ประเสริฐสำหรับพระเจ้า
เมื่อตอนเป็นเด็ก หมิงพบว่าพ่อของเขาเข้มงวดและห่างเหิน แม้ตอนที่หมิงป่วยและต้องไปหาหมอ พ่อก็บ่นว่าลำบาก ครั้งหนึ่งเขาได้ยินเสียงทะเลาะกันและได้รู้ว่าพ่อเคยต้องการให้แม่ทำแท้งเขา ความรู้สึกของการเป็นเด็กที่พ่อไม่ต้องการติดตามเขาไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ เมื่อหมิงได้มาเชื่อในพระเยซู เขาพบว่ามันยากที่เขาจะเชื่อมโยงกับพระเจ้าในฐานะพ่อ แม้เขาจะรู้จักพระองค์ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าของชีวิตเขาก็ตาม
ถ้าเราเป็นเหมือนหมิงที่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อฝ่ายโลกของเราเลย เราอาจสงสัยในความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วย เราอาจสงสัยว่า ฉันเป็นภาระของพระองค์หรือเปล่า พระองค์ทรงห่วงใยฉันไหม แต่ในขณะที่พ่อฝ่ายโลกของเราอาจเงียบเฉยและห่างเหิน พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของเราจะเสด็จมาใกล้เราและตรัสว่า “เรารักเจ้า” (อสย.43:4)
ในอิสยาห์ 43 พระเจ้าตรัสในฐานะพระบิดาและองค์พระผู้สร้างเรา หากคุณสงสัยว่าพระองค์อยากจะให้คุณอยู่ในการทรงดูแลในฐานะสมาชิกครอบครัวของพระองค์หรือไม่ จงฟังสิ่งที่พระองค์ตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า “จงนำบรรดาบุตรชายของเรามาแต่ไกล และเหล่าธิดาของเราจากปลายแผ่นดินโลก” (ข้อ 6) หากคุณสงสัยว่าคุณมีค่าอย่างไรสำหรับพระองค์ จงฟังคำรับรองของพระองค์ว่า “เจ้าประเสริฐในสายตาของเรา และได้รับเกียรติ” (ข้อ 4)
พระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายมากจนได้ส่งพระเยซูมาเพื่อรับโทษบาป เพื่อที่เราผู้วางใจในพระองค์จะได้อยู่กับพระองค์ตลอดไป (ยน.3:16) จากสิ่งที่พระองค์ตรัสและกระทำเพื่อเรา เราจึงมั่นใจได้เต็มเปี่ยมว่าพระองค์ต้องการเราและทรงรักเรา
ผลตอบแทนล้ำค่า
ตลอดเวลาสามปีในช่วงเปิดเทอม ทุกวันคอลลีนจะสวมใส่เครื่องแต่งกายหรือหน้ากากแบบต่างๆเพื่อรอรับเด็กๆที่ลงมาจากรถโรงเรียนในตอนบ่าย ทุกคนบนรถโรงเรียนรู้สึกมีความสุข แม้กระทั่งคนขับรถที่บอกว่า “เธอทำให้เด็กๆบนรถของผมมีความสุข มันดีมาก ผมชอบนะ” ลูกของคอลลีนก็เห็นด้วย
ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อคอลลีนเริ่มรับอุปการะเด็ก เธอรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะต้องแยกจากพ่อแม่และต้องไปโรงเรียนใหม่ เธอจึงเริ่มสวมเครื่องแต่งกายพิเศษเพื่อรอรับพวกเขากลับบ้าน หลังจากสามวันผ่านไปเด็กๆไม่ยอมให้เธอหยุด คอลลีนจึงทำเช่นนั้นต่อไป เธอต้องลงทุนเวลาและเงินที่ร้านขายของมือสอง แต่นักข่าวเมเรดิธ เทอร์ฮาร์ได้บรรยายว่า มันนำมาซึ่ง “ผลลัพธ์ที่ล้ำค่า ซึ่งก็คือความสุข”
ข้อพระธรรมสั้นๆข้อหนึ่งในหนังสือแห่งปัญญาและคำสอนที่ชาญฉลาดซึ่งส่วนมากเขียนโดยกษัตริย์ซาโลมอนถึงพระโอรสของพระองค์ ได้สรุปผลลัพธ์ของการเล่นมุขตลกของแม่คนนี้ว่า “ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจที่หมดมานะทำให้กระดูกแห้ง” (สภษ.17:22) เธอทำให้เด็กๆทุกคน (ไม่ว่าจะเป็นลูก ลูกบุญธรรม และเด็กในอุปการะ) มีความสุข เพราะเธอหวังที่จะป้องกันไม่ให้เกิดจิตใจที่ชอกช้ำหมดมานะ
แหล่งแห่งความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนคือพระเจ้าโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ลก.10:21; กท.5:22) พระวิญญาณจะทำให้เราสามารถส่องแสงของพระเจ้าในเวลาที่เราพยายามทำให้ผู้อื่นมีความสุข อันเป็นความสุขที่นำมาซึ่งความหวังและกำลังสำหรับเผชิญการทดลอง
รวบรวมกำลังในพระเจ้า
เกรนเจอร์ แมคคอยเป็นศิลปินผู้ศึกษาและแกะสลักนกที่ถ่ายทอดความสง่างาม ความอ่อนแอ และพลังของพวกมันออกมา ผลงานชิ้นหนึ่งของเขามีชื่อว่า การฟื้นกำลัง เป็นงานแกะสลักปีกขวาของนกเป็ดน้ำหางแหลมที่กางเหยียดออกในแนวตั้ง ใต้รูปแกะสลักนั้นมีแผ่นป้ายอธิบายถึงจังหวะรวบรวมกำลังของนกว่าเป็น “ท่าทางที่ทำให้นกอ่อนแอที่สุดในระหว่างการบิน แต่ก็เป็นจังหวะที่มันรวบรวมกำลังเพื่อจะบินไปข้างหน้า” เกรนเจอร์สรุปด้วยข้อพระธรรมที่ว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (2 คร.12:9)
อัครทูตเปาโลเขียนข้อความเหล่านี้ถึงคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ในระหว่างฤดูกาลแห่งการทนทุกข์ที่ถาโถมใส่ท่าน เปาโลวิงวอนพระเจ้าให้กำจัดสิ่งที่ท่านเรียกว่า “หนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า” (ข้อ 7) ความทุกข์ทนของท่านอาจจะเป็นความเจ็บไข้ฝ่ายร่างกายหรือการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ ท่านร้องทูลพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าให้เอาความทุกข์ทรมานของท่านออกไป เหมือนกับตอนที่พระเยซูทรงอยู่ในสวนคืนก่อนการถูกตรึงที่ไม้กางเขน (ลก.22:39-44) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตอบโดยการรับรองกับท่านว่าพระองค์จะประทานกำลังที่ท่านจำเป็นต้องมี เปาโลเรียนรู้ว่า “ข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น” (2 คร.12:10)
โอ หนามเหล่านั้นที่เราพบเจอในชีวิต! เช่นเดียวกับนกที่รวบรวมกำลังเพื่อบินไปข้างหน้าฉันใด เราจะรวบรวมกำลังของพระเจ้าเพื่อรับมือกับสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ฉันนั้น ในพระกำลังของพระองค์นั้นเราจึงได้พบกำลังของเรา
เผชิญหน้าด้วยความรัก
เขาเป็นเลิศในหลายๆอย่าง แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งที่ทุกคนต่างมองเห็น แต่เพราะเขามีศักยภาพอย่างมากและสามารถทำหน้าที่ได้สำเร็จเกือบทั้งหมด ความโมโหร้ายของเขาจึงไม่ได้ถูกจัดการอย่างเหมาะสม ไม่เคยมีใครเผชิญหน้ากับเขาเพื่อตักเตือนอย่างจริงจัง น่าเศร้าที่สิ่งนี้ส่งผลให้มีผู้คนมากมายถูกทำร้ายตลอดเวลาหลายปี และในท้ายที่สุดมันทำให้อาชีพการงานที่ควรจะไปได้อีกไกลของพี่น้องในพระคริสต์คนนี้มาถึงจุดจบก่อนเวลาอันควร ถ้าเพียงแต่ผมเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเขาด้วยความรักเสียตั้งนานแล้ว
ในปฐมกาลบทที่ 4 พระเจ้าประทานภาพที่สมบูรณ์แบบของการเผชิญหน้ากับใครสักคนเรื่องความบาปของเขาด้วยความรัก คาอินรู้สึกขุ่นเคือง เขาเป็นชาวไร่ชาวนาและได้นำ “พืชผลที่เกิดจากไร่นามาถวายพระเจ้า” (ข้อ 3) แต่พระเจ้าทรงแสดงอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมรับในสิ่งที่เขานำมา เครื่องถวายของเขาถูกปฏิเสธและเขา “โกรธแค้นนักหน้าบูดบึ้งอยู่” (ข้อ 5) พระเจ้าจึงตรัสถามเขาว่า “เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม” (ข้อ 6) พระองค์จึงทรงบอกคาอินให้กลับใจจากบาปและแสวงหาสิ่งที่ดีและถูกต้อง น่าเสียดายที่คาอินเพิกเฉยต่อคำตรัสของพระเจ้าและลงมือทำสิ่งที่เลวร้าย (ข้อ 8)
เราไม่สามารถบังคับใครให้หันจากพฤติกรรมบาปได้ แต่เราพูดกับเขาด้วยความเมตตาได้ เราสามารถ “ยึดความจริงด้วยความรัก” เพื่อเราทั้งสองฝ่ายจะได้ “จำเริญขึ้นสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์” (อฟ.4:15) และเมื่อพระเจ้าประทานให้เรามีหูเพื่อที่จะฟัง เราจึงสามารถรับฟังความจริงที่เจ็บปวดจากผู้อื่นได้เช่นกัน
การผจญภัย
“ศาสนาคริสต์ไม่เหมาะกับฉัน มันน่าเบื่อ หนึ่งในสิ่งมีค่าที่ฉันยึดถือคือการผจญภัย มันคือชีวิตสำหรับฉัน” เด็กสาวคนหนึ่งบอกกับฉัน ฉันเศร้าใจที่เธอยังไม่ได้รู้จักความสุขและความตื่นเต้นอันเหลือเชื่อที่มาพร้อมกับการติดตามพระเยซู ซึ่งเป็นการผจญภัยที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ฉันเล่าให้เธอฟังด้วยความตื่นเต้นเกี่ยวกับพระเยซูและการค้นพบชีวิตที่แท้จริงในพระองค์
คำพูดเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะอธิบายถึงการผจญภัยไปในการได้รู้จักและเดินกับพระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่ในเอเฟซัสบทที่ 1 อัครทูตเปาโลได้ทำให้เราเห็นภาพเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งแต่ทรงพลังของการมีชีวิตกับพระเยซู พระเจ้าประทานพระพรฝ่ายวิญญาณจากสวรรคสถานแก่เรา (ข้อ 3) ให้บริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระเจ้า (ข้อ 4) ทรงกำหนดเราไว้ด้วยความรักให้เป็นบุตรในราชวงศ์ของพระเจ้า (ข้อ 5) พระเจ้าทรงอวยพระพรเราด้วยของประทานอย่างเหลือล้นแห่งพระกรุณาและการอภัยโทษบาป (ข้อ 7-8) ให้มีความรู้ถึงความล้ำลึกในพระทัยของพระองค์ (ข้อ 9) และมีเป้าหมายใหม่ในการดำเนินชีวิตคือ “เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพระองค์” (ข้อ 12) พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาอยู่ในเราเพื่อประทานฤทธิ์อำนาจและทรงนำเรา (ข้อ 13) และเป็นมัดจำของการมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าตลอดไป (ข้อ 14)
เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของเรา เราค้นพบว่าการได้เรียนรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้นและการติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิดคือการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จงแสวงหาพระองค์ในวันนี้และทุกๆวันเพื่อจะมีชีวิตที่แท้จริง
เล่าถึงความดีของพระเจ้า
ในการนมัสการของคริสตจักรเรานั้นจะมีช่วงเวลาสำหรับให้สมาชิกได้เล่าคำพยานว่าพระเจ้าทรงทำอะไรในชีวิตของพวกเขาบ้าง เป็นที่รู้กันดีว่าป้าแลงฟอร์ดมีเรื่องขอบพระคุณพระเจ้ามากมายในคำพยานของเธอ เมื่อใดก็ตามที่ป้าเล่าถึงการที่เธอกลับใจมาเชื่อพระเจ้า เรารู้ว่าจะกินเวลาการนมัสการไปค่อนข้างมาก คำสรรเสริญแด่พระเจ้าผู้ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธออย่างงดงามนั้นพรั่งพรูออกมาจากใจ
ในทำนองเดียวกันคำพยานของผู้เขียนสดุดีบทที่ 66 ก็อัดแน่นไปด้วยการสรรเสริญ เมื่อท่านเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อประชากรของพระองค์ว่า “จงมาดูสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ พระราชกิจของพระองค์น่าครั่นคร้ามท่ามกลางมนุษย์” (ข้อ 5) พระราชกิจของพระองค์ได้แก่ การช่วยกู้อย่างมหัศจรรย์ (ข้อ 6) การปกปักษ์รักษา (ข้อ 9) การทดลองและการฝึกที่ส่งผลให้ประชากรของพระองค์ถูกพาไปยังที่ที่ดีกว่า (ข้อ 10-12)
แม้เราจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระเจ้าที่เหมือนกับของผู้เชื่อในพระเยซูคนอื่นๆ แต่ก็มีบางสิ่งที่แตกต่างและเฉพาะเจาะจงในการเดินทางของเราแต่ละคน เคยมีช่วงเวลาใดในชีวิตที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองให้คุณรู้จักอย่างเฉพาะเจาะจงไหม ช่วงเวลาเหล่านั้นสมควรถูกเล่าให้แก่ผู้ที่จำเป็นต้องได้ยินว่าพระเจ้าทรงกระทำกิจของพระองค์อย่างไรในชีวิตของคุณ “บรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า ขอเชิญมาฟัง และข้าพเจ้าจะบอกถึงว่าพระองค์ได้ทรงกระทำอะไรแก่ข้าพเจ้าบ้าง” (ข้อ 16)
สิ่งเดียวที่ต้องการ
วันหยุดสุดสัปดาห์หนึ่งในเดือนมีนาคม ฉันนำกลุ่มรีทรีตในหัวข้อมารีย์และมารธา สองพี่น้องในเมืองเบธานีผู้ซึ่งพระเยซูทรงรัก กับลาซารัสน้องชายของพวกเธอ (ยน.11:5) เราอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลในแถบชายฝั่งของประเทศอังกฤษ เมื่อมีหิมะตกลงมาปกคลุมอย่างไม่คาดคิด ผู้เข้าร่วมกลุ่มหลายคนพูดว่าการได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นอีกวันคือการที่พวกเขาจะได้ฝึกนั่งที่พระบาทพระคริสต์อย่างที่มารีย์ทำ พวกเขาอยากจะได้ “สิ่งซึ่งต้องการ...สิ่งเดียว” (ลก.10:42) ที่พระเยซูบอกมารธาด้วยความรักให้รับเอาไว้ นั่นคือการเลือกที่จะเข้าใกล้และเรียนรู้จากพระองค์
เมื่อพระเยซูไปเยี่ยมบ้านของมารธา มารีย์ และลาซารัสนั้น มารธาไม่รู้ล่วงหน้าว่าพระองค์จะมา เราจึงเข้าใจได้ว่าทำไมเธอจึงรู้สึกโกรธที่มารีย์ไม่ช่วยเธอเตรียมการปรนนิบัติพระองค์และเพื่อนๆของพระองค์ แต่เธอลืมสิ่งสำคัญจริงๆไป คือการรับจากพระเยซูในขณะที่เธอเรียนรู้จากพระองค์ พระคริสต์ไม่ได้ดุเธอที่อยากจะปรนนิบัติพระองค์แต่ทรงเตือนว่าเธอกำลังลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไป
เมื่อมีบางอย่างมาขัดจังหวะทำให้เราฉุนเฉียวหรือรู้สึกวุ่นวายสับสนเพราะต้องทำหลายอย่างให้เสร็จ ให้เราหยุดและเตือนตัวเองถึงสิ่งที่สำคัญจริงๆในชีวิต เมื่อเราใช้ชีวิตให้ช้าลงและจินตนาการว่าเรานั่งอยู่ที่พระบาทของพระเยซู เราก็สามารถทูลขอให้พระองค์เติมเต็มเราด้วยความรักและชีวิตจากพระองค์ เราสามารถเพลิดเพลินไปกับการเป็นสาวกที่พระองค์ทรงรักได้
ไม่จดจำความบาปอีกต่อไป
ผมไม่เคยเห็นน้ำแข็ง แต่ผมรู้สึกถึงมันได้ ด้านท้ายรถกระบะของคุณตาที่ผมกำลังขับมีอาการแกว่ง แฉลบครั้งที่หนึ่ง สอง สาม แล้วผมก็ลอยไปในอากาศ ข้ามกำแพงริมน้ำความสูงสิบห้าฟุต ผมจำได้ว่าตอนนั้นนึกในใจว่า นี่จะเป็นอะไรที่เจ๋งมากเลยถ้าผมไม่ได้กำลังจะตาย อีกสักพักต่อมารถบรรทุกชนโครมเข้ากับเนินเขาลาดชันและกลิ้งลงไปข้างล่าง ผมคลานออกจากที่นั่งที่ถูกบี้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
รถบรรทุกพังยับเยินในเช้าของเดือนธันวาคมปีค.ศ.1992 พระเจ้าทรงไว้ชีวิตผม แต่คุณตาของผมล่ะท่านจะว่าอย่างไร ที่จริงแล้วท่านไม่เคยพูดถึงรถบรรทุกแม้แต่คำเดียว ไม่เคยเลย ไม่มีการดุด่า ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย ไม่มีเลย มีแต่การให้อภัยและรอยยิ้มของคุณตาที่ผมไม่เป็นอะไร
ความเมตตาของคุณตาของผมทำให้ผมระลึกถึงพระคุณของพระเจ้าในเยเรมีย์ 31 แม้พวกเขาจะล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่ แต่พระเจ้ายังทรงสัญญาที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประชากรของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “เราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาทั้งหลายอีกต่อไป” (ข้อ 34)
ผมเชื่อว่าคุณตาของผมไม่เคยลืมว่าผมทำลายรถบรรทุกของท่าน แต่ท่านทำเหมือนที่พระเจ้าทรงทำ คือ ไม่จดจำสิ่งเหล่านั้น ไม่ทำให้ผมอับอาย ไม่ให้ผมจ่ายราคาที่ผมติดค้าง คุณตาได้ทำเช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงตรัสว่าจะทำ คือเลือกที่จะไม่จดจำมันอีกต่อไป ราวกับว่าความผิดที่ผมทำนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
นามบัตรและคำอธิษฐาน
หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งเป็นหม้ายเมื่อไม่นานมานี้เริ่มมีความกังวลใจ เธอต้องใช้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่พรากชีวิตของสามีเธอไปเพื่อจะรับเงินจากบริษัทประกัน เธอได้คุยกับตำรวจคนหนึ่งที่ตกลงว่าจะช่วยเธอ แต่เธอทำนามบัตรของเขาหาย เธอจึงอธิษฐานวิงวอนขอพระเจ้าช่วย และไม่นานจากนั้นขณะเธออยู่ที่โบสถ์และกำลังเดินผ่านหน้าต่าง เธอก็เห็นนามบัตรของตำรวจคนนั้นอยู่ตรงขอบหน้าต่าง เธอไม่รู้ว่ามันไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร แต่เธอรู้ว่า เพราะอะไร
เธอจริงจังในการอธิษฐาน ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงฟังคำทูลขอของเรา เปโตรกล่าวว่า “พระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเฝ้าดูคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์ทรงสดับคำอ้อนวอนของเขา” (1 ปต.3:12)
พระคัมภีร์ยกตัวอย่างถึงการที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐาน หนึ่งในนั้นคือเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ผู้ทรงประชวร พระองค์ได้รับคำทำนายจากอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่าจะทรงสิ้นพระชนม์ กษัตริย์ทรงรู้ว่าควรทำอย่างไร พระองค์ทรง “อธิษฐานต่อพระเจ้า” (2 พกษ.20:2) ทันใดนั้นพระเจ้าตรัสกับอิสยาห์ให้ไปบอกกับกษัตริย์ว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว” (ข้อ 5) และเฮเซคียาห์ได้มีชีวิตอยู่ต่อมาอีกสิบห้าปี
พระเจ้าไม่ได้ตอบคำอธิษฐานเหมือนเรื่องนามบัตรบนขอบหน้าต่างเสมอไป แต่พระองค์ทรงยืนยันกับเราว่าในยามยากลำบากนั้น เราไม่ได้เผชิญมันเพียงลำพัง พระเจ้าทรงมองเห็นเราและทรงอยู่กับเรา และทรงฟังคำอธิษฐานของเรา