อาศัยอย่างปลอดภัยกับพระเจ้า
ฉันเขียนจดหมายถึงลูกๆแต่ละคนเมื่อพวกเขาเริ่มเป็นวัยรุ่น ในจดหมายฉบับหนึ่งฉันพูดเรื่องอัตลักษณ์ของเราในพระคริสต์ จำได้ว่าตอนฉันเป็นวัยรุ่น ฉันรู้สึกไม่แน่ใจกับตัวเองและขาดความมั่นใจ ฉันต้องเรียนรู้ว่าฉันเป็นที่รักของพระเจ้า เป็นบุตรของพระองค์ ฉันบอกในจดหมายว่า “การจะรู้ว่าลูกคือใครนั้นเริ่มจากการได้รู้ว่าลูกเป็นของใคร” เพราะเมื่อเราเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสร้างเรา และเราตัดสินใจติดตามพระองค์ เราก็มั่นใจในตัวตนที่พระองค์ทรงสร้างให้เราเป็น และเราก็รู้ด้วยเช่นกันว่าพระองค์ทรงเปลี่ยนเราให้เป็นเหมือนพระองค์ในแต่ละวัน
เนื้อหาที่เป็นรากฐานจากพระคัมภีร์ในเรื่องอัตลักษณ์ตัวตนของเราในฐานะบุตรของพระเจ้านั้นอยู่ในเฉลยธรรมบัญญัติ 33:12 “คนที่พระเจ้าทรงรักจะอาศัยอยู่กับพระองค์อย่างปลอดภัย พระองค์ทรงปกเขาไว้วันยังค่ำ และทรงประทับอยู่ระหว่างบ่าของเขา” ก่อนที่โมเสสจะเสียชีวิต ท่านประกาศการอวยพรนี้เหนือเผ่าเบนยามินเมื่อคนของพระเจ้าเตรียมตัวเข้าสู่ดินแดนแห่งพระสัญญา พระเจ้าต้องการให้พวกเขาจดจำไว้เสมอว่าพวกเขาเป็นที่รักและให้มั่นใจในอัตลักษณ์ตัวตนของพวกเขาในฐานะบุตรของพระองค์
การรู้จักอัตลักษณ์ของเราในฐานะบุตรของพระเจ้าสำคัญต่อทุกคน ทั้งวัยรุ่น วัยกลางคน และคนที่ใช้ชีวิตมายาวนาน เมื่อเราเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสร้างเราและทรงเฝ้าดูเราอยู่ เราก็จะได้พบความปลอดภัย ความหวัง และความรัก
ความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
แม้ผมและเพื่อนร่วมชั้นจะเคยโดดเรียนในมหาวิทยาลัยบ้างตามโอกาส แต่ทุกคนจะต้องเข้าเรียนวิชาของศาสตราจารย์คริสในสัปดาห์ก่อนสอบปลายภาค เพราะเป็นช่วงที่อาจารย์จะบอกแนวข้อสอบที่จะออกในการสอบนั้น
ผมสงสัยมาตลอดว่าทำไมเขาทำอย่างนั้น จนผมได้เข้าใจว่าอาจารย์อยากให้เราทำได้คะแนนดี เขามีมาตรฐานสูง แต่ก็จะช่วยให้เราไปถึงด้วย ทั้งหมดที่เราต้องทำก็แค่เข้าชั้นเรียนและตั้งใจฟังเพื่อเราจะเตรียมตัวได้อย่างถูกต้อง
เรื่องนี้ทำให้ผมเข้าใจว่าพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้น พระองค์ไม่สามารถลดมาตรฐานของพระองค์ลงได้ แต่ทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้เราเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เราเพื่อช่วยให้เราไปถึงมาตรฐานนั้น
ในเยเรมีย์ 3:11-14 พระเจ้าทรงเรียกอิสราเอลที่ไม่สัตย์ซื่อให้รู้ถึงความผิดของพวกเขาและหันกลับมาหาพระองค์ แต่เพราะรู้ว่าพวกเขาดื้อดึงและอ่อนแอเพียงใดพระองค์จึงทรงช่วยพวกเขา พระองค์สัญญาว่าจะรักษาความกลับสัตย์ของพวกเขา (ข้อ 22) และทรงส่งผู้เลี้ยงแกะไปสอนและนำพวกเขา (ข้อ 15)
น่าอบอุ่นใจจริงๆที่ได้รู้ว่า ไม่ว่าเราจะติดอยู่ในกับดักของบาปที่ใหญ่แค่ไหนหรือหันเหไปจากพระเจ้าไกลสักเท่าใด พระองค์ยังทรงพร้อมจะรักษาความกลับสัตย์ของเรา! เราเพียงแต่ต้องยอมรับความผิดพลาดและยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเปลี่ยนแปลงจิตใจของเรา
บุรุษแห่งการอธิษฐาน
ครอบครัวของฉันจดจำคุณตาเดิร์กกิ้งว่าเป็นบุรุษแห่งความเชื่อที่เข้มแข็งและการอธิษฐาน แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอ ป้าของฉันนึกถึงครั้งแรกที่พ่อของเธอประกาศกับครอบครัวว่า “เราจะเริ่มขอบคุณพระเจ้าก่อนรับประทานอาหาร” การอธิษฐานครั้งแรกของเขาท่านไม่คล่องแคล่วนัก แต่คุณตายังคงฝึกอธิษฐานมาตลอดห้าสิบปีต่อมาโดยอธิษฐานบ่อยๆในแต่ละวัน เมื่อท่านเสียชีวิต สามีของฉันให้ต้นไม้ที่ชื่อ “มือแห่งการอธิษฐาน” กับคุณยายและบอกว่า “คุณตาเป็นบุรุษแห่งการอธิษฐาน” การตัดสินใจของท่านในการติดตามและพูดกับพระเจ้าทุกวันเปลี่ยนท่านเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์
พระคัมภีร์มีเรื่องการอธิษฐานมากมาย ในมัทธิว 6:9-13 พระเยซูทรงสอนรูปแบบการอธิษฐานให้กับผู้ติดตามพระองค์ สอนให้พวกเขาเข้าหาพระเจ้าด้วยการสรรเสริญพระองค์อย่างจริงใจ เมื่อเราร้องทูลต่อพระเจ้า เราก็ได้วางใจให้พระองค์จัดเตรียม “อาหารประจำวัน”(ข้อ 11) เมื่อเราสารภาพบาปของเรา เราก็ได้ทูลขอการอภัยและขอให้ช่วยเราพ้นจากการทดลอง (ข้อ 12-13)
แต่เราไม่ได้ถูกจำกัดให้อธิษฐานได้แค่ “คำอธิษฐานของพระเยซู” พระเจ้าทรงต้องการให้เราอธิษฐานด้วย “การอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง” ใน “ทุกเวลา” (อฟ.6:18) การอธิษฐานสำคัญต่อการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ และเป็นโอกาสให้เราได้สนทนาอย่างสม่ำเสมอกับพระองค์ทุกวัน (1 ธส.5:17-18)
เมื่อเราเข้าหาพระเจ้าด้วยใจถ่อมที่ปรารถนาจะพูดคุยกับพระองค์ ก็ขอให้พระองค์ทรงช่วยเราให้รู้จักและรักพระองค์ยิ่งขึ้น
มามือเปล่า
โรเบิร์ตรู้สึกอายเมื่อเขาไปร่วมรับประทานอาหารเช้าและพบว่าเขาลืมเอากระเป๋าเงินมา เรื่องนี้กวนใจจนถึงจุดที่เขาคิดว่าควรจะรับประทานอาหารหรือไม่ หรือสั่งแค่เครื่องดื่ม หลังจากที่เพื่อนพูดเกลี้ยกล่อม เขาก็คลายกังวล เขาและเพื่อนมีความสุขกับมื้ออาหารและเพื่อนจ่ายเงินให้เขาด้วยความเต็มใจ
คุณอาจเคยอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหรือสถานการณ์อื่นที่ทำให้คุณอึดอัดเช่นนี้ การอยากรับผิดชอบด้วยตัวเองเป็นเรื่องปกติ แต่ในบางโอกาสเราต้องถ่อมใจยอมรับน้ำใจที่ถูกหยิบยื่นให้
การตอบแทนอาจเป็นสิ่งที่บุตรชายคนน้องคิดในลูกา 15:17-24 เมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่จะพูดกับพ่อ “ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด” (ข้อ 19) ลูกจ้างหรือ พ่อของเขาจะไม่ทำอย่างนั้นแน่! ในสายตาของพ่อนั้น เขาคือลูกชายสุดที่รักที่กลับมาบ้าน เขาจึงได้พบกับอ้อมกอดและจุบแห่งความรัก (ข้อ 20) ช่างเป็นภาพของข่าวประเสริฐที่ยิ่งใหญ่! สิ่งนี้ย้ำเตือนเราว่า โดยการทรงสิ้นพระชนม์นั้นพระเยซูได้สำแดงถึงพระบิดาแห่งความรักผู้ทรงอ้าแขนต้อนรับลูกที่มามือเปล่าด้วยความเต็มใจ ผู้ประพันธ์เพลงนมัสการท่านหนึ่งบรรยายไว้ว่า “ข้าไม่มีอะไรติดมา รู้สึกอายเมื่อพึ่งกางเขน”
เรื่องราวยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์
เมื่อคอลินเปิดกล่องชิ้นส่วนกระจกสีที่เขาซื้อมา แทนที่จะเจอชิ้นส่วนที่เขาสั่งมาเพื่อทำชิ้นงาน กลับพบว่ามันติดกันมาเป็นหน้าต่างทั้งบาน เขาสืบหาที่มาของหน้าต่างนี้และได้รู้ว่ามันถูกรื้อมาจากโบสถ์เพื่อป้องกันไม่ให้โดนระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 คอลินทึ่งกับคุณภาพของชิ้นงานและการที่ “ชิ้นส่วนเล็กๆ” รวมตัวกันเป็นภาพที่งดงาม
ถ้าพูดกันตรงๆแล้วมีหลายครั้งที่ฉันเปิดเนื้อหาบางเรื่องในพระคัมภีร์ เช่นบทที่มีรายชื่อของลำดับวงศ์ตระกูล ฉันไม่อาจเข้าใจได้ในทันทีว่านั่นจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมในพระคัมภีร์ได้อย่างไร เช่นปฐมกาล 11 บทที่มีชื่อคนไม่คุ้นหูและครอบครัวของพวกเขาซ้ำๆ เช่น เชม เชลาห์ เอเบอร์ นาโฮร์ และเทราห์ (ข้อ 10-32) ฉันมักถูกชักจูงให้ข้ามข้อเหล่านี้ไปอ่านบทที่มีเนื้อหาที่คุ้นเคยและดูน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ “หน้าต่าง” แห่งความเข้าใจในพระคัมภีร์ของฉันมากกว่า
เพราะ “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์” (2 ทธ.3:16) พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้นว่าชิ้นส่วนเล็กๆเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่อย่างไร และเปิดตาเราให้มองเห็น เช่น เห็นความเชื่อมโยงของเชลาห์และอับราม (ปฐก.11:12-26) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของดาวิด และที่สำคัญกว่านั้นคือของพระเยซู (มธ.1:2,6,16) พระองค์ทรงยินดีที่จะทำให้เราประหลาดใจด้วยขุมทรัพย์แห่งบานหน้าต่างที่ร้อยเรียงต่อติดกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งแม้แต่ชิ้นส่วนเล็กๆ ยังเปิดเผยถึงเรื่องราวพันธกิจของพระเจ้าในพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม
ช่วงปรับปรุง
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องแปลงโฉมภายในบ้านใหม่ แต่ทันทีที่ผมเริ่มเตรียมห้องเพื่อทาสี รัฐบาลท้องถิ่นก็ประกาศว่าการขายอุปกรณ์ปรับปรุงบ้านหลายอย่างจะชะลอตัวลงเนื่องจากโรคระบาดโควิด 19 ผมรีบไปซื้อวัสดุที่จำเป็นทันทีที่ได้ยินประกาศ คุณจะปรับปรุงอะไรไม่ได้เลยถ้าไม่มีวัสดุที่เหมาะสม
เปาโลมีแผนในการปรับปรุงอยู่ในใจเมื่อท่านเขียนพระธรรมเอเฟซัส 4 แต่การเปลี่ยนแปลงที่ท่านพูดถึงลึกซึ้งมากกว่าแค่การเปลี่ยนเพียงผิวเผิน แม้การเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดทำให้เราเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ แต่ยังคงมีสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องทำต่อ ซึ่งใช้เวลาและการทำงานของพระองค์เพื่อเราจะไปถึง “ความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง” (อฟ.4:24)
การสถิตอยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เปลี่ยนแปลงสิ่งจำเป็นภายในที่ช่วยให้เราสะท้อนถึงพระเยซูในคำพูดและการกระทำของเรา พระองค์ช่วยให้เราเปลี่ยนการโกหกเป็นการพูด “ความจริง” (ข้อ 25) ทรงนำให้เราหลีกเลี่ยงความบาปจากการโกรธ (ข้อ 26) และทรงให้เรากล่าวคำที่ “เป็นประโยชน์เพื่อเสริมสร้างผู้อื่นขึ้น” (ข้อ 29 TNCV) การกระทำโดยการนำของพระวิญญาณนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงภายใน ซึ่งปรากฏออกมาเป็นความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจและการให้อภัย (ข้อ 32) พระวิญญาณทรงทำงานภายในเราเพื่อให้เราทำตามอย่างพระเยซูและสะท้อนหัวใจของพระบิดาในสวรรค์ (ข้อ 24;5:1)