เหตุผลที่ดี
ผู้หญิงทั้งสองคนนั่งตรงที่นั่งริมทางเดินคนละฝั่งในแถวเดียวกัน เที่ยวบินนั้นใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง ผมจึงมีโอกาสได้เห็นปฏิสัมพันธ์ของพวกเธอ แน่นอนว่าพวกเธอรู้จักกัน อาจจะเกี่ยวดองกันด้วย คนที่ดูอายุน้อยกว่า (น่าจะวัยหกสิบปี) คอยล้วงกระเป๋ายื่นสิ่งต่างๆให้อีกคนที่สูงวัยกว่า (ผมเดาว่าวัยเก้าสิบ) ทั้งแอปเปิ้ลหั่นชิ้น แซนด์วิชทำเองขนาดพอดีคำ ต่อด้วยผ้าเช็ดปาก ตบท้ายด้วยหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ การยื่นให้ในแต่ละครั้งนั้นทั้งอ่อนโยนและดูภาคภูมิ เมื่อเราลุกขึ้นเตรียมตัวลงจากเครื่อง ผมบอกกับหญิงที่อายุน้อยกว่าว่า “ผมสังเกตเห็นวิธีที่คุณดูแลเธอ มันงดงามมาก” เธอตอบว่า “ท่านเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ท่านเป็นแม่ฉันเอง”
คงดีใช่ไหมถ้าเราทุกคนสามารถพูดเช่นนั้นได้ พ่อแม่บางคนเป็นเหมือนเพื่อนสนิท พ่อแม่บางคนไม่ใกล้เคียงแม้แต่น้อย ความจริงคือความสัมพันธ์นี้มักจะซับซ้อน จดหมายของเปาโลถึงทิโมธีไม่ได้ละเลยในจุดนี้ และยังคงเรียกร้องให้เรา “หัดปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนา” ด้วยการดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายาย หรือก็คือ “วงศ์ญาติ” และ “คนในบ้านเรือน” ของเรา (1 ทธ.5:4,8)
เราทุกคนมักจะให้การดูแลก็ต่อเมื่อสมาชิกครอบครัวคนนั้นดีหรือเคยดีต่อเรา หรือพูดอีกแง่หนึ่งคือ ตามที่พวกเขาสมควรได้รับ แต่เปาโลให้เหตุผลที่งดงามกว่าในการตอบแทนพวกเขาคือ ให้ดูแลพวกเขาเพราะ “การกระทำเช่นนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” (ข้อ 4)
การเลี้ยงดูของพระเจ้า
เราเดินลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆค่อยๆห่างจากหมู่บ้านในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง เราก็ได้ยินเสียงน้ำที่ดังสนั่นหวั่นไหว เราจึงรีบเร่งฝีเท้า ไม่นานก็มาถึงที่โล่งและได้พบกับภาพทิวทัศน์อันงดงามของม่านน้ำสีขาวที่ไหลบ่าลงเหนือแนวหินสีเทา ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก!
เพื่อนร่วมการปีนเขาของเราซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่เราจากมาเมื่อชั่วโมงที่แล้วตัดสินใจว่าเราควรจะปิคนิคที่นี่ เป็นความคิดที่ดีแต่อาหารอยู่ที่ไหนล่ะ เราไม่ได้นำอาหารมาด้วย เพื่อนๆของฉันหายเข้าไปในป่าที่ล้อมรอบบริเวณนั้นและกลับออกมาพร้อมด้วยผักและผลไม้หลากหลายรวมถึงปลาด้วย ผักเลือนดูแปลกตาด้วยดอกเล็กๆสีม่วง แต่รสชาติอร่อยลิ้น!
อีกครั้งที่ฉันระลึกว่าสิ่งทรงสร้างนั้นประกาศถึงการเลี้ยงดูอันอุดมของพระเจ้า เราเห็นหลักฐานถึงพระทัยอันกว้างขวางของพระองค์ได้ใน “ผักหญ้าที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลมีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน” (ปฐก.1:12) พระเจ้าทรงสร้างและประทาน “พืชที่มีเมล็ดทั้งหมด...และต้นไม้ทุกชนิดที่มีเมล็ดในผลของมัน” ให้เราเป็นอาหาร (ข้อ 29)
บางครั้งคุณพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะวางใจพระเจ้าว่าจะประทานสิ่งจำเป็นแก่คุณหรือไม่ ทำไมไม่ลองไปเดินเล่นท่ามกลางธรรมชาติดู ให้สิ่งที่คุณเห็นตอกย้ำถ้อยคำของพระเยซูที่ว่า “อย่ากระวนกระวายว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม...พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้” (มธ.6:31-32)
รักศัตรู
ผมหลบเข้าไปในห้องก่อนเธอจะเห็นผม ผมรู้สึกอายที่ต้องหลบซ่อนแต่ผมไม่อยากคุยกับเธอในตอนนั้นหรือตลอดไป ผมอยากบอกให้เธอไปหรือให้เธอรู้ตัว แม้ผมจะเคยหงุดหงิดกับพฤติกรรมของเธอในอดีต แต่เป็นไปได้ว่าผมเป็นฝ่ายที่ทำให้เธอขัดเคืองใจมากยิ่งกว่า!
ชาวยิวและชาวสะมาเรียก็มีความสัมพันธ์ที่ขัดเคืองใจต่อกันเช่นกัน จากการมีเชื้อสายที่หลากหลายและนมัสการพระของตัวเอง ชาวสะมาเรียในสายตาของชาวยิวได้ทำให้สายเลือดและความเชื่อของคนยิวเสียหาย และก่อตั้งศาสนาคู่แข่งบนภูเขาเกริซิม (ยน.4:20) ที่จริงชาวยิวรังเกียจชาวสะมาเรียมากจนยอมเดินทางอ้อมเมืองไปซึ่งไกลกว่าเดินทางตรงผ่านดินแดนสะมาเรีย
พระเยซูทรงเปิดเผยให้เห็นหนทางที่ดีกว่า พระองค์นำความรอดมาสู่ทุกคนรวมทั้งชาวสะมาเรียด้วย ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเข้าไปยังใจกลางดินแดนสะมาเรียเพื่อนำน้ำธำรงชีวิตไปให้หญิงคนบาปและเมืองของเธอ (ข้อ 4-42) ถ้อยคำสุดท้ายที่พระองค์ตรัสแก่สาวกคือ ให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์ พวกเขาต้องประกาศข่าวประเสริฐแก่ทุกคน เริ่มจากเยรูซาเล็มและแพร่ไปผ่านสะมาเรียจนถึง “ที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กจ.1:8) สะมาเรียเป็นมากกว่าลำดับถัดไปทางภูมิศาสตร์ แต่เป็นส่วนที่เจ็บปวดที่สุดในพันธกิจ เหล่าสาวกต้องเอาชนะอคติที่มีมาทั้งชีวิตและรักคนที่พวกเขาไม่ชอบ
พระเยซูทรงสำคัญสำหรับเรามากกว่าความคับข้องใจของเราหรือไม่ มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้แน่ใจได้ นั่นคือจงรักคนที่เปรียบเหมือน “ชาวสะมาเรีย” ของคุณ
ไม่แสวงหาการแก้แค้น
ชาวสวนขึ้นรถกระบะและเริ่มออกไปสำรวจพืชผลยามเช้า เมื่อไปถึงสุดเขตที่ดินเขาเริ่มรู้สึกเดือดดาล มีคนแอบมาใช้พื้นที่ห่างไกลของสวนเป็นที่ทิ้งขยะ อีกแล้ว
เมื่อเขาโยนถุงขยะที่เป็นเศษอาหารเหล่านั้นขึ้นรถ เขาพบซองจดหมายฉบับหนึ่ง บนหน้าซองมีที่อยู่ของผู้ที่ทำความผิดนี้ นี่เป็นโอกาสที่ดีเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไป คืนนั้นเขาขับรถไปที่บ้านของผู้ก่อเหตุและทิ้งขยะในสวนของเขา ซึ่งไม่ใช่แค่ขยะที่เก็บมาแต่มีขยะจากบ้านของเขาด้วย!
มีบางคนกล่าวไว้ว่า การแก้แค้นนั้นแสนหวาน แต่มันเป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ ใน 1 ซามูเอล 24 ดาวิดกับคนของท่านซ่อนอยู่ในถ้ำเพื่อหนีจากกษัตริย์ซาอูลที่ตามฆ่า เมื่อซาอูลเข้าไปในถ้ำเดียวกันเพื่อปลดทุกข์ คนของดาวิดเห็นโอกาสที่ดีเกินกว่าจะปล่อยให้ผ่านไปเพื่อให้ดาวิดได้แก้แค้น (ข้อ 3-4) แต่ดาวิดต่อต้านความปรารถนาที่จะเอาคืนนี้ “พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า” ท่านกล่าว (ข้อ 6) เมื่อซาอูลรู้ว่าดาวิดเลือกที่จะไว้ชีวิตพระองค์ ซาอูลประหลาดใจยิ่งนัก “เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า” พระองค์ประกาศ (ข้อ 17-18)
เมื่อเราหรือคนที่เรารักต้องเผชิญกับความอยุติธรรม โอกาสที่จะได้แก้แค้นผู้กระทำผิดอาจมาถึงเรา เราจะยอมจำนนต่อความปรารถนาเช่นเดียวกับชาวสวนคนนั้น หรือต่อต้านเหมือนกับดาวิด เราจะเลือกความชอบธรรมเหนือการแก้แค้นหรือไม่
ทรงพาเราผ่านพายุ
ระหว่างการเดินทางไปอินเดียครั้งแรกของมิชชันนารีชาวสก๊อต อเล็กซานเดอร์ ดัฟฟ์ในปี 1830 เรือของเขาอับปางกลางพายุใกล้ชายฝั่งของแอฟริกาใต้ เขากับเพื่อนผู้โดยสารเรือรอดไปถึงเกาะร้างเล็กๆ และไม่นานต่อมาลูกเรือคนหนึ่งก็พบพระคัมภีร์ของดัฟฟ์ถูกพัดมาติดหาดทราย เมื่อพระคัมภีร์แห้งแล้วดัฟฟ์ก็อ่านสดุดี 107 ให้ผู้รอดชีวิตฟังและพวกเขาก็มีกำลังใจ ในที่สุดหลังจากได้รับการช่วยเหลือและมีเหตุการณ์เรือแตกอีกครั้ง ดัฟฟ์ก็ไปถึงอินเดีย
พระธรรมสดุดี 107 กล่าวถึงวิธีการบางอย่างที่พระเจ้าใช้ปลดปล่อยคนอิสราเอล ไม่ต้องสงสัยว่าดัฟฟ์และลูกเรือเข้าใจเป็นอย่างดีและได้รับการปลอบประโลมใจจากถ้อยคำที่ว่า “พระองค์ทรงกระทำให้พายุสงบลงและคลื่นทะเลก็นิ่ง แล้วเขาก็ยินดีเพราะเขามีความเงียบ และพระองค์ทรงนำเขามายังท่าที่เขาปรารถนา” (ข้อ 29-30) และเช่นเดียวกับคนอิสราเอล พวกเขา “ขอบพระคุณพระเจ้า เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์” (ข้อ 31)
เราเห็นความคล้ายคลึงระหว่างสดุดี 107:28-30 กับพันธสัญญาใหม่ (มธ.8:23-27; มก.4:35-41) พระเยซูและสาวกอยู่ในเรือกลางทะเลเมื่อเกิดพายุรุนแรง สาวกร้องด้วยความกลัวและพระเยซูซึ่งเป็นพระเจ้าผู้สวมสภาพมนุษย์ทรงทำให้ทะเลสงบลง เราเองก็มีกำลังใจได้เช่นกัน! พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงฤทธิ์ทรงได้ยินและตอบคำร้องทูลของเรา และจะทรงปลอบประโลมเราในท่ามกลางพายุ
สันติสุขในความโกลาหล
มีบางอย่างที่เหมือนกับเสียงประทัดทำให้โจแอนน์ตื่นจากหลับ เป็นเสียงกระจกแตก เธอลุกขึ้นดูว่าเกิดอะไรขึ้นขณะคิดในใจว่าคงจะดีถ้าเธอไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ถนนที่มืดมิดนั้นว่างเปล่าและบ้านก็ดูปกติดี แล้วเธอก็เห็นกระจกที่แตก
ตำรวจพบกระสุนปืนตกห่างจากท่อแก๊สเพียงครึ่งนิ้ว หากกระสุนโดนท่อเธอคงไม่น่าจะรอดชีวิต ภายหลังพวกเขาพบว่าเป็นกระสุนลูกหลงจากอพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ แต่ตอนนี้โจแอนน์กลัวไม่กล้าอยู่บ้าน เธออธิษฐานขอสันติสุข และเมื่อเศษกระจกถูกเก็บกวาดเรียบร้อย จิตใจของเธอก็สงบลง
พระธรรมสดุดี 121 เตือนให้เรามองไปที่พระเจ้าในเวลาที่มีปัญหา ในที่นี้เราได้เห็นว่าเรามีสันติสุขและสงบได้เพราะ “ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” (ข้อ 2) พระเจ้าผู้ทรงสร้างจักรวาลทรงช่วยเหลือและดูแลเรา (ข้อ 3) แม้ในขณะที่เราหลับ แต่พระองค์เองไม่เคยหลับ (ข้อ 4) พระองค์ทรงดูแลเราทั้งกลางวันและกลางคืน (ข้อ 6) “ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์” (ข้อ 8)
ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ใด พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็น และพระองค์กำลังรอคอยให้เราหันหาพระองค์ เมื่อเราทำเช่นนั้น สถานการณ์ของเราอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเสมอไป แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าสันติสุขของพระองค์จะอยู่ด้วยในทุกสถานการณ์
จดจำและเฉลิมฉลอง
วันที่ 6 ธันวาคม 1907 แรงระเบิดสั่นสะเทือนชุมชนเล็กๆในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียเป็นหายนะร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน ชาวเหมือง 360 คนเสียชีวิต และประมาณการว่าโศกนาฏกรรมนี้ทำให้มีหญิงม่ายประมาณ 250 คนและเด็กนับพันที่ไร้พ่อ นักประวัติศาสตร์กล่าวว่างานไว้อาลัยครั้งนั้นคือที่มาของการเฉลิมฉลองวันพ่อในสหรัฐในเวลาต่อมา ความสูญเสียครั้งใหญ่ก่อให้เกิดการจดจำและการเฉลิมฉลองในที่สุด
โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ตรึงองค์พระผู้สร้างของพวกเขาที่กางเขน กระนั้น ช่วงเวลาที่มืดมนนั้นก็นำมาซึ่งการจดจำและการเฉลิมฉลอง คืนก่อนที่จะทรงถูกตรึง พระเยซูหยิบของในเทศกาลปัสกาของอิสราเอลมาและจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงพระองค์เอง บันทึกของลูกาบรรยายไว้อย่างนี้ว่า “พระองค์ทรงหยิบขนมปัง โมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลาย ตรัสว่า “นี่เป็นกายของเราซึ่งได้ให้สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา” (ลก.22:19)
จนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เรารับศีลมหาสนิท เราก็ได้ถวายเกียรติให้กับความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อเรา โดยการระลึกถึงราคาที่ทรงจ่ายเพื่อช่วยกู้เราและเฉลิมฉลองของประทานแห่งชีวิตจากการเสียสละของพระองค์ ตามที่ชาร์ลส์ เวสลีย์เขียนไว้ในเพลงนมัสการว่า “ความรักประหลาดเป็นได้อย่างไร ที่ผู้ไถ่วายพระชนม์เพื่อข้า”
พระเจ้าทรงรู้เรื่องราวของคุณ
ขณะที่ฉันขับรถกลับบ้านหลังรับประทานอาหารเที่ยงกับเพื่อนสนิท ฉันออกเสียงขอบคุณพระเจ้าสำหรับเธอ เธอรู้จักและรักฉันแม้จะมีหลายสิ่งที่ฉันเองยังไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเองเลย เธอเป็นหนึ่งในแวดวงคนสนิทไม่กี่คนที่ยอมรับฉันอย่างที่ฉันเป็น ทั้งความประหลาด นิสัยและข้อผิดพลาดต่างๆ กระนั้นก็ยังมีเรื่องราวบางส่วนที่ฉันไม่ได้เล่าให้เธอหรือคนอื่นที่ฉันรักฟัง ทั้งเรื่องราวที่ฉันไม่ใช่นางเอกของเรื่อง เรื่องที่ฉันด่วนตัดสินหรือใจร้ายหรือขาดความรัก
แต่พระเจ้าทรงทราบเรื่องของฉันทั้งสิ้น พระองค์คือผู้เดียวที่ฉันพูดคุยได้อย่างอิสระแม้ฉันจะลังเลไม่กล้าพูดกับคนอื่น
ถ้อยคำที่คุ้นเคยในสดุดี 139 บรรยายถึงความสนิทสนมที่เราจะชื่นชมได้ร่วมกับองค์จอมกษัตรา พระองค์ทรงรู้จักเราในทุกด้าน! (ข้อ 1) “ทรงคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้น” ของเรา (ข้อ 3) พระองค์เชื้อเชิญให้เรานำความสับสน ความคิดกังวลและการต่อสู้กับการทดลองเข้ามาหาพระองค์ เมื่อเราเต็มใจยอมจำนนต่อพระองค์โดยสิ้นเชิง พระองค์จะทรงยื่นพระหัตถ์ออกมาเพื่อรื้อฟื้นและเขียนเรื่องราวที่ทำให้เราเศร้าเพราะเราเหินห่างจากพระองค์นั้นขึ้นใหม่
พระเจ้าทรงรู้จักเราดียิ่งกว่าใครทั้งสิ้น และกระนั้น...พระองค์ยังทรงรักเรา! เมื่อเรายอมจำนนต่อพระองค์ ในแต่ละวันและแสวงหาที่จะรู้จักพระองค์มากขึ้น พระองค์สามารถเปลี่ยนเรื่องราวของเราเพื่อพระเกียรติของพระองค์ได้ พระองค์คือผู้ประพันธ์ที่ยังคงเขียนเรื่องราวอยู่เสมอ
เชื่อพระคัมภีร์
บิลลี่ เกรแฮมนักประกาศชื่อดังชาวอเมริกันเล่าให้ฟังว่า เขาเคยมีปัญหากับการยอมรับว่าพระคัมภีร์เป็นจริงทั้งหมด คืนหนึ่งขณะที่เขาเดินอยู่ลำพังใต้แสงจันทร์ที่ค่ายรีทรีตในเทือกเขาซานเบอร์นาดิโน เขาทรุดตัวลงคุกเข่าและวางพระคัมภีร์บนตอไม้ ทำได้เพียงอธิษฐานอย่าง “ตะกุกตะกัก” ว่า “โอ พระเจ้า มีหลายเรื่องในพระคัมภีร์ที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ”
เมื่อสารภาพความสับสนของตัวเอง เกรแฮมกล่าวว่าในที่สุดพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรง “ปลดปล่อยผมให้พูดได้ว่า ‘พระบิดา ข้าพระองค์จะยอมรับพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระองค์ด้วยความเชื่อ!’” เมื่อเขายืนขึ้น เขายังมีคำถามอยู่ แต่เขากล่าวว่า “ผมรู้ว่าการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของผมได้ถูกจัดการและได้รับชัยชนะแล้ว”
เยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะหนุ่มต้องต่อสู้ในฝ่ายวิญญาณเช่นกัน แต่ท่านแสวงหาคำตอบในพระคัมภีร์อยู่เสมอ “เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้วข้าพระองค์ก็กินเสีย พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์ และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์” (ยรม.15:16) ท่านประกาศว่า “พระวจนะของพระเจ้า...ก็มีสิ่งในใจของข้าพระองค์เหมือนไฟไหม้ อัดอยู่ในกระดูกของข้าพระองค์” (20:8-9) ชาร์ลส์ สเปอร์เจียน นักประกาศในสมัยศตวรรษที่ 19 เขียนว่า “[เยเรมีย์]บอกความลับแก่เรา ชีวิตภายนอกโดยเฉพาะพันธกิจอันสัตย์ซื่อของท่านนั้นมาจากความรักภายในที่มีต่อพระวจนะที่ท่านเทศนา”
เราเองก็สามารถปรับเปลี่ยนชีวิตของเราผ่านสติปัญญาจากพระคัมภีร์ได้แม้เราจะมีข้อสงสัย เรายังคงศึกษาต่อไปได้ด้วยความเชื่อเช่นที่เราเคยทำเสมอมา