พระเจ้าไม่มีวันมองข้ามคุณ
“บางครั้งฉันก็รู้สึก...ไร้ตัวตน” คำๆนี้ซึมซาบไปในบรรยากาศขณะที่โจนี่พูดกับเพื่อนของเธอ สามีของเธอทิ้งเธอไปอยู่กับผู้หญิงอีกคน ปล่อยโจนี่กับลูกเล็กๆไว้ที่บ้าน “ฉันมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขาตลอดเวลาหลายปี” เธอระบายความในใจ “และตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะมีใครที่มองเห็นฉันจริงๆ หรือจะใช้เวลาเพื่อจะรู้จักฉันอย่างแท้จริง”
“ฉันเสียใจด้วยนะ” เพื่อนของเธอตอบ “พ่อของฉันทิ้งไปตอนฉันอายุหกขวบ และเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเราโดยเฉพาะแม่ แต่แม่พูดประโยคนี้ตอนพาฉันเข้านอนในตอนกลางคืนซึ่งฉันไม่เคยลืมเลยว่า ‘พระเจ้าไม่เคยหลับตาของพระองค์’ เมื่อฉันโตขึ้นแม่อธิบายว่า แม่ต้องการจะสอนฉันว่าพระเจ้าทรงรักฉันและทรงเฝ้าดูฉันตลอดเวลา แม้ในยามที่ฉันหลับ”
พระคัมภีร์แสดงให้เห็นถ้อยคำที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสเพื่อกล่าวแก่ประ-ชากรของพระองค์ ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากขณะที่พวกเขาเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารซีนาย “ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน และพิทักษ์รักษาท่าน ขอพระเจ้าทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ท่าน และทรงพระกรุณาท่าน ขอพระเจ้าทรงเงยพระพักตร์ของพระองค์เหนือท่าน และประทานสวัสดิภาพแก่ท่าน” (กดว.6:24-26) โดยที่ปุโรหิตจะเป็นผู้กล่าวพรนี้แก่ประชาชน
แม้ในถิ่นทุรกันดารแห่งชีวิตที่เราสงสัยว่าจะมีใครมองเห็นเราหรือเข้าใจเราจริง แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ ความโปรดปรานของพระเจ้า คือพระพักตร์ที่ทอแสงและความรักมั่นคงของพระองค์จะหันไปทางผู้ที่รักพระองค์เสมอ แม้ในยามที่ความเจ็บปวดทำให้เราไม่รู้สึกถึงพระองค์ ก็ไม่มีใครไร้ตัวตนสำหรับพระเจ้า
แผนของเราและแผนการของพระเจ้า
เมื่อหลายปีก่อน สามีของฉันตัดสินใจเดินทางไปทวีปแอฟริกากับสมาชิกจากโบสถ์ของเขา พวกเขาถูกระงับไม่ให้ออกเดินทางในวินาทีสุดท้าย ทุกคนผิดหวัง แต่เงินที่พวกเขาเก็บรวบรวมเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และอาหารได้ถูกบริจาคให้กับคนที่พวกเขาจะไปเยี่ยม คนกลุ่มนั้นใช้เงินก้อนดังกล่าวในการสร้างอาคารเพื่อเป็นที่พักพิงแก่เหยื่อของการทารุณกรรม
เมื่อเร็วๆนี้ ในการประชุมอธิษฐานระหว่างอาหารมื้อเช้า สามีของฉันได้พบกับคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่เขาเกือบจะได้เดินทางไปเมื่อหลายปีก่อน ชายคนนี้เป็นครู เขาบอกว่าเขาเดินผ่านอาคารหลังนั้นทุกวัน เขายืนยันว่าพระเจ้าทรงใช้อาคารนี้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดในพื้นที่นั้น
แผนการและความปรารถนาของเราอาจไม่ตรงกับน้ำพระทัยของพระเจ้าเสมอไป เพราะ “ความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา” (อสย.55:8) วิถีของพระเจ้าไม่เพียงแค่แตกต่างจากของเราเท่านั้น แต่วิถีของพระองค์ “สูงกว่า” และดีกว่า เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น (ข้อ 9) ความจริงนี้ทำให้เรามีความหวังเมื่อความพยายามที่เราจะรับใช้พระองค์นั้นไม่เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้
อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่เราจะมองย้อนกลับไปและเห็นถึงการทรงทำงานของพระเจ้าผ่านสถานการณ์บางอย่างที่เฉพาะเจาะจง แต่สำหรับตอนนี้ ขณะที่เรายังคงประกาศข่าวประเสริฐในพระนามของพระองค์ ให้เราไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์ในการกระทำพระราชกิจของพระองค์เสมอ (ข้อ 11)
พระเจ้าทรงติดตามหาเรา
เป็นเวลาหลายปีที่อีวานต่อสู้กับการเสพติดซึ่งขัดขวางไม่ให้เขาเข้าใกล้พระเจ้า เขาสงสัยว่า ผมจะคู่ควรกับความรักของพระองค์ได้อย่างไร ดังนั้นขณะที่เขายังคงไปโบสถ์ เขารู้สึกว่ามีช่องว่างที่ต่อไม่ติดซึ่งทำให้เขาแยกจากพระเจ้า
แต่เมื่อใดก็ตามที่อีวานอธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อบางสิ่งบางอย่าง ดูเหมือนว่าพระเจ้าก็ตอบเขา พระเจ้ายังได้ส่งผู้คนมาหนุนใจและปลอบโยนเขาในยามยากลำบาก หลายปีผ่านไปอีวานตระหนักว่าพระเจ้าได้ทรงติดตามเขาและสำ-แดงต่อเขาอย่างต่อเนื่องว่าพระองค์ทรงรักและห่วงใยเขาเสมอมา เวลานั้นเองที่เขาเริ่มไว้วางใจในการทรงอภัยและในความรักของพระเจ้า “ตอนนี้ ผมรู้แล้วว่าผมได้รับการอภัยแล้วและยอมให้พระเจ้านำผมเข้ามาใกล้พระองค์ ถึงแม้ว่าผมยังคงต่อสู้กับการเสพติดอยู่ก็ตาม” เขากล่าว
เอเสเคียล 34:11-16 บอกเราเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ที่ทรงติดตามหาประชากรของพระองค์ “เราเองจะค้นหาแกะของเรา และจะเที่ยวหามัน” พระองค์ตรัสไว้โดยทรงปฏิญาณว่าจะช่วยกู้พวกเขาและเลี้ยงดูพวกเขาอย่างอุดมสมบูรณ์ (ข้อ 11) นี่เป็นเวลาหลังจากที่ผู้นำซึ่งเป็นมนุษย์ได้ละทิ้งพวกเขา และพวกเขาเองก็ไม่ได้เชื่อฟังผู้เลี้ยงแกะที่แท้จริงของพวกตน (ข้อ 1-6) ไม่ว่าเราจะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์โดยที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ หรือกำลังดิ้นรนต่อสู้กับผลจากความบาปของเราเอง พระเจ้าทรงติดตามหาเราด้วยความรัก พระองค์ทรงนำเรากลับมาหาพระองค์ด้วยพระเมตตาและพระคุณ หากคุณหลงลืมพระเจ้า จงหันกลับมาหาพระองค์ จากนั้นโดยการทรงนำของพระองค์ จงเดินไปกับพระองค์ทุกวัน
เหวี่ยงเบ็ดหาเพื่อน
แพตตี้ใช้เวลาช่วงบ่ายที่ฝั่งแม่น้ำใกล้บ้าน เธอเหวี่ยงเบ็ดตกปลาที่เกี่ยวเหยื่อไว้ลงไปในน้ำ เธอเพิ่งย้ายมาอยู่บริเวณนี้ไม่นาน เธอจึงไม่ได้หวังที่จะจับปลาแต่กำลังมองหาเพื่อนใหม่ สายเบ็ดของเธอไม่ได้เกี่ยวตัวหนอนหรือเหยื่อล่อทั่วไป แต่เธอใช้คันเบ็ดแข็งแรงพิเศษสำหรับตกปลาขนาดใหญ่เพื่อส่งห่อคุกกี้ให้กับผู้คนที่ล่องแพไปตามแม่น้ำในช่วงฤดูร้อน เธอใช้วิธีที่สร้างสรรค์นี้เพื่อพบปะเพื่อนบ้านใหม่ๆ ซึ่งทุกคนก็ดูเหมือนจะชอบขนมหวานนี้!
แพตตี้ใช้วิธี “เหวี่ยงเบ็ดหาเพื่อน” จริงๆแม้พระเยซูจะไม่ได้หมายความตามตัวอักษรเช่นนี้ในตอนที่ทรงเรียกเปโตรและอันดรูว์ให้ติดตามพระองค์ตลอดชีวิต สองคนพี่น้องเป็นชาวประมงที่ขยันขันแข็งกำลังทอดแหในทะเลกาลิลี พระเยซูทรงขัดจังหวะการทำงานของพวกเขาด้วยการทรงเรียกให้ติดตามพระองค์ พระองค์ตรัสว่าจะทรงตั้งพวกเขาให้เป็น “ผู้หาคน” แทนการหาปลา (มธ.4:19) หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ทรงเรียกชาวประมงอีกสองคนคือยากอบและยอห์นด้วย พวกเขาทั้งหมดทิ้งอวนและเรือทันทีเพื่อเดินทางไปกับพระเยซู
ในทำนองเดียวกันกับชาวประมงที่กลายมาเป็นสาวกกลุ่มแรก พระเยซูคริสต์ก็ทรงเรียกให้เราติดตามพระองค์และใส่ใจในสิ่งอันเป็นนิรันดร์ คือ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย เราสามารถบอกกับคนรอบข้างเราถึงสิ่งที่ให้ความอิ่มใจได้อย่างแท้จริง นั่นคือความหวังอันยั่งยืนของชีวิตที่มีในพระเยซู (ยน.4:13-14)
พระเยซูทรงเป็นสันติสุขของเรา
โจนส่งเสียงร้องเมื่อเห็นโซเชียลมีเดียที่ซูซานโพสต์ภาพเพื่อนที่โบสถ์สิบคนยิ้มแย้มอยู่รอบโต๊ะในร้านอาหาร นี่เป็นครั้งที่สองในเดือนนี้ที่พวกเขานัดพบกันโดยไม่มีเธอ โจนกะพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำตา แม้เธอจะเข้ากับคนอื่นได้ไม่ดีนัก แต่ก็น่าประหลาดที่เธอไปร่วมในคริสตจักรที่ไม่นับว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งด้วย!
ในศตวรรษแรกก็แปลกประหลาดเช่นกัน! แต่พระเยซูทรงปรารถนาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและได้เสด็จมาเยียวยาความแตกแยกของเรา จากจุดเริ่มต้นของคริสตจักร ผู้คนที่เข้ากันไม่ได้จะต้องค้นหาจุดร่วมกันในพระองค์ คนยิวดูถูกคนต่างชาติที่ไม่รักษาธรรมบัญญัติ และคนต่างชาติรังเกียจคนยิวที่คิดว่าตนดีกว่าคนอื่น จากนั้นพระเยซูทรง “กระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” โดย “ทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง คือการเป็นปฏิปักษ์กัน โดยในเนื้อหนังของพระองค์ ได้ทรงให้ธรรมบัญญัติ...ต่างๆนั้นเป็นโมฆะ” (อฟ.2:14-15) การรักษาธรรมบัญญัติไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญคือพระเยซู แล้วคนยิวและคนต่างชาติจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในพระองค์หรือไม่
นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของพวกเขา พระเยซูทรง “ประกาศสันติสุขแก่” คนต่างชาติ “ที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้ [คนยิว]” (ข้อ 17) ข้อความเดียวกันแต่การประยุกต์ใช้ต่างกัน คนยิวที่คิดว่าตนเองชอบธรรมจำเป็นต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่ได้ดีกว่าคนอื่น ในขณะที่คนต่างชาติที่ถูกดูแคลนจำเป็นต้องเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้ด้อยกว่า ทั้งสองฝ่ายต้องเลิกกังวลเรื่องของอีกฝ่ายและมุ่งความสนใจไปที่พระคริสต์ ผู้ทรงสร้าง “ให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เช่นนั้นแหละ จึงทรงกระทำให้เกิดสันติสุข” (ข้อ 15)
คุณรู้สึกถูกดูแคลนไหม นั่นเป็นเรื่องเจ็บปวดและไม่ถูกต้อง แต่คุณจะเป็นผู้สร้างสันติได้เมื่อคุณพักพิงในพระเยซู พระองค์ยังคงเป็นสันติสุขของเรา
การดูแลในพระคริสต์
ดเวย์นเพื่อนของผมมีคุณแม่ชื่อชาร์ลีน เธออายุเก้าสิบสี่ปี สูงไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบสองเซนติเมตรและหนักไม่ถึงสี่สิบห้ากิโลกรัม แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการดูแลลูกชายของเธอผู้ซึ่งมีสภาพร่างกายที่ไม่เอื้อต่อการดูแลตนเอง ผู้ที่ไปเยี่ยมบ้านสองชั้นของพวกเขามักจะพบว่าชาร์ลีนอาศัยอยู่บนชั้นสอง และจะค่อยๆลงบันไดสิบหกขั้นมายังชั้นหนึ่งเพื่อต้อนรับแขก เช่นเดียวกับที่เธอทำในการดูแลลูกชายที่เธอรัก
ความมุ่งมั่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวของชาร์ลีนทำให้ผมประทับใจ ผมได้รับการท้าทายและแรงบันดาลใจจากการที่เธอให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของลูกชายมากกว่าของตัวเธอเอง เธอเป็นแบบอย่างในสิ่งที่เปาโลหนุนใจไว้ในฟีลิปปี 2 ว่า “จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย” (ข้อ 3-4)
การดูแลผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือความต้องการอื่นๆอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง ความจำเป็นต่างๆในชีวิตอาจทำให้เรารู้สึกเครียดและกดดัน และแม้แต่คนที่อยู่ใกล้เราที่สุดก็อาจต้องรับผลกระทบหากเราไม่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะมองข้ามความต้องการของตัวเราเอง แต่การเอาใจใส่ดูแลอย่างถ่อมใจคือสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเยซูถูกเรียกให้ทำ (ดูข้อ 1-4) เมื่อเราอุทิศตนเอง เราก็ได้ทำตามแบบอย่างของพระเยซูและได้ช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วย อัครทูตท่านนี้เตือนเราว่า “ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 5)
สำคัญในสายพระเนตรพระเจ้า
ในระหว่างการคัดตัวในลีกอเมริกันฟุตบอลแห่งชาติประจำปี บรรดาทีมอเมริ-กันฟุตบอลอาชีพจะทำการคัดเลือกผู้เล่นคนใหม่ พวกโค้ชใช้เวลาหลายพันชั่วโมงในการประเมินทักษะและสมรรถภาพร่างกายของผู้เล่นในอนาคต ในปี 2022 บร็อค เพอร์ดี้เป็นคนท้ายสุดคือลำดับที่ 262 ที่ได้รับเลือกและได้ติดป้ายว่า “คนไม่สำคัญ” ซึ่งเป็นฉายาที่มอบให้กับนักฟุตบอลคนสุดท้ายที่ได้รับคัดเลือก ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะได้ลงแข่งในฤดูกาลที่จะมาถึง อย่างไรก็ตามเพียงไม่กี่เดือนต่อมา เพอร์ดี้ได้พาทีมคว้าชัยชนะในรอบเพลย์ออฟถึงสองครั้ง ความจริงก็คือผู้บริหารทีมไม่ได้เก่งในการประเมินศักยภาพของนักกีฬาเสมอไป และเราก็เช่นกัน
ในเรื่องราวพันธสัญญาเดิมที่เราคุ้นเคยนั้น พระเจ้าทรงส่งผู้เผยพระวจนะซามูเอลไปเลือกกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอลจากบรรดาบุตรชายของเจสซี เมื่อซามูเอลมองดูคนเหล่านั้น ท่านรู้สึกประทับใจกับรูปร่างหน้าตาของพวกเขา แต่พระเจ้าตรัสกับท่านว่า “อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา” (1 ซมอ.16:7) พระเจ้าทรงนำท่านให้เลือกผู้ที่ไม่ได้มีอายุมากที่สุดหรือสูงที่สุด แต่เป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดและดูมีความสำคัญน้อยที่สุด นั่นคือ ดาวิด ผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ของโลกนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิสราเอล
เหตุใดเราจึงมักจะประเมินผู้คนผิดพลาด ข้อพระคัมภีร์ในวันนี้เตือนเราว่า “มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ” (ข้อ 7) เมื่อเราถูกขอให้เลือกคนมาร่วมทีมหรือรับใช้ในฐานะคณะกรรมการอาสาสมัคร เราสามารถทูลขอให้พระเจ้าประทานสติปัญญา เพื่อที่เราจะตัดสินใจเลือกโดยยึดตามคุณสมบัติที่พระองค์ทรงเห็นว่าสำคัญ
ชีวิตที่ถูกพัฒนาในพระคริสต์
เมื่อตอนที่เราสร้างบ้าน บ้านของเราตั้งอยู่บนที่ดินว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยโคลนและอยู่สุดถนนลูกรัง เราต้องการหญ้า ต้นไม้ และพุ่มไม้เพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมของเชิงเขาโอเรกอน ขณะที่ผมเอาเครื่องมือทำสวนออกมาเพื่อใช้งาน ผมคิดถึงสวนแห่งแรกที่รอคอยการมาถึงของมนุษย์ “ต้นไม้ตามทุ่งนายังไม่เกิดขึ้นบนแผ่นดิน และพืชตามทุ่งนาก็ยังไม่งอกขึ้น...ทั้งยังไม่มีมนุษย์ที่จะทำไร่ไถนา” (ปฐก.2:5)
ในเรื่องราวการทรงสร้างในปฐมกาล 1 พระเจ้าตรัสหลายครั้งเมื่อทรงเห็นว่าสิ่งที่ทรงสร้างนั้น “ดี” หรือ “ดีนัก” (ข้อ 4, 10, 12, 18, 21, 25, 31) อย่างไรก็ตาม มันยังไม่สมบูรณ์ อาดัมและเอวาจำเป็นต้องทำการเพาะปลูกบนผืนดินนั้น เพื่อทำหน้าที่ผู้ดูแลสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง (ข้อ 28) พวกเขาไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่ในสรวงสวรรค์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นที่ซึ่งต้องการการดูแลและพัฒนา
นับตั้งแต่เริ่มแรก พระเจ้าทรงเชิญชวนมนุษย์ให้ร่วมมือกับพระองค์ในการทรงสร้าง พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นทั้งในสวนเอเดน และในการทรงสร้างเราให้เป็น “คนที่ถูกสร้างใหม่” เมื่อเราเชื่อวางใจในพระคริสต์ (2 คร.5:17) เมื่อได้รับความรอดนั้นเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ ดังที่อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้” (รม.12:2) พระเจ้าทรงทำกิจในชีวิตเราเมื่อเราดำเนินชีวิตตามชอบพระทัยของพระองค์ “ตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์” (8:29)
ไม่ว่าจะเป็นการดูแลโลกนี้หรือการดูแลชีวิตใหม่ของเราในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ประทานของประทานให้แก่เราแล้วที่เราจะต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
จดจ่อที่พระเยซู
สายตาของจูนจ้องมองไปที่รถสีเทาข้างๆเธอ เธอต้องเปลี่ยนเลนเพื่อออกจากทางหลวง แต่ทุกครั้งที่เธอพยายามจะแซง คนขับรถอีกคันนั้นก็ดูเหมือนจะเร่งความเร็วขึ้นด้วย ในที่สุดเธอก็สามารถปาดขึ้นหน้าได้ ด้วยความภูมิใจในชัยชนะ จูนส่องกระจกมองหลังแล้วยิ้มเยาะ ในเวลานั้นเองเธอสังเกตเห็นทางออกที่เป็นเป้าหมายของเธอเลยผ่านไป
เธอยิ้มแหยๆ และเล่าว่า “ฉันมัวแต่จดจ่อที่จะแซงจนขับเลยทางออก”
ความเผลอไผลเช่นนี้ก็เกิดขึ้นได้ในยามที่เราปรารถนาจะเดินในทางของพระเจ้า เมื่อพวกผู้นำศาสนาข่มเหงพระเยซูที่ไม่รักษาธรรมบัญญัติของพวกยิว (ยน.5:16) พระองค์ทรงเตือนว่าพวกเขาจดจ่อกับการศึกษาและบังคับใช้ธรรมบัญญัติมากจนลืมคิดถึงบุคคลที่ธรรมบัญญัติบ่งชี้ถึง “พระคัมภีร์นั้นเป็นพยานให้แก่เรา แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต” (ข้อ 39-40)
ในความพยายามจะเป็นผู้ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า พวกผู้นำศาสนาให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพวกยิวและตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนก็ทำด้วย ในทำนองเดียวกัน เราอาจปฏิบัติสิ่งดีด้วยความกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้า เช่น เข้าร่วมนมัสการที่คริสตจักร ศึกษาพระคัมภีร์ ทำการกุศล และแม้แต่ชวนผู้อื่นมาร่วมกับเรา แต่เราอาจมุ่งความสนใจไปที่สิ่งเหล่านั้นจนลืมผู้ที่ทรงเป็นเหตุผลของการกระทำทั้งสิ้นของเรา นั่นคือ พระเยซู
ในการกระทำทุกอย่างของเรา ให้เราทูลขอพระเจ้าช่วยเราจดจ่อที่พระคริสต์ (ฮบ.12:2) พระองค์เท่านั้นทรงเป็น “ทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต” (ยน. 14:6)