของพระองค์และ “ผลของความชอบธรรม คือความสงบและความวางใจเป็นนิตย์” (ข้อ 17)

ถ้อยคำแห่งความหวังของอิสยาห์นั้นจะสำเร็จครบถ้วนสมบรูณ์ในภายหลัง คือในพระเยซูผู้ซึ่ง “จะเสด็จมาจากสวรรค์...และ...เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์” (1ธส.4:16-17) “แม่น้ำใหญ่ที่มนุษย์สร้าง” เป็นเพียงแม่น้ำที่เกิดจากมือมนุษย์ วันหนึ่งแหล่งเก็บน้ำนั้นจะหมดไป แต่องค์ราชาผู้ชอบธรรมของเรานั้นจะประทานความสดชื่นและน้ำแห่งชีวิตที่ไม่มีวันเหือดแห้งไป

ประกาศด้วยความรัก

ศิษยาภิบาลหนุ่มคนหนึ่งอธิษฐานทุกๆเช้า ทูลขอให้พระเจ้าใช้เขาในวันนั้นให้เป็นพระพรสำหรับใครสักคน บ่อยครั้งที่เขาดีใจเมื่อเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น วันหนึ่งในช่วงพักของงานอีกงานหนึ่งที่เขาทำ เขานั่งรับแสงแดดอยู่กับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่ถามเขาเรื่องของพระเยซู ศิษยาภิบาลคนนี้ตอบคำถามของชายคนนี้ด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีเสียงดังหรือการโต้เถียงกัน ศิษยาภิบาลบอกว่าเขาได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้พูดคุยแบบสบายๆที่ทั้งเกิดผลและสำแดงความรักด้วย เขายังได้เพื่อนใหม่อีกด้วย เป็นผู้ที่หิวกระหายอยากจะเรียนรู้จักพระเจ้ามากขึ้น

การยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเราเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบอกผู้อื่นเกี่ยวกับพระเยซู พระองค์ตรัสบอกเหล่าสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเรา” (กจ.1:8)

ผลของพระวิญญาณ “คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน” (กท.5:22-23) การดำเนินชีวิตภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณอย่างที่ศิษยาภิบาลผู้นี้ทำเป็นสิ่งที่เปโตรได้แนะนำไว้ว่า “จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพและด้วยความนับถือ” (1 ปต.3:15)

แม้เราจะต้องทนทุกข์เพราะการเชื่อในพระคริสต์ แต่คำพูดของเราสามารถแสดงให้โลกเห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเรา แล้วการดำเนินชีวิตของเราก็จะชักนำผู้อื่นให้มาหาพระองค์

ของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้า

ขณะที่กำลังให้คะแนนรายงานอีกกองหนึ่งจากชั้นเรียนวิชาการเขียนของมหาวิทยาลัยที่ผมสอนนั้น ผมเกิดความประทับใจกับรายงานฉบับหนึ่งซึ่งเขียนได้ดีมาก แต่ไม่นานนักผมก็รู้ว่าเป็นงานเขียนที่ดีเกินไป และแน่นอนจากการสืบค้นดูเพียงเล็กน้อยก็พบว่า รายงานฉบับนั้นถูกคัดลอกมาจากแหล่งข้อมูลออนไลน์

ผมส่งอีเมลไปหานักศึกษาคนนั้นเพื่อให้เธอรู้ว่าผมรู้กลโกงของเธอแล้ว เธอได้คะแนนเป็นศูนย์ในรายงานฉบับนั้น แต่เธออาจเขียนรายงานฉบับใหม่เพื่อ จะได้คะแนนบางส่วน นักศึกษาคนนั้นตอบว่า “หนูรู้สึกละอายและเสียใจมากค่ะ หนูขอบคุณที่อาจารย์แสดงความกรุณาต่อหนู ที่หนูไม่สมควรได้รับ” ผมตอบเธอไปว่าเราทุกคนได้รับพระกรุณาคุณจากพระเจ้าทุกวัน ดังนั้นผมจะปฏิเสธการแสดงความกรุณากับเธอได้อย่างไร

มีหลายวิธีที่พระคุณของพระเจ้าแก้ไขชีวิตของเราให้ดีขึ้นและปลดปล่อยเราออกจากความผิดพลาดที่เราทำ เปโตรบอกว่าพระคุณนั้นให้ความรอดแก่เรา “แต่เราเชื่อว่า เราเองก็รอดโดยพระคุณของพระเยซูคริสตเจ้าเหมือนอย่างเขา” (กจ.15:11) เปาโลกล่าวว่าพระคุณช่วยให้เราไม่อยู่ภายใต้อำนาจของบาป “เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ” (รม.6:14) และยังมีที่เปโตรกล่าวว่าพระคุณทำให้เรารับใช้ผู้อื่น “ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว...เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดี ที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า” (1 ปต. 4:10)

พระคุณนั้นพระเจ้าโปรดประทานให้เราเปล่าๆ(อฟ.4:7) ขอให้เราใช้ของประทานนี้เพื่อที่จะรักและหนุนใจผู้อื่น

คำพูดที่ทำให้ชื่นใจ

ขณะยืนอยู่ในครัว ลูกสาวของฉันร้องขึ้นมาว่า “แม่คะ! มีแมลงวันอยู่ในน้ำผึ้ง!” ฉันตอบกลับด้วยคำคมที่คุ้นเคยว่า “น้ำผึ้งจับแมลงวันได้ดีกว่าน้ำส้มสายชู” แม้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจับแมลงวันได้ (โดยบังเอิญ)ด้วยน้ำผึ้ง แต่ฉันพบว่าตัวเองอ้างสุภาษิตสมัยใหม่นี้ขึ้นมาก็เพราะคำสอนของสุภาษิตนี้ที่ว่า คำขอร้องที่อ่อนหวานมักจะโน้มน้าวใจผู้อื่นได้ดีกว่าท่าทีที่ขุ่นเคือง

พระธรรมสุภาษิตนั้นเป็นการรวบรวมสุภาษิตและคำคมแห่งสติปัญญาที่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้า คำพูดที่ได้รับการดลใจเหล่านี้ช่วยนำทางเราและสอนเราถึงสัจจะความจริงที่สำคัญในการใช้ชีวิตในแบบที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า สุภาษิตหลายข้อเน้นที่การมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมถึงผลกระทบอย่างมากจากคำพูดของเราที่มีต่อผู้อื่น

ในส่วนของสุภาษิตที่น่าจะเขียนโดยกษัตริย์ซาโลมอนนั้น พระองค์ได้เตือนถึงอันตรายที่เกิดจากการพูดเป็นพยานเท็จกล่าวโทษเพื่อนบ้าน (สภษ.25:18) พระองค์แนะนำว่า “ลิ้นที่ส่อเสียด” ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่โกรธขึ้งกัน (ข้อ 23) ซาโลมอนเตือนถึงความเย็นชาซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการพร่ำบ่นตลอดเวลา (ข้อ 24) และพระองค์ได้หนุนใจผู้อ่านว่าพระพรจะเกิดขึ้นเมื่อคำพูดของเรานำมาซึ่งข่าวดี (ข้อ 25)

เมื่อเรามองหาวิธีที่จะนำสุภาษิตเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ เรามีพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ที่จะช่วยเราให้มอบ “คำตอบที่ถูกต้อง” (16:1 TNCV) ด้วยการเสริมกำลังจากพระเจ้า คำพูดของเราจะเป็นคำพูดที่หวานหูและทำให้สดชื่นได้

ไม่มีอคติอีกต่อไป

เมื่อหลายปีก่อน จูลี่ แลนส์แมนเข้ารับการทดสอบเพื่อคัดเลือกสำหรับตำแหน่งหัวหน้าผู้เล่นแตรเฟรนช์ฮอร์นของวงเมโทรโพลิแทนโอเปร่าออเคสตร้าแห่งนิวยอร์ค โดยทางวงได้จัดการทดสอบไว้ด้านหลังของฉากกั้นเพื่อไม่ให้เกิดความลำเอียงจากผู้ตัดสิน แลนส์แมนทำได้ดีในการทดสอบและจบลงด้วยการชนะการแข่งขัน แต่เมื่อเธอก้าวออกมาจากหลังฉาก กรรมการผู้ตัดสินซึ่งเป็นชายล้วนบางคนได้เดินไปหลังห้องแล้วหันหลังใส่เธอ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังมองหาคนอื่น

เมื่อคนอิสราเอลทูลขอกษัตริย์ พระเจ้าได้ทรงทำตามคำขอนั้นและมอบชายคนหนึ่งให้พวกเขา เป็นคนที่มีรูปกายน่าประทับใจเหมือนอย่างที่ชนชาติอื่นมี (1ซมอ.8:5; 9:2) แต่เป็นเพราะในช่วงปีแรกๆที่ซาอูลเป็นกษัตริย์ พระองค์แสดงให้เห็นถึงการขาดความเชื่อและไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าจึงส่งซามูเอลไปยังเมืองเบธเลเฮมเพื่อเจิมตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ (16:1-13) เมื่อซามูเอลเห็นเอลีอับผู้เป็นบุตรชายคนโต ท่านก็คิดว่าพระเจ้าได้เลือกคนนี้ให้เป็นกษัตริย์เพราะรูปร่างที่น่าประทับใจของเขา แต่พระเจ้าทรงท้าทายความคิดของซามูเอล โดยตรัสว่า “มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ” (ข้อ 7) พระเจ้าทรงเลือกดาวิดให้เป็นผู้นำประชากรของพระองค์ (ข้อ 12)

เมื่อพระเจ้าต้องประเมินความสามารถและความเหมาะสมของมนุษย์ที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์นั้น พระองค์ทรงดูที่คุณลักษณะนิสัย ความตั้งใจและแรงจูงใจของคนนั้น พระองค์ทรงเชื้อเชิญเราให้มองโลกและมนุษย์เหมือนอย่างที่พระองค์มอง คือมุ่งมองดูที่จิตใจ ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกหรือคุณสมบัติที่มี

ที่ซึ่งแปลกประหลาด

พระเจ้าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น นี่เป็นแผนการของพระองค์สำหรับพวกเราจริงๆหรือ

ในฐานะสามีและพ่อของลูกเล็กๆ คำถามเหล่านั้นและอีกมากมายวนเวียนอยู่ในความคิดของผมขณะที่ผมต่อสู้กับผลการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งร้ายแรง ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวของเราเพิ่งได้รับใช้กับทีมมิชชันนารีและได้เห็นเด็กหลายคนต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทรงให้มีการเกิดผลพวกเรามีความชื่นชมยินดีมาก แต่ตอนนี้?

เอสเธอร์คงจะมีคำถามและคำอธิษฐานมากมายถึงพระเจ้าหลังจากที่ถูกพรากจากบ้านอันเป็นที่รักและต้องเข้ามาสู่โลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย (อสธ.2:8) โมรเดคัยผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอรับเลี้ยงเธอเหมือนเป็นลูกสาวหลังจากที่เธอต้องเป็นกำพร้า (ข้อ 7) แต่หลังจากนั้น เอสเธอร์ถูกนำให้เข้าไปอยู่ในฮาเร็มของพระราชาและได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชินี (ข้อ 17) โมรเดคัยเป็นห่วงว่า “มีอะไรเกิดขึ้น” กับเอสเธอร์ (ข้อ 11) แต่เมื่อเวลามาถึง ทั้งสองก็ได้เข้าใจว่าพระเจ้าทรงเรียกเธอให้มาอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจมาก “เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้” (4:14) ตำแหน่งซึ่งทำให้เธอสามารถช่วยประชากรของเธอให้รอดพ้นจากการถูกทำลาย (บทที่ 7-8)

เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมโดยการวางเอสเธอร์ไว้ในสถานที่ซึ่งแปลกประหลาดเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในแผนการอันเลิศประเสริฐของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำแบบนี้กับผมด้วย ขณะที่ผมอดทนกับการต่อสู้อย่างยาวนานกับโรคมะเร็ง ผมได้รับสิทธิพิเศษในการแบ่งปันความเชื่อของผมกับผู้ป่วยและผู้ดูแลจำนวนมากมาย พระเจ้าทรงนำคุณไปยังสถานที่แปลกๆที่ใดบ้าง จงวางใจในพระองค์ พระองค์ประเสริฐ และแผนการของพระองค์ก็เช่นกัน (รม.11:33-36)

ไวในการฟัง

ฉันรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นขณะเปิดปากพูดหักล้างข้อกล่าวหาที่เพื่อนรักคนหนึ่งกำลังกล่าวหาฉัน สิ่งที่ฉันโพสต์ออนไลน์ไม่มีส่วนไหนเกี่ยวข้องกับเธออย่างที่เธอพูดเป็นนัย แต่ก่อนที่ฉันจะตอบ ฉันกล่าวคำอธิษฐานเบาๆ แล้วฉันก็สงบลงและได้ยินสิ่งที่เธอพูดและความเจ็บปวดเบื้องหลังคำพูดนั้น เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่มองเห็นภายนอก เพื่อนของฉันกำลังเจ็บปวด แล้วความต้องการปกป้องตนเองของฉันก็สลายไปเมื่อฉันเลือกที่จะช่วยเพื่อนจัดการกับความเจ็บปวดของเธอ

ในระหว่างการสนทนานี้ ฉันได้เรียนรู้ความหมายของสิ่งที่ยากอบบันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ของวันนี้เมื่อท่านเรียกร้องให้พวกเรา “จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” (1:19) การรับฟังสามารถช่วยให้เราได้ยินสิ่งที่อาจซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูด และหลีกเลี่ยงความโกรธที่ “ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า” (ข้อ 20) การฟังช่วยให้เราได้ยินเสียงหัวใจของผู้พูด ฉันคิดว่าการหยุดและอธิษฐานช่วยฉันได้มากเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ ฉันรู้สึกได้ถึงคำพูดของเธอมากกว่าการปกป้องตัวของฉันเอง บางทีถ้าฉันไม่หยุดเพื่ออธิษฐาน ฉันคงจะโต้กลับในสิ่งที่คิดและบอกให้รู้ว่าฉันขุ่นเคืองใจเพียงใด

แม้ว่าฉันจะไม่ได้ทำตามคำสอนของยากอบได้เสมอไป แต่วันนั้นฉันคิดว่าฉันทำได้ การหยุดเพื่ออธิษฐานก่อนที่จะปล่อยให้ความโกรธและความขุ่นเคืองเข้าครอบงำ เป็นกุญแจสำคัญของการไวในการฟังและช้าในการพูด ฉันอธิษฐานขอให้พระเจ้าประทานสติปัญญาเพื่อจะทำเช่นนี้ได้บ่อยขึ้น (สภษ.19:11)

จากเศษเล็กเศษน้อยสู่ความงดงาม

มิสกาภรรยาของผมมีสร้อยคอและต่างหูแบบห่วงจากประเทศเอธิโอเปีย ความเรียบหรูของมันเผยให้เห็นงานศิลป์ที่แท้จริง แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดเกี่ยวกับเครื่องประดับเหล่านี้คือเรื่องราวของมัน เนื่องด้วยความขัดแย้งรุนแรงหลายทศวรรษและสงครามกลางเมืองที่ยังคงดำเนินอยู่ ภูมิประเทศของเอธิโอเปียจึงเกลื่อนไปด้วยปลอกกระสุนปืนและกระสุนปืนใหญ่ที่ใช้แล้ว ด้วยความหวังที่มี ชาวเอธิโอเปียจึงขุดคุ้ยดินที่มอดไหม้ เอาเศษซากมาทำความสะอาด ช่างฝีมือเอาชิ้นส่วนที่เหลือและปลอกกระสุนปืนมาทำเครื่องประดับ

เมื่อผมได้ฟังเรื่องนี้ ผมได้ยินเสียงสะท้อนที่มีคาห์ประกาศคำสัญญาของพระเจ้าอย่างกล้าหาญ วันหนึ่งผู้เผยพระวจนะประกาศว่า ผู้คนจะ “ตีดาบของเขาให้เป็นผาลไถนา และหอกของเขาให้เป็นขอลิด” (4:3) โดยพระราชกิจอันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เครื่องมือที่มีไว้เพื่อฆ่าและทำร้ายจึงถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือที่ใช้เลี้ยงชีพ ผู้เผยพระวจนะยืนยันว่า ในวันที่พระเจ้าจะเสด็จมา “ประชาชาติจะไม่ยกดาบต่อสู้กันอีก เขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป” (ข้อ 3)

คำประกาศของมีคาห์นั้นไม่ยากเกินจินตนาการทั้งในสมัยของท่านและในสมัยของเรา เช่นเดียวกับอิสราเอลในสมัยโบราณ เราเองก็เผชิญกับความรุนแรงและสงคราม และดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยที่โลกจะเปลี่ยนได้ แต่พระเจ้าทรงสัญญากับเราว่าด้วยพระเมตตาและการรักษาของพระองค์ วันอันน่าประหลาดใจนี้กำลังจะมาถึง ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือเริ่มดำเนินชีวิตตามความจริงนี้เดี๋ยวนี้ แม้ในเวลานี้พระเจ้าก็ยังทรงช่วยให้เราทำงานของพระองค์ โดยการเปลี่ยนสิ่งไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่งดงาม

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา