Month: กันยายน 2021

ความจริง คำโกหก และการตัดสินผู้อื่น

ในฤดูกาลแข่งขันเบสบอลปี 2018 โค้ชทีมชิคาโก คับส์อยากจะให้ลูกเบสบอลแก่เด็กชายคนหนึ่งที่นั่งติดกับที่นั่งนักกีฬา แต่เมื่อโค้ชโยนลูกบอลไปทางเด็กคนนั้น ชายคนหนึ่งคว้าลูกบอลนั้นไปแทน คลิปเหตุการณ์นี้ถูกส่งต่ออย่างกว้างขวาง สำนักข่าวและสื่อโซเชียลรุมโจมตีชายคนนั้น แต่คนที่เห็นคลิปไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมด ก่อนหน้านั้นชายคนนี้ได้ช่วยเด็กชายเก็บลูกบอลที่ตีเสียและพวกเขาตกลงกันว่าจะแบ่งลูกบอลกัน น่าเศร้าที่กว่าเรื่องจริงจะปรากฏในอีก24 ชั่วโมงต่อมา ฝูงชนก็ได้สร้างความเสียหายโดยปรักปรำชายผู้บริสุทธิ์ให้กลายเป็นคนชั่วไปเสียแล้ว

บ่อยครั้งที่เราคิดว่าเรารู้ความจริงทั้งหมดทั้งที่เรารู้แค่เพียงบางส่วน ในวัฒนธรรมยุคใหม่ที่ชอบจับผิด คลิปภาพสั้นๆกับข้อความยั่วยุในทวิตเตอร์ทำให้คนเราประณามกันได้ง่ายๆโดยไม่ต้องฟังความให้ครบถ้วน แต่พระวจนะเตือนเราว่า “อย่านำเรื่องเท็จไปเล่าต่อๆกัน” (อพย.23:1) เราต้องทำทุกทางเพื่อยืนยันความจริงก่อนจะกล่าวหาอะไร เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่มีส่วนในการโกหก เราควรระมัดระวังเวลาที่วิญญาณแห่งการตัดสินผู้อื่นเข้าครอบงำ หรือเมื่อใดก็ตามที่โทสะปะทุขึ้นและคลื่นแห่งการตัดสินผู้อื่นถาโถม เราต้องป้องกันตนเองจากการ “ทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมาก” (ข้อ 2)

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู ขอพระเจ้าทรงช่วยเราไม่ให้เผยแพร่ความเท็จ ขอพระองค์ประทานสิ่งจำเป็นเพื่อเราจะแสดงออกถึงสติปัญญาและทำให้แน่ใจว่าคำพูดของเราเป็นความจริง

แขกผู้ไม่คาดคิด

แซคเป็นคนไม่มีเพื่อน เวลาเดินไปในเมืองเขาสัมผัสได้ถึงการจ้องมองที่ไม่เป็นมิตร แต่แล้วชีวิตของเขาก็มาถึงจุดเปลี่ยน เคลเมนต์แห่งอเล็กซานเดรีย ผู้นำคริสตจักรในยุคแรกๆกล่าวว่า แซคได้กลายเป็นผู้นำและศิษยาภิบาลผู้มีชื่อเสียงในเมืองซีซารียา ใช่แล้ว แซคที่เราพูดถึงนี้คือศักเคียส หัวหน้าคนเก็บภาษีที่ปีนต้นมะเดื่อเพื่อดูพระเยซู (ลก.19:1-10)

แล้วอะไรที่กระตุ้นให้เขาปีนต้นไม้ คนเก็บภาษีถูกมองว่าเป็นคนทรยศเพราะขูดรีดภาษีจากคนชาติเดียวกันเพื่อรับใช้พวกโรมัน แต่พระเยซูทรงมีชื่อในด้านที่ยอมรับคนเช่นนี้ ศักเคียสคงอยากรู้ว่าพระเยซูจะทรงยอมรับเขาด้วยไหม เขาเป็นคนตัวเตี้ย จึงมองพระองค์ผ่านฝูงชนไม่เห็น (ข้อ 3) เขาคงจะปีนขึ้นไปเพื่อมองหาพระเยซู

พระเยซูก็ทรงมองหาศักเคียสเช่นกัน เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงต้นไม้ที่เขาเกาะอยู่ ทรงมองขึ้นไปและตรัสว่า “ศักเคียสเอ๋ยจงรีบลงมาเพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในตึกของท่านวันนี้” (ข้อ 5) พระเยซูทรงเห็นว่าการไปเป็นแขกในบ้านของชายที่สังคมไม่ยอมรับคนนี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ลองคิดดูสิว่า พระผู้ช่วยให้รอดของโลกต้องการใช้เวลากับคนที่สังคมต่อต้าน

ไม่ว่าเราจะต้องการความช่วยเหลือในด้านจิตใจ ความสัมพันธ์ หรือชีวิตของเรา เรามีความหวังเช่นเดียวกับศักเคียสได้ พระเยซูจะไม่มีวันปฏิเสธเราเมื่อเราหันกลับมาหาพระองค์ พระองค์ทรงสามารถฟื้นฟูสิ่งที่เคยแตกหักหรือหายไป และประทานความหมายและเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิตของเรา

คนแกร่งหัวใจไม่แพ้ในพระเยซู

เครื่องบินรบของหลุยส์ แซมเปอรินี่ตกในทะเลระหว่างสงคราม มีผู้เสียชีวิตแปดคนจากสิบเอ็ดคน หลุยส์หรือลูอี้และอีกสองคนตะเกียกตะกายขึ้นใปในเรือชูชีพ พวกเขาลอยลำอยู่สองเดือน คอยไล่ฉลาม ฝ่าลมพายุ หลบกระสุนจากเครื่องบินของศัตรู และจับปลากับนกกินดิบๆ ในที่สุดพวกเขาก็ลอยไปขึ้นเกาะแห่งหนึ่งและถูกจับทันที เป็นเวลาสองปีที่ลูอี้ในฐานะเชลยสงครามถูกทุบตี ถูกทรมาน และต้องทำงานหนักอย่างไร้ความปราณี เรื่องราวสุดอัศจรรย์ของเขาถูกเล่าไว้ในหนังสือชื่อ คนแกร่งหัวใจไม่ยอมแพ้

เยเรมีย์เป็นหนึ่งในคนแกร่งหัวใจไม่ยอมแพ้ในพระคัมภีร์ ท่านถูกศัตรูปองร้าย (ยรม.11:18) ถูกทุบตีและจับใส่ขื่อคา (20:2) ถูกเฆี่ยนและขังในคุกมืด (37:15-16) ถูกหย่อนให้จมลงในบ่อโคลน (38:6) ท่านรอดชีวิตเพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอยู่ด้วยและช่วยกู้ท่าน (1:8) พระเจ้าทรงสัญญากับเราเช่นกันว่า “เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย” (ฮบ.13:5) พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าเยเรมีย์หรือเราจะไม่ต้องพบกับปัญหา แต่ทรงสัญญาว่าจะช่วยให้เราผ่านปัญหาไปได้

ลูอี้เห็นถึงการปกป้องของพระเจ้า ภายหลังสงครามเขาจึงถวายชีวิตแด่พระเยซู เขาให้อภัยคนที่จับเขาและได้นำบางคนมาถึงพระคริสต์ ลูอี้รู้ว่าแม้เราจะหลีกเลี่ยงปัญหาทุกอย่างไม่ได้ แต่เราไม่จำเป็นต้องทนทุกข์อย่างเดียวดาย เมื่อเราเผชิญปัญหาพร้อมกับพระเยซู เราจะเป็นคนแกร่งที่หัวใจไม่ยอมแพ้

กลิ่นหอมของพระคริสต์

ผมรู้จักเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ใกล้เมืองโลมีต้า รัฐเท็กซัส หลานชายสองคนของเขาเป็นเพื่อนสนิทผม พวกเราจะตามเขาไปทั่วเวลาที่เขาเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อของและพูดคุยกับคนรู้จัก เขารู้จักชื่อของทุกคนและรู้เรื่องราวของคนเหล่านั้น โดยจะหยุดคุยกับคนโน้นทีคนนี้ทีถามถึงลูกที่ป่วยหรือปัญหาชีวิตแต่งงาน และจะให้คำหนุนใจสั้นๆ เขาจะแบ่งปันข้อพระคัมภีร์และอธิษฐานเผื่อหากดูแล้วว่าเหมาะสม ผมจะไม่มีวันลืมชายผู้นี้เลย เขาเป็นคนที่พิเศษมาก เขาไม่เคยบังคับให้ใครเชื่อตามเขา แต่ดูเหมือนผู้คนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างในตัวเขาเสมอ

ชายชราเจ้าของฟาร์มมีสิ่งที่เปาโลเรียกว่า “กลิ่นอันหอมหวาน” ของพระคริสต์ (2 คร.2:15) พระเจ้าทรงใช้เขาโดย “ประทานกลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์ให้ปรากฏ” (ข้อ 14) ตอนนี้เขาไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว แต่กลิ่นหอมของเขายังคงหลงเหลืออยู่ในโลมีต้า

ซี.เอส.ลูอิสเขียนไว้ว่า “ไม่มีใครเป็นคนธรรมดา คุณไม่เคยพูดคุยกับมนุษย์ธรรมดา” พูดอีกอย่างได้ว่า การคบหากันของมนุษย์ล้วนมีผลอันเป็นนิรันดร์ ในแต่ละวันเรามีโอกาสที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคนรอบตัวเรา ผ่านการค่อยๆเป็นพยานด้วยชีวิตที่สัตย์ซื่อและอ่อนสุภาพ หรือด้วยถ้อยคำหนุนใจแก่ผู้ที่โรยแรง จงอย่าดูถูกชีวิตแบบพระคริสต์ที่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น

ย้ายรั้วของคุณ

ผู้รับใช้พระเจ้าประจำหมู่บ้านนอนไม่หลับ ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองรุนแรงขึ้น ท่านบอกกับทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่งว่าพวกเขาฝังศพเพื่อนทหารในเขตรั้วสุสานข้างโบสถ์ไม่ได้ เพราะที่นั่นอนุญาตให้เฉพาะสมาชิกคริสตจักรเท่านั้น ทหารกลุ่มนั้นจึงฝังร่างเพื่อนที่พวกเขารักไว้นอกรั้ว

แต่เช้าวันต่อมา พวกทหารหาหลุมศพไม่พบ “หลุมศพหายไปแล้ว เกิดอะไรขึ้น” ทหารคนหนึ่งไปบอกผู้รับใช้พระเจ้า “อ๋อ มันยังอยู่ตรงนั้น” ทหารรู้สึกงงงวยแต่ท่านอธิบายว่า “ผมเสียใจที่ปฏิเสธพวกคุณ เมื่อคืนผมเลยลุกขึ้นมาย้ายรั้ว”

พระเจ้าอาจประทานมุมมองใหม่สำหรับสถานการณ์ที่ท้าทายในชีวิตเราเช่นกัน หากเรามองหามัน นี่คือสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บอกแก่ชนชาติอิสราเอลที่ถูกกดขี่ข่มเหง แทนที่จะมองอดีตและถวิลหาการช่วยกู้ที่ทะเลแดง พวกเขาต้องเปลี่ยนมุมมองและดูว่าพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งอัศจรรย์ใหม่และเปิดหนทางเดินใหม่ที่สว่างไสว “อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่า ดูเถิด เรากำลังกระทำสิ่งใหม่” (อสย.43:18-19) พระองค์ทรงเป็นแหล่งแห่งความหวังท่ามกลางความสงสัยและการต่อสู้ “เราให้น้ำในถิ่นทุรกันดาร ให้แม่น้ำในที่แห้งแล้ง เพื่อให้น้ำดื่มแก่ชนชาติผู้เลือกสรรของเรา” (ข้อ 20)

เมื่อเรามีมุมมองใหม่ เราจะมองเห็นการทรงนำใหม่ของพระเจ้าในชีวิตเรา ขอให้เรามองด้วยสายตาใหม่เพื่อจะเห็นหนทางเดินใหม่ของพระองค์ จากนั้นให้เรากล้าที่จะก้าวเท้าลงไปบนแผ่นดินใหม่และติดตามพระองค์ด้วยใจกล้าหาญ

จากความล้มเหลวสู่คำพยาน

ดาร์ริลเป็นตำนานของนักเบสบอลผู้เกือบทำลายชีวิตตนเองเพราะยาเสพติด แต่พระเยซูทรงปลดปล่อยเขาให้เป็นไทและมีชีวิตที่ขาวสะอาด ทุกวันนี้เขาช่วยคนที่ติดยาและนำคนเหล่านั้นมาถึงความเชื่อ เมื่อมองย้อนกลับไป เขายืนยันว่าพระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนความล้มเหลวของเขาให้เป็นคำพยาน

ไม่มีสิ่งใดยากเกินไปสำหรับพระเจ้า เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นฝั่งใกล้กับที่ฝังศพ หลังจากค่ำคืนที่ลมพายุโหมกระหน่ำในทะเลกาลิลีกับเหล่าสาวก ชายที่มีผีสิงวิ่งมาหาพระองค์ พระเยซูตรัสกับผีที่สิงอยู่นั้น ขับไล่พวกมันไปและปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ

เมื่อพระเยซูเสด็จไปชายนั้นขอติดตามไปด้วย แต่พระเยซูไม่ทรงอนุญาตเพราะพระองค์มีงานให้เขาทำ คือ “จงไปหาพวกพ้องของเจ้าที่บ้านแล้วบอกเขาถึงเรื่องเหตุการณ์ใหญ่ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า” (มก.5:19)

เราไม่ได้เห็นชายนั้นอีกเลย แต่พระคัมภีร์เผยให้เราเห็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ ประชาชนที่นั่นอ้อนวอนให้พระองค์ “ไปเสีย” จากเมือง (ข้อ 17) แต่เมื่อทรงกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ฝูงชนจำนวนมากมารวมตัวกัน (8:1) เป็นไปได้ไหมว่าฝูงชนที่มานั้นเป็นผลมาจากที่พระเยซูส่งชายคนนั้นกลับไปบ้าน เป็นไปได้ไหมที่ชายซึ่งเคยถูกความมืดครอบงำได้กลายเป็นมิชชันนารีคนแรกๆที่ประกาศถึงฤทธิ์เดชแห่งการช่วยกู้ของพระเยซูอย่างเกิดผล

เราไม่มีวันรู้ แต่ที่รู้คือ เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระเพื่อจะรับใช้พระองค์ พระองค์ทรงสามารถเปลี่ยนความล้มเหลวในอดีตให้กลายเป็นคำพยานแห่งความหวังและความรักได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา