ในหนังสืออันน่าจดจำชื่อว่า มหาภัยไวรัสล้างโลก จอห์น เอ็ม. แบร์รี่ผู้เขียนเล่าเรื่องการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในค.ศ. 1918 แบร์รี่เปิดเผยว่าแทนที่จะตั้งตัวไม่ทัน แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้คาดการณ์และเตรียมป้องกันล่วงหน้ากับการระบาดครั้งใหญ่ได้อย่างไร พวกเขากลัวว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีกองทหารหลายแสนนายอัดแน่นอยู่ในสนามเพลาะและกำลังเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนจะแพร่กระจายเชื้อไวรัสชนิดใหม่นี้ออกไป แต่ความรู้นี้ก็ไม่ได้ช่วยหยุดหายนะครั้งนั้นได้ ผู้นำที่มีอำนาจต่างลั่นกลองรบมุ่งเข้าหาความรุนแรง นักระบาดวิทยาได้ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตในการระบาดนั้นห้าสิบล้านคน เพิ่มเข้าไปกับอีกประมาณยี่สิบล้านคนที่ถูกสังหารอย่างโหดร้ายในสงคราม

เราได้เห็นกันแล้วหลายต่อหลายครั้งว่าความรู้ของมนุษย์นั้นไม่มีทางเพียงพอที่จะช่วยเราให้รอดพ้นจากความชั่วร้าย (สภษ.4:14-16) แม้เราจะสะสมความรู้ไว้มากมายและนำเสนอความคิดเห็นที่ยอดเยี่ยม เรายังคงไม่สามารถหยุดความเจ็บปวดที่เราทำร้ายกันและกัน เราไม่สามารถหยุด “ทางของคนชั่วร้าย” วิถีทางอันโง่เขลาที่เกิดขึ้นซ้ำซากนี้นำไปสู่ “ความมืดทึบ” แม้เราจะมีความรู้ที่ดีที่สุด แต่เราก็ยังไม่รู้ว่า “[เรา]สะดุดอะไร” (ข้อ 19)

นี่เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเราจึงต้อง “เอาปัญญา และเอาความรอบรู้” (ข้อ 5) ปัญญาสอนเราว่าต้องทำอย่างไรกับความรู้ และปัญญาที่แท้จริงซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมีนี้มาจากพระเจ้า ความรู้ของเราไม่เคยเพียงพอ แต่พระปัญญาของพระเจ้าให้สิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเสมอ