คุณเป็นใคร
ผู้ที่นำการประชุมทางไกลผ่านจอภาพกล่าวว่า “สวัสดีตอนเช้า” ผมตอบกลับไปว่า “สวัสดีครับ” แต่ตาผมไม่ได้มองที่เขา ผมเสียสมาธิกับภาพของตัวเองบนหน้าจอ นี่สารรูปของผมหรือนี่? ผมมองใบหน้ายิ้มแย้มของคนอื่นๆในหน้าจอ นั่นเป็นใบหน้าของพวกเขาจริงๆ แสดงว่าภาพที่เห็นอยู่คือตัวผมแน่ๆ ผมควรจะลดน้ำหนัก และไปตัดผม
ฟาโรห์คิดว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เป็นเหมือน “สิงห์หนุ่มท่ามกลางประชาชาติ...เหมือนมังกรในทะเลทั้งหลาย” (อสค.32:2) แต่แล้วในชั่วขณะหนึ่งพระองค์มองเห็นตัวเองจากมุมมองของพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่าฟาโรห์กำลังพบปัญหาและพระองค์จะทรงให้ซากศพของฟาโรห์แก่บรรดาสัตว์ป่า ทำให้ “ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากแลตะลึงที่ท่านและกษัตริย์ของเขาทั้งหลายจะสะทกสะท้านเพราะท่าน” (ข้อ 10) ฟาโรห์ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่พระองค์คิด
เราอาจคิดว่าตัวเอง “ดูดีฝ่ายวิญญาณ” จนกระทั่งเราเห็นบาปของเราเหมือนที่พระเจ้าทรงเห็น เมื่อเทียบกับมาตรฐานบริสุทธิ์ของพระองค์ แม้แต่ “การกระทำอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก” (อสย.64:6) แต่พระเจ้ายังทรงเห็นอีกสิ่งหนึ่งที่เที่ยงแท้ยิ่งกว่านั่นคือ ทรงเห็นพระเยซู และพระเจ้าทรงเห็นเราในพระเยซู
คุณกำลังรู้สึกแย่กับสภาพที่ตัวเองเป็นหรือเปล่า จำไว้ว่านี่ไม่ใช่ตัวคุณ หากคุณวางใจในพระเยซูคุณก็อยู่ในพระองค์ และความบริสุทธิ์ของพระองค์ปกคลุมอยู่เหนือคุณ คุณงดงามกว่าที่คุณคิด
มุ่งสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
ในการสำรวจเมื่อเร็วๆนี้ มีการถามว่าผู้ทำแบบสอบถามคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ตอนอายุเท่าไร โดยคนที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่แล้วได้ระบุพฤติกรรมที่เป็นการยืนยัน การมีเงินก้อนและการซื้อบ้านติดอันดับต้นๆของข้อบ่งชี้ถึงการเป็น “ผู้ใหญ่” กิจกรรมของผู้ใหญ่อื่นๆ มีตั้งแต่การทำอาหารค่ำ และการติดต่อนัดตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง ไปจนถึงความสามารถที่ดูน่าขบขันอย่างการเลือกกินขนมเป็นอาหารเย็น หรือการรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้อยู่บ้านเย็นวันเสาร์แทนที่จะออกไปข้างนอก
พระคัมภีร์บอกว่าเราควรมุ่งไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเช่นกัน เปาโลเขียนถึงคริสตจักรในเมืองเอเฟซัสให้พวกเขา “โตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์” (อฟ.4:13) ขณะที่เรายัง “เยาว์” ในความเชื่อ เราจะหวั่นไหวต่อ “ลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง” (ข้อ 14) ซึ่งมักส่งผลให้เกิดความแตกแยกในหมู่พวกเรา แต่เมื่อเราเติบโตในการเข้าใจความจริง เราจะดำเนินชีวิตเป็นกายเดียวกันภายใต้ “พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์” (ข้อ 15)
พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์เพื่อช่วยให้เราเติบโตขึ้นในความเข้าใจว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด (ยน.14:26) และได้ทรงเตรียมศิษยาภิบาลและอาจารย์เพื่อให้สอนและนำเราสู่ความเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ (อฟ.4:11-12) เช่นเดียวกับที่คุณลักษณะบางอย่างเป็นเครื่องหมายของการเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายร่างกายฉันใด ความเป็นหนึ่งเดียวในพระกายของพระคริสต์ก็เป็นเครื่องหมายแสดงถึงการเติบโตฝ่ายวิญญาณของเราฉันนั้น
การช่วยกู้จากพระเจ้า
หลังได้รับแจ้งจากพลเมืองดี เจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถไปตามทางรถไฟพร้อมส่องไฟฉายแรงสูงไปในความมืดจนมองเห็นรถคันหนึ่งจอดคร่อมรางรถไฟอยู่ กล้องติดรถยนต์จับภาพเหตุการณ์ระทึกใจที่รถไฟกำลังแล่นมาทางรถยนต์คันนั้น นายตำรวจนั้นพูดว่า “รถไฟเคลื่อนมาด้วยความเร็วราวแปดสิบถึงร้อยสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง” เขาไม่ลังเลที่จะรีบดึงชายหมดสติออกจากรถเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่รถไฟจะพุ่งเข้าชน
พระคัมภีร์เปิดเผยว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยกู้ที่ทันเวลา เมื่ออิสราเอลติดอยู่ในอียิปต์และถูกกดขี่อย่างหนัก พวกเขามองไม่เห็นทางรอด แต่ในพระธรรมอพยพ เราพบว่าพระเจ้าได้ตรัสถ้อยคำที่ดังกึกก้องไปด้วยความหวังว่า “เราเห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของเขา...เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆของเขา” (3:7) พระองค์ไม่เพียง เห็น แต่ทรงกระทำกิจด้วย “เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอด” (ข้อ 8) พระเจ้าทรงนำชนอิสราเอลออกจากพันธนาการ นี่คือการช่วยกู้จากพระเจ้า
การทรงช่วยกู้อิสราเอลทำให้เราเห็นพระทัยของพระเจ้า และฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ที่ทรงช่วยเราทุกคนที่มีปัญหา พระองค์ทรงช่วยเหลือพวกเราที่ถูกกำหนดไว้ให้พินาศเว้นแต่พระเจ้าจะมาช่วยเรา แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราอาจเลวร้ายหรือไร้ทางออก เราสามารถเงยหน้าและยกใจของเราขึ้นและรอคอยพระเจ้าผู้ทรงรักที่จะช่วยกู้เรา
คนมีปัญญาสร้างบ้าน
โซเจอร์เนอร์ ทรูธ มีชื่อเดิมว่า อิซาเบลล่า บอมฟรี เธอเกิดมาเป็นทาสในปี 1797 ที่เมืองอิโซปัส รัฐนิวยอร์ก ลูกของเธอถูกขายไปเป็นทาสเกือบหมด แต่ตัวเธอพาลูกสาวคนหนึ่งหลบหนีจนได้รับอิสรภาพในปี 1826 และอยู่กับครอบครัวที่จ่ายค่าไถ่ให้เธอ แทนที่จะยอมให้ครอบครัวต้องพลัดพรากเพราะระบบอันอยุติธรรม เธอดำเนินการทางกฎหมายจนได้ปีเตอร์ลูกชายคนเล็กกลับมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งสำหรับหญิงแอฟริกันในยุคนั้น เธอรู้ว่าไม่สามารถเลี้ยงลูกได้หากไม่มีการช่วยเหลือจากพระเจ้า เธอจึงรับเชื่อในพระองค์และภายหลังได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า โซเจอร์เนอร์ ทรูธ เพื่อแสดงว่าชีวิตของเธอสร้างขึ้นบนความจริงของพระเจ้า
กษัตริย์ซาโลมอนผู้เขียนสุภาษิต 14 ประกาศว่า “ปัญญาสร้างเรือนของเธอขึ้น” (ข้อ 1) แต่คนที่ไร้ปัญญา “รื้อมันลง” ภาพการสร้างบ้านนี้แสดงให้เห็นถึงปัญญาที่พระเจ้าจัดเตรียมแก่ผู้ที่เต็มใจฟัง คนเราจะสร้างบ้านด้วยปัญญาได้อย่างไร ก็โดยการพูดสิ่งที่ “เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง” (อฟ.4:29 และดู 1 ธส.5:11) แล้วเราจะรื้อบ้านได้อย่างไร สุภาษิต 14 ตอบว่า “วาจายโสของคนโง่นำโทษทัณฑ์มาสู่ตนเอง” (ข้อ 3 TNCV)
ขอบคุณพระปัญญาของพระเจ้าที่ทำให้โซเจอร์เนอร์ “อยู่อย่างอุ่นใจ” (ข้อ 26) ในสถานการณ์วุ่นวาย คุณอาจไม่เคยต้องช่วยลูกจากความอยุติธรรม แต่คุณสามารถสร้างบ้านบนรากฐานเดียวกันกับโซเจอร์เนอร์ นั่นคือบนสติปัญญาของพระเจ้า
ตัวตนที่แท้จริงของเรา
ในอัลบั้มรูปของพ่อแม่ผมมีภาพเด็กชายคนหนึ่ง เขามีใบหน้ากลม ตกกระ ผมสีบลอนด์เหยียดตรง เขาชอบการ์ตูน เกลียดอโวคาโด และมีแผ่นเสียงเพียงแผ่นเดียวคือของวงแอ็บบา ในอัลบั้มเดียวกันนั้นยังมีภาพของเด็กวัยรุ่น ใบหน้ายาว ผมหยักเป็นคลื่น ไม่มีกระ ชอบกินอโวคาโด ชอบดูหนังไม่ใช่การ์ตูน และจะไม่มีวันยอมรับว่าตนมีแผ่นเสียงของแอ็บบา! เด็กชายและเด็กวัยรุ่นมีความเหมือนกันเล็กน้อย ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วพวกเขามีผิว ฟัน เลือดและกระดูกที่ต่างกัน แต่ทั้งสองคนก็คือผม ความขัดแย้งนี้ทำให้นักปรัชญางุนงง ถ้ามนุษย์เราเปลี่ยนแปลงในตลอดชีวิต แล้วใครที่เป็นเราตัวจริง
พระวจนะมีคำตอบ นับแต่วินาทีที่พระเจ้าทรงถักทอเราเข้าด้วยกันในครรภ์มารดา (สดด.139:13-14) เราก็เติบโตขึ้นในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่เราจะยังนึกไม่ออกว่าสุดท้ายแล้วเราจะกลายเป็นคนอย่างไร แต่เรารู้ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าซึ่งในท้ายที่สุดแล้วจะเป็นเหมือนพระเยซู (1 ยน.3:2) ร่างกายเราแต่มีธรรมชาติแบบพระองค์ บุคลิกภาพของเราแต่มีอุปนิสัยแบบพระองค์ ของประทานทุกอย่างของเราจะเป็นที่ประจักษ์ และบาปทั้งหลายจะหมดไป
เรากำลังเติบโตไปสู่ตัวตนในอนาคตของเราจนพระเยซูจะเสด็จกลับมา โดยพระราชกิจของพระองค์ ทีละก้าว เราจะสามารถสะท้อนภาพของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ (2 คร.3:18) เรายังไม่ได้เป็นคนที่เราควรจะเป็น แต่ในขณะที่เราเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระองค์ เราจะได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา
รอคอยในความหวัง
โรเจลิโอ ทำหน้าที่เป็นบริกรให้เราในช่วงวันหยุดยาว ครั้งหนึ่งขณะคุยกันเขาขอบคุณพระเยซูที่อวยพรให้เขามีคาลี่ภรรยาผู้เปี่ยมไปด้วยใจเมตตาและความเชื่อเข้มแข็ง หลังจากทั้งคู่มีลูกคนแรก พระเจ้าให้พวกเขามีโอกาสช่วยดูแลหลานสาวที่มีภาวะดาวน์ซินโดรม หลังจากนั้นไม่นาน แม่ยายของโรเจลิโอก็ต้องการคนดูแลใกล้ชิด
โรเจลิโอทำงานด้วยความชื่นชมยินดี และมักจะรับงานสองกะเพื่อให้ภรรยาสามารถอยู่บ้านดูแลคนที่พระเจ้ามอบหมายไว้กับพวกเขาได้ เมื่อฉันบอกว่าการที่พวกเขาทั้งสองเปิดใจและเปิดบ้านเพื่อปรนนิบัติสมาชิกในครอบครัวได้เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันรักผู้อื่นมากขึ้น เขาตอบว่า “ผมยินดีที่ได้รับใช้พวกเขา...และคุณ”
ชีวิตของโรเจลิโอยืนยันถึงฤทธิ์เดชในการดำเนินชีวิตด้วยใจกว้างขวางและไว้วางใจ ว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมเมื่อเรารับใช้ซึ่งกันและกันอย่างไม่เห็นแก่ตัว เปาโลกระตุ้นประชากรของพระเจ้าให้ “รักกันฉันพี่น้อง...จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน” เมื่อเรา “เห็นอกเห็นใจช่วยธรรมิกชนเมื่อเขาขัดสน จงมีน้ำใจอัธยาศัยไมตรี” (รม.12:10-13)
ชีวิตของเราอาจเปลี่ยนแปลงไปในชั่วพริบตา จนตัวเราหรือคนที่เรารักอยู่ในสถานการณ์ที่เกินจะรับไหว แต่เมื่อเราเต็มใจแบ่งปันทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับเราในขณะที่เรารอคอยพระองค์ เราจะสามารถยึดมั่นในความรักมั่นคงของพระองค์...ด้วยกัน
ความยุติธรรมสมบูรณ์แบบ
เมื่อปี 1983 วัยรุ่นสามคนถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเหยื่อวัยสิบสี่ปี ข่าวรายงานว่าเด็กหนุ่มถูก “ยิง...เพราะเสื้อกีฬาของเขา” ทั้งสามถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต และใช้เวลาสามสิบหกปีอยู่ในคุก ก่อนจะพบหลักฐานว่าพวกเขาบริสุทธิ์ ชายอีกคนยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือ ก่อนที่ผู้พิพากษาจะปล่อยพวกเขาเป็นอิสระ ท่านได้ออกประกาศคำขอโทษ
ไม่ว่าเราจะพยายามแค่ไหน (และไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะทำดีแค่ไหน) ความยุติธรรมของมนุษย์มักบกพร่อง เราไม่มีทางรู้ข้อมูลทุกอย่าง บางครั้งคนที่ไม่ซื่อสัตย์ก็บิดเบือนข้อเท็จจริง บางครั้งเราก็คิดผิด และบ่อยครั้งที่ความชั่วร้ายใช้เวลานานกว่าจะได้รับการแก้ไข หรืออาจไม่ถูกคลี่คลายเลยตลอดชีวิตของเรา ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่เหมือนมนุษย์ แต่ทรงมีความยุติธรรมอันสมบูรณ์ โมเสสกล่าวว่า “พระราชกิจของพระองค์ก็สมบูรณ์ พระมรรคาทั้งหลายของพระองค์ก็ยุติธรรม” (ฉธบ.32:4) พระเจ้าทรงมองเห็นทุกสิ่งอย่างที่มันเป็นจริงๆ ในไม่ช้าเมื่อเราทำสิ่งเลวร้ายจนถึงที่สุด พระเจ้าจะทรงนำมาซึ่งวาระสุดท้ายอันเป็นความยุติธรรมสูงสุด แม้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่เรามั่นใจได้เพราะเรารับใช้ “พระเจ้าที่เที่ยงธรรมและปราศจากความผิด พระองค์ทรงยุติธรรมและเที่ยงตรง” (ข้อ 4)
เราอาจไม่แน่ใจว่าอะไรถูกหรือผิด เราอาจกลัวว่าความอยุติธรรมที่เกิดกับเราหรือคนที่เรารักจะไม่ได้รับการแก้ไข แต่เราสามารถวางใจในพระเจ้าแห่งความยุติธรรมได้ ว่าพระองค์จะประกาศความยุติธรรมให้แก่เราไม่ในชีวิตนี้ก็ชีวิตหน้า
ไม่เป็นไรที่จะคร่ำครวญ
ฉันทรุดตัวลงคุกเข่าปล่อยให้น้ำตาหยดลงพื้น “พระเจ้า ทำไมพระองค์ไม่ทรงดูแลข้าพระองค์?” ฉันร้องไห้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่โควิด 19 กำลังระบาดหนักในปี 2020 ฉันถูกเลิกจ้างมาเกือบเดือนและการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ว่างงานก็มีปัญหา ฉันยังไม่ได้รับเงินชดเชย และเงินช่วยเหลือที่รัฐบาลสหรัฐสัญญาว่าจะให้ก็ยังมาไม่ถึง ลึกๆฉันไว้วางใจว่าพระเจ้าจะจัดการทุกอย่าง ฉันเชื่อว่าพระองค์ทรงรักฉันอย่างแท้จริงและจะทรงดูแลฉัน แต่ในตอนนั้นฉันรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง
บทเพลงคร่ำครวญย้ำเตือนว่าไม่เป็นไรที่เราจะคร่ำครวญ หนังสือเล่มนี้น่าจะเขียนขึ้นในระหว่างหรือไม่นานหลังจากที่ชาวบาบิโลนทำลายเยรูซาเล็มในปี 587 ก่อนคริสตกาล เนื้อหาพูดถึงความทุกข์ยาก (3:1, 19) การกดขี่ (1:18) และความอดอยาก (2:20; 4:10) ของผู้คน แต่ในช่วงกลางของหนังสือ ผู้เขียนระลึกได้ว่าท่านมีความหวังได้เพราะ “ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง และพระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก” (3:22-23) แม้มีเหตุเลวร้าย แต่ผู้เขียนระลึกได้ว่าพระเจ้ายังคงสัตย์ซื่อ
บางครั้งดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อว่า “พระเจ้าทรงดีต่อคนทั้งปวงที่คอยท่าพระองค์อยู่ และทรงดีต่อคนที่แสวงพระองค์” (ข้อ 25) โดยเฉพาะเวลาที่เรามองไม่เห็นจุดจบของความทุกข์ทรมานนั้น แต่เราสามารถร้องทูลและวางใจว่าพระองค์ทรงสดับฟัง และพระองค์ทรงสัตย์ซื่อที่จะช่วยเราฝ่าฟันไปได้อย่างแน่นอน
ชีวิตที่น่าประทับใจ
ฉันได้มารู้เรื่องของแคทเธอรีน แฮมลิน หมอผ่าตัดผู้มีชื่อเสียงชาวออสเตรเลียจากข่าวมรณกรรมของเธอ ในเอธิโอเปียแคทเธอรีนและสามีก่อตั้งโรงพยาบาลเพียงแห่งเดียวในโลกที่อุทิศเพื่อการรักษาเฉพาะด้าน แก่ผู้หญิงที่บาดเจ็บทางร่างกายและทางจิตใจอันเนื่องจากการเกิดแผลทะลุในช่องท้องในระหว่างคลอดบุตร ซึ่งเป็นการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบ่อยในโลกที่กำลังพัฒนาแคทเธอรีนดูแลการให้การรักษาแก่ผู้หญิงกว่า 60,000 คน
ตอนอายุเก้าสิบสอง เธอยังคงดูแลงานที่โรงพยาบาลและเริ่มต้นวันด้วยการจิบชาและศึกษาพระวจนะ เธอบอกคนที่สงสัยว่าเธอเป็นเพียงผู้เชื่อในพระเยซูที่ทำงานที่พระเจ้ามอบหมายให้เธอทำ
ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ได้เรียนรู้ถึงชีวิตอันน่าทึ่งของเธอ เพราะเธอเป็นตัวอย่างอันทรงพลังที่ทำให้เห็นถึงพระวจนะซึ่งหนุนใจให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตในแบบที่แม้แต่คนที่ปฏิเสธพระเจ้าอย่างแข็งขันก็ “จะได้เห็นการดีของท่านและเขาจะได้สรรเสริญพระเจ้า” (1 ปต.2:12)
ฤทธิ์อำนาจขององค์พระวิญญาณที่ทรงเรียกเราออกจากความมืดฝ่ายวิญญาณเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์ (ข้อ 9) นั้น สามารถเปลี่ยนการงานหรือการรับใช้ของเราให้กลายเป็นคำพยานแห่งความเชื่อได้เช่นกัน ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานความปรารถนาหรือทักษะใดให้แก่เรา เราสามารถทำสิ่งนั้นให้มีความหมายและวัตถุประสงค์มากขึ้นด้วยการทำทุกอย่างนั้น เพื่อจะชี้นำผู้คนมาถึงพระองค์