เกาะแน่น
เถาแตงโมแผ่ขยายไปทั่วสวนของฉัน มันเลื้อยข้ามทางเดินหิน ไต่รั้ว และที่เลวร้ายที่สุดคือมันพยายามเกาะเกี่ยวและรัดพืชผักที่ฉันชอบ ฉันรู้ว่าสวนจะไม่เจริญงอกงามหากฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง ดังนั้นในเย็นวันหนึ่งฉันจึงลงมือคลายเถาพวกนั้นออกจากลำต้นและใบ เมื่อมันเลื้อยมาเกาะอีก ฉันก็คอยดึงมันออกจนกระทั่งในที่สุดพืชผักก็เติบโตและออกผลมะเขือเทศอวบๆ และพริกมันวาว
ความบาปอย่างเช่น ความโลภ ตัณหา และความเกลียดชัง สามารถครอบงำชีวิตของเราเหมือนเถาวัลย์ที่พยายามยึดครองสวนของฉัน หากปล่อยทิ้งไว้ เมล็ดพันธุ์แห่งความคิดผิดๆ อาจเติบโตจนควบคุมความปรารถนาและการประพฤติของเราเหมือน “บาปที่เกาะแน่น” (ฮบ.12:1) และขัดขวางการเติบโตฝ่ายวิญญาณของเรา
ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูหนุนใจเราให้ “ละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่” เพื่อเราจะสามารถ “วิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา” (ข้อ 1) การจะหลุดพ้นจากบาปได้นั้น เราจำเป็นต้องยอมรับว่า เราต้องการความช่วยเหลือในการจัดการกับบาป ซึ่งนี่อาจจะเป็นเรื่องยากหากเราบอกตัวเองและผู้อื่นให้เชื่อว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรง
เมื่อเรายอมรับว่ามีปัญหาจากใจจริง พระเยซูทรงยินดีรับคำอธิษฐานสารภาพบาปและยกโทษบาปของเราในทันที (1 ยน.1:9) พระองค์จะทรงสำแดงวิธีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแก่เรา และฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยให้เราเอาชนะสิ่งผูกมัดที่ขัดขวางเราจากการเจริญเติบโต
ฝากไว้กับพระเจ้า
ขณะเกาะอยู่สูงบนหน้าผาจำลองซาราห์รู้สึกตื่นตระหนกเมื่อนิ้วมือที่อ่อนแรงเริ่มจับที่ยึดไม่อยู่ ฉันจะตกกระแทกพื้นแรงแค่ไหนนะ เธอสงสัย
แต่ครูฝึกยังคงตะโกนให้ความมั่นใจจากด้านล่าง ในฐานะ “ผู้ควบคุมเชือกป้องกันตก” ซึ่งคอยดึงปลายเชือกที่ผูกไว้กับเข็มขัดโรยตัวของซาราห์ผ่านรอก น้ำหนักของเขาจะคอยรั้งเธอไว้ถ้าเธอตก “ผมหนักกว่าคุณเยอะ!” เขาตะโกน “แค่ปล่อยมือ”
เธอจึงปล่อยมือแล้วค่อยๆเหวี่ยงตัวออกจากผา และห้อยตัวอยู่กลางอากาศอย่างปลอดภัย
เหตุการณ์นี้ทำให้ซาราห์มีมุมมองใหม่ต่อภาพของพระเจ้าในสดุดี 18:2 “พระเจ้าทรงเป็นพระศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพระองค์ เป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ เป็นพระศิลา...เป็นที่กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์” ซาราห์ได้รู้ว่า “พระเจ้าทรงหนักกว่าปัญหาทั้งหมดของฉันมาก ฉันสามารถปล่อยมือจากความกังวลและความกลัว แล้วพระองค์จะทรงรับฉันไว้”
กษัตริย์ดาวิดร้องบทเพลงจากสดุดี 18 หลังจากที่พระเจ้าทรงช่วยกู้พระองค์จาก “น้ำอันมากหลาย” ซึ่งก็คือ “ศัตรูเข้มแข็ง” ที่กำลังมองหาช่องทางทำให้พระองค์เจอ “วันที่...เกิดภัยพิบัติ (ข้อ 16-18) แม้ปัญหาของพระองค์จะไม่หายไป แต่พระองค์รู้ว่าสามารถไว้วางใจองค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้น และพระเจ้าทรงยึดพระองค์ไว้อย่างมั่นคง
มั่นคงในพระประสงค์ของพระเจ้า
ภาพยนตร์สงครามเรื่อง สะพานข้ามแม่น้ำแคว ในปี ค.ศ. 1957 โด่งดังจนแฟนภาพยนตร์พากันไปจังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย เพื่อดูสะพานเหล็กของจริง พวกเขาพบสะพานแต่มันไม่ได้ตั้งอยู่บนแม่น้ำแคว ภาพยนตร์เรื่องนี้ใส่ชื่อแม่น้ำผิด! แต่ไม่นานลำน้ำช่วงนั้นของแม่น้ำแม่กลองก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นแควใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับความคาดหวังของผู้คน
พระเยซูไม่เคยปล่อยให้ความคาดหวังของผู้อื่นทำให้พระราชกิจของพระองค์สั่นคลอน ฝูงชนพากันมาเฝ้าพระองค์เพราะได้ยินว่าพระองค์ทรงสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ (ยน.6:2) เมื่อพวกเขาพบพระองค์และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ตามพระสัญญา พวกเขาต้องการให้พระองค์เป็นผู้นำกองทัพเพื่อช่วยพวกเขาจากการปกครองของโรมัน ยอห์นบอกว่า “เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าเขาทั้งหลายจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จไปที่ภูเขาอีกแต่ลำพัง” (ข้อ 15)
แม้จะถูกกดดันให้ช่วยเหลือผู้คนด้วยวิธีการที่พวกเขาต้องการ แต่พระคริสต์ยังทรงมุ่งมั่นทำตามแผนการของพระเจ้าเพื่อช่วยพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ (คส.1:13) ไม่ใช่จากปัญหาในโลกแต่จากอำนาจของ “บาปและความตาย” (รม.8:2)
พระประสงค์ที่ไม่สั่นคลอนของพระเยซูในการจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นแก่เราคือเหตุผลที่เราสามารถวางใจพระองค์ได้ทุกสถานการณ์ เมื่อวิธีการของพระเจ้าไม่ตรงกับความคาดหวังของเรา เราสามารถมั่นใจได้ว่าแผนการของพระองค์ดีกว่าเสมอ เพราะพระประสงค์ของพระองค์ที่จะช่วยเรานั้นจะไม่สั่นคลอน
และพระเจ้าทรงส่ง...ผีเสื้อกลางคืน?
“อ๊ากกกกก!” ลูกสาวของผมกรีดร้อง “พ่ออออออคะ! ขึ้นมานี่เร็ว!”ผมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันคือผีเสื้อกลางคืน ทุกฤดูใบไม้ผลิ ฝูงแมลงจำนวนมากราวกับฝุ่นจะอพยพจากที่ราบเนแบรสกาไปยังเทือกเขาโคโลราโด และอยู่ที่นั่นในฤดูร้อน เราต้องเตรียมรับมือกับการมาของพวกมันทุกปี และปีนี้ก็เลวร้ายเป็นพิเศษ
สำหรับมนุษย์แล้ว ผีเสื้อกลางคืนถือเป็นศัตรูพืชที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งมักจะบินมาชนหน้าคุณ แต่สำหรับนกมันคืองานเลี้ยง เมื่อลองค้นคว้าข้อมูลดู ผมก็พบว่าผีเสื้อกลางคืนให้สารอาหารชั้นเยี่ยมแก่นกนางแอ่นในภูมิภาคนี้ แม้จะน่ารำคาญเพียงไร แต่ผีเสื้อกลางคืนเหล่านี้ก็เปรียบเสมือน “มานา” สำหรับพวกนก
ผมไม่รู้ว่าที่อิสราเอลในสมัยของพระเยซูมีการอพยพของผีเสื้อกลางคืนหรือไม่ แต่พระคริสต์ตรัสถึงการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูนกที่นั่นในคำเทศนาบนภูเขา “จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ” (มธ.6:26)
ฉะนั้นในทุกวันนี้ผมจึงมองผีเสื้อกลางคืนต่างไปจากเดิม คือไม่ใช่ศัตรูพืชที่สกปรก แต่เป็นเครื่องเตือนใจที่มีปีกให้นึกถึงการเลี้ยงดูของพระเจ้าต่อสิ่งทรงสร้างของพระองค์ และเป็นเครื่องหมายที่มีชีวิตซึ่งแสดงถึงการเลี้ยงดูของพระองค์ที่มีต่อผมด้วย ถ้าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูนกนางแอ่นอย่างอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ พระองค์จะทรงดูแลคุณและผมมากยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด
เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์
ฟิลลิส วีทลี่ย์ เป็นกวีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันคนแรกที่ได้ตีพิมพ์ผลงาน เธอใช้หลักการของพระคัมภีร์เพื่อโน้มน้าวผู้เชื่อในพระเยซูให้เลิกทาส วีทล่ีย์เกิดปี ค.ศ. 1753 ในแอฟริกาตะวันตก เธอถูกขายให้พ่อค้าทาสเมื่ออายุเพียงเจ็ดขวบ เธอโดดเด่นอย่างรวดเร็วในฐานะนักเรียนดีเด่น ในที่สุดเธอได้รับอิสระจากการเป็นทาสในปี ค.ศ. 1773 บทกวีและจดหมายของวีทลี่ย์โน้มนำผู้อ่านให้ยอมรับถึงการยืนยันจากพระคัมภีร์เรื่องความเสมอภาคกันของทุกคน เธอเขียนว่า “พระเจ้าทรงปลูกฝังกฎข้อหนึ่งไว้ในอกมนุษย์ทุกคน เราเรียกสิ่งนั้นว่าความรักในอิสรภาพ คือการไม่ทนต่อการกดขี่ และปรารถนาการปลดปล่อย และ...กฎข้อเดียวกันนี้อยู่ในตัวเราด้วย”
ความเสมอภาคต่อพระพักตร์พระเจ้านี้เป็นความจริงที่เปาโลเน้นเมื่อเขียนว่า “จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยพระเยซูคริสต์” (กท.3:28) เพราะเรา “ทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า...โดยความเชื่อ” (ข้อ 26) ความแตกต่าง เช่น เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ เพศ หรือสถานะทางสังคม ไม่ควรนำไปสู่การเลือกปฏิบัติในคริสตจักร
แม้เราจะได้รับความรักของพระเจ้าอย่างเสมอภาคกัน เราก็ยังคงต้องต่อสู้ที่จะดำเนินชีวิตในความเสมอภาคนี้ แต่พระคัมภีร์สอนว่าผู้คนที่หลากหลายซึ่งรวมกันเป็นหนึ่งโดยความเชื่อในพระคริสต์นี้จะสะท้อนถึงพระทัยของพระเจ้าได้ดีที่สุด และเป็นแผนการของพระองค์สำหรับชีวิตนิรันดร์ ความเป็นจริงนี้จะช่วยให้เราเฉลิมฉลองในความแตกต่างที่หลากหลายในชุมชนแห่งความเชื่อของเราได้ในเวลานี้
ไม่มีคนธรรมดา
คำแถลงที่ติดอยู่บนผนังธนาคารเพื่อประกาศค่านิยมขององค์กรนั้น สามารถสรุปได้ด้วยคำเดียวว่า ความสุภาพ และเป็นเรื่องน่าชื่นใจที่ผมได้พบกับพนักงานธนาคารที่สุภาพซึ่งช่วยเหลือผมในการทำธุรกรรมที่นั่น!
ในโลกที่โหดร้ายและไร้ความเมตตานี้ การขับเคลื่อนด้วยความสุภาพถือเป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ เราพบแนวคิดนี้ในจดหมายของอัครทูตเปาโลที่เขียนไปถึงทิตัสเพื่อนของท่าน ท่านกำชับทิตัสให้เตือนผู้เชื่อว่า “อย่าว่าร้ายใคร อย่าทะเลาะวิวาท แต่ให้ผ่อนหนักผ่อนเบาและแสดงความสุภาพอ่อนโยนอย่างยิ่งต่อทุกคน” (ทต.3:2 THSV11) แนวคิดเรื่องความสุภาพนี้ยังถูกแปลออกมาว่า “รักสงบ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น” (TNCV) หรือ “แสดงอัธยาศัยไมตรีอันดีงาม” (1971)
วิธีที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นจะเผยให้เห็นว่าเรามองพวกเขาเป็นพระฉายของพระเจ้าหรือไม่ ซี.เอส.ลูอิส เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือน้ำหนักแห่งศักดิ์ศรีนิรันดร์ (The Weight of Glory) ว่า “ไม่มีคนธรรมดา” เขาบอก “คุณไม่เคยคุยกับคนธรรมดาเลย” ลูอิสตั้งตารอคอยชีวิตนิรันดร์ ที่ซึ่งเราจะชื่นชมยินดีกับการทรงสถิตของพระเจ้าหรือถูกเนรเทศจากพระองค์เป็นนิจ ดังนั้นเขาจึงเตือนเราว่า “ผู้คนที่เราพูดเล่นด้วย ทำงานหรือแต่งงานด้วย ดูหมิ่นหรือเอาเปรียบ ล้วนต้องพบกับชีวิตอมตะ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตอมตะที่น่ากลัวไปตลอดกาลหรือชีวิตอมตะที่รุ่งโรจน์ชั่วนิรันดร์”
ขอให้เรายอมต่อพระวิญญาณที่จะทรงช่วยให้เราปฏิบัติต่อผู้คนรอบข้างตามที่พวกเขาเป็นจริงๆ คือเป็นพระฉายของพระเจ้า
ยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า
เวนดี้รู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้าม ในระหว่างช่วงพักกลางวัน เจ้านายของเธอวางช็อกโกแลตไว้บนโต๊ะของทุกคนยกเว้นเธอ เธอโอดครวญกับเพื่อนด้วยความสงสัย “ทำไมเขาถึงมองข้ามฉันไป”
เมื่อไปถามเจ้านายเขาจึงอธิบายว่า “ช็อกโกแลตพวกนั้นยังกินได้อยู่ แต่ก็เก็บมาสักพักแล้ว เวนดี้กำลังท้อง ผมเลยต้องระวังเป็นพิเศษ” แล้วเขาก็หัวเราะ “แต่สำหรับพวกคุณที่เหลือ....”
เหตุการณ์เล็กๆนี้กลายเป็นเรื่องตลกในสำนักงาน แต่ก็ทำให้ฉันคิดว่าบางครั้งเราก็อ่านเจตนาของพระเจ้าผิดไปเนื่องจากความเข้าใจและการรับรู้ที่จำกัดของเรา กระทั่งเราอาจเชื่อว่าตัวเองเป็นเหยื่อของการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม โดยลืมไปว่าพระเจ้าทรงคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเราเสมอ ทุกเวลา
อิสยาห์ 55:8-9 เตือนเราว่า แม้เราอาจไม่เข้าใจความคิดและวิถีของพระเจ้าทั้งหมด แต่เราก็มั่นใจได้ว่าสิ่งเหล่านั้น “สูงกว่าทางของ [เรา]” (ข้อ 9) ทางของเรามักได้รับอิทธิพลจากความปรารถนาที่เห็นแก่ตัว แต่วิถีของพระองค์สมบูรณ์แบบ เปี่ยมด้วยพระเมตตาและชอบธรรม ดังนั้นแม้ว่าในตอนนี้สิ่งต่างๆอาจดูไม่ดีนัก แต่เราสามารถวางใจว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราจริงๆ (ข้อ 1-2) เพราะพระองค์ทรงรักและสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญานิรันดร์ของพระองค์ (ข้อ 3) ให้เรา “ทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้” (ข้อ 6) โดยรู้ว่าพระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา
เปลี่ยนโดยพระวิญญาณ
เมื่อนีล ดักลาสขึ้นเครื่องบินไปไอร์แลนด์ เขาพบว่าที่นั่งของเขามีผู้โดยสารคนอื่นนั่งอยู่ เขาจึงเริ่มบทสนทนาเพื่อหาทางแก้ปัญหานี้ เมื่อผู้โดยสารคนนั้นเงยหน้าขึ้นตอบ นีลก็ได้พบกับคนที่หน้าตาเหมือนเขามาก! ขณะที่ทั้งคู่ถ่ายภาพร่วมกัน ผู้โดยสารที่มองดูอยู่ต่างหัวเราะให้กับความคล้ายคลึงของชายทั้งสอง หลังจากนั้นพวกเขาก็พบกันอีกครั้งเมื่อเข้าพักที่โรงแรมเดียวกัน และพบกันครั้งที่สามในผับท้องถิ่น เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็พบว่าภาพที่ถ่ายคู่กันนั้นกระจายไปทั่วสื่อออนไลน์ เพราะหน้าตาที่คล้ายกันอย่างมากของพวกเขา
การมีรูปร่างหน้าตาเหมือนใครอีกคนเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับพวกเราที่ไม่มีฝาแฝด แต่พระคัมภีร์บอกว่าเราจะเริ่มเป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นเมื่อเราติดตามพระองค์ ในพันธสัญญาเดิม ผิวหน้าของโมเสสเปลี่ยนไปอย่างมากเนื่องจากท่านได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหน้าต่อหน้า จนกระทั่ง “ด้วยรัศมี...ทำให้พวกอิสราเอลแลดูหน้าของโมเสสไม่ได้” (2 คร.3:7; ดู อพย.34:33-35)
ในวันนี้ เราเห็นพระสิริของพระเยซูปรากฏอยู่ในผู้ที่ “เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า” โดยผ่านการทำงานของพระวิญญาณ (2 คร.3:18;ดูข้อ 8) ความรู้ในเรื่องของพระเจ้าและความรักที่เรามีต่อพระองค์ซึ่งเพิ่มพูนขึ้นนั้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฝ่ายวิญญาณและทางศีลธรรมที่มองเห็นได้ทั้งภายในและภายนอก เมื่อพระเจ้าทรง “เปลี่ยนแปลง” จิตใจและความคิดของเรานั้น เพื่อนร่วมทางที่อยู่ในเส้นทางชีวิตของเราจะเห็นสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน
สถานการณ์ที่ไม่มีหวัง
สถานการณ์ดูไม่มีความหวังสำหรับเจ็มลูกสาววัยทารกของเอมี่และอลัน เธอเกิดมาพร้อมกับอาการผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 18 และคาดว่าจะเสียชีวิตภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ “ไม่มีประโยชน์ที่จะรักษาเธอ” หมอพูดอย่างเย็นชา แต่ผู้เป็นแม่กล่าวว่า “ฉันมีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านี้สำหรับเธอ” พวกเขาพาเจ็มกลับบ้านและให้ความรักกับเธอ แล้วพวกเขาก็อธิษฐาน
หกปีต่อมา เจ็มต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อเอาเนื้องอกขนาดใหญ่ที่พบออก จากนั้นหมอคนเดิมก็เดินเข้ามา “ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร” เขาพูด “แต่ผมขอโอกาสอีกครั้ง” เขายอมรับว่าเขาคิดผิดในเรื่องเจ็ม “ผมขอโอกาสในการไถ่โทษ” เขากล่าว เอมี่กับอลันจะปฏิเสธก็ได้ แต่พวกเขาเข้าใจถึงฤทธิ์อำนาจแห่งการยกโทษบาปของพระเจ้า
ผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมมักนำข่าวสารเรื่องการพิพากษาของพระเจ้ามา แต่เรื่องราวที่ถักทอผ่านข่าวสารนั้นมีใจความสำคัญถึงเรื่องความรัก การยกโทษบาป และการทรงไถ่ของพระเจ้าที่ไม่อาจยับยั้งไว้ได้ อิสยาห์ชี้ให้เห็นความบาปของยูดาห์ (44:6-20) แต่จู่ๆก็เปลี่ยนจุดสนใจไป โดยท่านกล่าวถ้อยคำของพระเจ้าที่ตรัสว่า “จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว” (ข้อ 22) พระลักษณะของพระเจ้าคือพระองค์ไม่อาจทอดทิ้งประชากรของพระองค์ได้ “เราได้ปั้นเจ้า” พระองค์ตรัส “เราจะไม่ลืมเจ้า” (ข้อ 21) และบทสรุปก็คือ “โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลง เพราะพระเจ้าทรงกระทำการนี้ ...พระเจ้าทรงไถ่ยาโคบ” (ข้อ 23)
“อัศจรรย์จริงๆ!” หมอร้องออกมาเพราะ การผ่าตัดของเจ็มไม่พบเนื้องอก นี่เป็นฤทธิ์เดชแห่งคำอธิษฐาน และโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผู้ทรงไถ่เรา