ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Winn Collier

รู้จักเสียงพระผู้เลี้ยง

ตอนผมเป็นเด็กอาศัยอยู่ที่ฟาร์มในรัฐเทนเนสซี่ ผมใช้เวลาช่วงบ่ายอันสดใสเดินเตร่ไปกับเพื่อนสนิท เรามักจะเข้าไปในป่า ขี่ลูกม้า ไปดูสนามแข่งม้า และแอบเข้าไปในคอกม้าเพื่อดูคาวบอยฝึกม้า แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้ยินเสียงผิวปากของพ่อที่ดังชัดเจนผ่านสายลมและเสียงพูดคุยอื่นๆ ผมจะทิ้งทุกอย่างที่กำลังทำอยู่และกลับบ้าน สัญญาณนั้นชัดเจนและผมรู้ว่าพ่อกำลังเรียกผม หลายสิบปีต่อมาผมก็ยังจำเสียงนั้นได้

พระเยซูทรงบอกกับสาวกว่าพระองค์เป็นผู้เลี้ยง และผู้ที่ติดตามพระองค์คือแกะ “แกะย่อมฟังเสียงของ[ผู้เลี้ยง]” พระองค์ตรัส “ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป” (ยน.10:3) ในช่วงเวลาที่ผู้นำและผู้สอนหลายคนพยายามจะทำให้สาวกของพระคริสต์สับสนโดยการอ้างถึงอำนาจของตน พระเยซูตรัสว่าเสียงแห่งความรักของพระองค์ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน และแตกต่างจากเสียงอื่น “แกะก็ตาม (ผู้เลี้ยง) ไป เพราะรู้จักเสียงของท่าน” (ข้อ 4)

ให้เราระมัดระวังในการฟังเสียงของพระเยซูและไม่เพิกเฉยต่อเสียงนั้นด้วยความโง่เขลา เพราะความจริงที่สำคัญยังคงอยู่ คือ พระผู้เลี้ยงทรงเรียกอย่างชัดเจน และแกะของพระองค์ฟังเสียงพระองค์ พระเยซูได้ตรัสแล้ว บางครั้งอาจโดยผ่านทางข้อพระคัมภีร์ จากคำพูดของเพื่อนผู้เชื่อ หรือการเร้าของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเราได้ยินเสียงนั้นชัดเจนแล้ว

มุ่งหน้าสู่อันตราย

ในปีค.ศ.1892 ผู้ป่วยอหิวาตกโรคได้แพร่เชื้อโดยไม่ได้ตั้งใจผ่านแม่น้ำเอลเบอไปยังเมืองฮัมบูร์กซึ่งเป็นแหล่งน้ำประปาทั้งหมดของเยอรมัน ภายในไม่กี่สัปดาห์พลเมืองหนึ่งหมื่นคนเสียชีวิต แปดปีก่อนหน้านั้นนักจุลชีววิทยาชาวเยอรมัน โรแบร์ท ค็อคได้ค้นพบว่าเชื้ออหิวาห์นั้นมากับน้ำ การเปิดเผยของค็อคกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ประจำเมืองใหญ่ในยุโรปใช้งบประมาณกับระบบกรองน้ำเพื่อป้องกันแหล่งน้ำของพวกเขา แต่ผู้มีอำนาจในฮัมบูร์กไม่ได้ทำอะไรเลย โดยอ้างค่าใช้จ่ายและหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นที่น่าสงสัย พวกเขาเพิกเฉยต่อคำเตือนอย่างชัดเจนนี้ ในขณะที่เมืองของเขาเคลื่อนไปสู่หายนะอย่างควบคุมไม่ได้

พระธรรมสุภาษิตมีหลายเรื่องเกี่ยวกับพวกเราที่เห็นปัญหาแต่ไม่ยอมลงมือทำ “คนหยั่งรู้ เห็นอันตรายและซ่อนตัวของเขาเสีย” (27:12) เมื่อพระเจ้าทรงช่วยให้เรามองเห็นอันตรายที่อยู่ข้างหน้า เป็นเรื่องปกติที่จะดำเนินการเพื่อจัดการกับอันตราย เราเปลี่ยนเส้นทางอย่างมีปัญญา หรือเราเตรียมพร้อมโดยระมัดระวังตามความเหมาะสมตามที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้ ซึ่งก็คือเราทำบางอย่าง การไม่ทำอะไรเลยถือเป็นความผิดปกติอย่างที่สุด แต่ทว่าเราทุกคนก็อาจพลาดสัญญาณเตือนภัยและเดินโซเซไปสู่หายนะได้ “คนเขลาเดินเรื่อยไป และรับอันตรายนั้น” (ข้อ 12)

ในพระคัมภีร์และในชีวิตของพระเยซูนั้น พระเจ้าได้เปิดเผยให้เห็นหนทางที่เราจะดำเนินตามและทรงเตือนถึงอุปสรรคที่เราจะต้องเผชิญอย่างแน่นอน หากเราโง่เขลา เราจะเดินอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าสู่อันตราย แทนที่จะเป็นเช่นนั้นขอให้เราเอาใจใส่พระปัญญาของพระองค์และเปลี่ยนเส้นทาง เมื่อพระองค์ทรงนำเราด้วยพระคุณของพระองค์

สติปัญญาที่เราต้องมี

ในหนังสืออันน่าจดจำชื่อว่า มหาภัยไวรัสล้างโลก จอห์น เอ็ม. แบร์รี่ผู้เขียนเล่าเรื่องการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในค.ศ. 1918 แบร์รี่เปิดเผยว่าแทนที่จะตั้งตัวไม่ทัน แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้คาดการณ์และเตรียมป้องกันล่วงหน้ากับการระบาดครั้งใหญ่ได้อย่างไร พวกเขากลัวว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีกองทหารหลายแสนนายอัดแน่นอยู่ในสนามเพลาะและกำลังเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนจะแพร่กระจายเชื้อไวรัสชนิดใหม่นี้ออกไป แต่ความรู้นี้ก็ไม่ได้ช่วยหยุดหายนะครั้งนั้นได้ ผู้นำที่มีอำนาจต่างลั่นกลองรบมุ่งเข้าหาความรุนแรง นักระบาดวิทยาได้ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตในการระบาดนั้นห้าสิบล้านคน เพิ่มเข้าไปกับอีกประมาณยี่สิบล้านคนที่ถูกสังหารอย่างโหดร้ายในสงคราม

เราได้เห็นกันแล้วหลายต่อหลายครั้งว่าความรู้ของมนุษย์นั้นไม่มีทางเพียงพอที่จะช่วยเราให้รอดพ้นจากความชั่วร้าย (สภษ.4:14-16) แม้เราจะสะสมความรู้ไว้มากมายและนำเสนอความคิดเห็นที่ยอดเยี่ยม เรายังคงไม่สามารถหยุดความเจ็บปวดที่เราทำร้ายกันและกัน เราไม่สามารถหยุด “ทางของคนชั่วร้าย” วิถีทางอันโง่เขลาที่เกิดขึ้นซ้ำซากนี้นำไปสู่ “ความมืดทึบ” แม้เราจะมีความรู้ที่ดีที่สุด แต่เราก็ยังไม่รู้ว่า “[เรา]สะดุดอะไร” (ข้อ 19)

นี่เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเราจึงต้อง “เอาปัญญา และเอาความรอบรู้” (ข้อ 5) ปัญญาสอนเราว่าต้องทำอย่างไรกับความรู้ และปัญญาที่แท้จริงซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมีนี้มาจากพระเจ้า ความรู้ของเราไม่เคยเพียงพอ แต่พระปัญญาของพระเจ้าให้สิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเสมอ

การทรงสร้างใหม่อันงดงาม

ในหนังสืออันยอดเยี่ยมชื่อ ศิลปะ+ศรัทธา: ศาสนศาสตร์แห่งการสร้าง ของศิลปินชื่อดังมาโกโตะ ฟูจิมูระได้อธิบายถึงศิลปะแบบคินสึงิของญี่ปุ่นยุคโบราณ ในหนังสือนี้ศิลปินจะนำเครื่องปั้นดินเผาที่แตกหัก (เดิมคือถ้วยชา) แล้วนำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาต่อติดเข้าด้วยกันด้วยยางไม้ โดยผสานด้วยเส้นสายสีทองเข้าไปในรอยแตก ฟูจิมูระอธิบายว่า “คินสึงิไม่ได้เป็นเพียงการ ‘ติดให้แน่น’ หรือซ่อมแซมภาชนะที่แตกเท่านั้น แต่เทคนิคนี้ทำให้เครื่องดินเผาที่แตกหักสวยงามยิ่งกว่าของเดิม” คินสึงิถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อหลายร้อยปีก่อน ตอนที่ถ้วยใบโปรดของขุนศึกแตกเสียหายแล้วได้รับการซ่อมแซมขึ้นใหม่อย่างงดงาม กลายเป็นศิลปะที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการ

อิสยาห์บรรยายว่าพระเจ้าทรงประกาศใช้วิธีการซ่อมสร้างขึ้นใหม่อย่างชาญฉลาดนี้กับโลก แม้ว่าเราจะแตกสลายจากการกบฏและความเห็นแก่ตัวของเรา แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะ “สร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” (65:17) พระองค์ทรงวางแผนไม่เพียงแค่ซ่อมแซมโลกใบเก่าเท่านั้น แต่จะทรงสร้างมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ทรงนำเอาซากปรักหักพังของโลกเราแล้วสร้างให้เปล่งประกายด้วยความงามสดใหม่ การทรงสร้างใหม่นี้จะน่าทึ่งมากจน “ความลำบากเก่าแก่นั้นก็ลืมเสียแล้ว” และ “สิ่งเก่าก่อนนั้นจะไม่จำกันหรือนึกได้อีก” (ข้อ 16-17) ด้วยการทรงสร้างใหม่นี้ พระเจ้าจะไม่ทรงเขย่าสิ่งต่างๆรวมเข้าด้วยกันเพื่อปกปิดความผิดของเรา แต่จะปลดปล่อยฤทธิ์อำนาจแห่งการสรรค์สร้างของพระองค์เป็นฤทธิ์อำนาจที่ทำให้สิ่งที่น่าเกลียดกลายเป็นสิ่งซึ่งงดงาม และสิ่งซึ่งตายแล้วกลับมีชีวิตอีกครั้ง

เมื่อเราสำรวจชีวิตที่พังทลายของเรา ขออย่าได้สิ้นหวัง พระเจ้าทรงกำลังกระทำกิจแห่งการสร้างขึ้นใหม่อันงดงามของพระองค์

มหากาพย์ของพระเจ้า

นิตยสารไลฟ์ฉบับประจำวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ.1968 ได้ลงภาพปกอันน่าสะเทือนใจของเด็กๆที่อดอยากในสาธารณรัฐไบอาฟรา (แยกตัวจากไนจีเรียในระหว่างสงครามกลางเมือง) เด็กชายคนหนึ่งรู้สึกทุกข์ใจ เขายื่นนิตยสารฉบับนั้นแก่ศิษยาภิบาลแล้วถามว่า “พระเจ้ารู้เรื่องนี้ไหมครับ” ศิษยาภิบาลตอบ “ฉันรู้ว่าเธอไม่เข้าใจ แต่พระเจ้ารู้เรื่องนั้นแน่นอน” เด็กชายจากไปโดยประกาศว่าเขาไม่สนใจพระเจ้าแบบนี้

คำถามเหล่านี้ไม่เพียงรบกวนจิตใจเด็กๆเท่านั้น แต่เราทุกคนด้วย นอกเหนือจากคำยืนยันถึงความรู้อันล้ำลึกของพระเจ้านั้น ผมหวังว่าเด็กชายคนนั้นจะเคยได้ยินถึงเรื่องราวมหากาพย์ที่พระเจ้ายังทรงเขียนขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ในสถานที่ที่เป็นเหมือนกับอดีตสาธารณรัฐไบอาฟราแห่งนี้

พระเยซูได้เปิดเผยเรื่องราวนี้แก่ผู้ติดตามของพระองค์ ซึ่งคิดว่าพระองค์จะทรงปกป้องพวกเขาจากความทุกข์ยาก พระคริสต์กลับตรัสว่า “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก” แต่สิ่งที่พระเยซูประทานให้คือพระสัญญาของพระองค์ที่ว่าความชั่วร้ายเหล่านี้ไม่ใช่จุดจบ แท้ที่จริงพระองค์ “ได้ชนะโลกแล้ว” (ยน.16:33) และในบทสรุปสุดท้ายของพระเจ้า ความอยุติธรรมทั้งสิ้นจะถูกทำลายล้าง ความทุกข์ยากทั้งปวงจะได้รับการเยียวยา

พระธรรมปฐมกาลถึงวิวรณ์เล่าเรื่องราวที่พระเจ้าทำลายความชั่วร้ายทั้งปวงที่เกินจะจินตนาการได้ ทรงเปลี่ยนทุกสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้อง เรื่องราวนี้บรรยายถึงพระองค์ผู้เปี่ยมด้วยความรักผู้ซึ่งทรงสนพระทัยในเราอย่างไม่ต้องสงสัย พระเยซูบอกเหล่าสาวกว่า “เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา” (ข้อ 33) วันนี้ขอให้เราพักสงบในสันติสุขและการทรงสถิตของพระองค์

พระเยซู พี่น้องของเรา

บริดเจอร์ วอล์คเกอร์ อายุเพียงหกขวบเท่านั้นตอนที่สุนัขอันตรายตัวนั้น วิ่งตรงเข้ามาหาน้องสาวของเขา โดยสัญชาตญาณบริดเจอร์ได้กระโดดเข้าขวางหน้าเพื่อปกป้องเธอจากการจู่โจมอันดุดันของหมาตัวนั้น หลังได้รับการรักษาฉุกเฉินและเย็บแผลบนใบหน้า 90 เข็ม บริดเจอร์พูดถึงสิ่งที่เขาทำว่า “ถ้ามีใครจะต้องตาย ผมคิดว่าคนนั้นควรเป็นผม” น่าดีใจที่ศัลยแพทย์ช่วยรักษาแผลบนใบหน้าของเขาจนหาย แต่ความรักของพี่ชายคนนี้ยังปรากฏอยู่ในภาพถ่ายล่าสุดที่เขากำลังกอดน้องสาวอยู่ ความรักนั้นยังคงแข็งแกร่งเหมือนเช่นที่ผ่านมา

ในอุดมคตินั้นสมาชิกในครอบครัวคือผู้ที่ดูแลห่วงใยเรา พี่น้องที่แท้จริงจะเข้ามาช่วยเมื่อเราตกอยู่ในปัญหาและอยู่เคียงข้างเมื่อเรากลัวและโดดเดี่ยว แต่ในความเป็นจริงแม้แต่พี่น้องที่ดีที่สุดก็ไม่สมบูรณ์แบบ และบางคนยังถึงกับทำร้ายเรา แต่เรามีพี่น้องคนหนึ่งคือพระเยซูผู้คอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ พระธรรมฮีบรูบอกเราว่าพระคริสต์ ผู้สำแดงความรักอันถ่อมใจ เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวโดยทรงร่วม “สายโลหิต” และเป็นเหมือนเรา คือ “เป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง” (2:14, 17) สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พระเยซูทรงเป็นพี่น้องที่แท้จริงที่สุดของเรา และพระองค์ทรงยินดีที่จะเรียกเราว่าเป็น “พี่น้องกัน” กับพระองค์ (ข้อ11)

เราพูดถึงพระเยซูว่าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นมิตรสหาย และเป็นกษัตริย์ของเรา พระองค์ทรงเป็นทุกอย่างนั้นจริงๆ แต่พระเยซูทรงเป็นพี่น้องของเราด้วย ทรงมีประสบการณ์ในความกลัวและการทดลอง ความผิดหวังหรือความเสียใจเหมือนกับมนุษย์ทุกอย่าง พระองค์ผู้เป็นพี่น้องของเราทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ

ผู้มีอำนาจและผู้อ่อนแอ

ประเพณีที่อบอุ่นหัวใจที่สุดในฟุตบอลมหาวิทยาลัยนั้นอาจจะเป็นที่มหาวิทยาลัยไอโอวา ที่นั่นมีโรงพยาบาลเด็กชื่อสเตดแฟมิลี่ที่อยู่ติดกับสนามกีฬาไอโอวาคินนิค และที่ชั้นบนสุดของโรงพยาบาลมีหน้าต่างกระจกสูงจากพื้นถึงเพดานที่ทำให้มองเห็นวิวของสนามได้ชัดเจน ในวันที่มีการแข่งขันเด็กๆที่เป็นคนไข้และครอบครัวจะมากันเต็มชั้นนั้นเพื่อดูการแข่งขันด้านล่าง และในช่วงท้ายของการเล่น 15 นาทีแรก บรรดาโค้ช นักกีฬา และแฟนบอลนับพันคนจะหันมาทางโรงพยาบาลและโบกมือให้ ในช่วงเวลานั้นดวงตาของเด็กๆจะเปล่งประกาย เป็นสิ่งที่ทรงพลังมากเมื่อได้เห็นนักกีฬา คนดูที่แน่นขนัดเต็มสนามและอีกหลายพันคนที่รับชมทางโทรทัศน์ใช้เวลาที่จะหยุดและแสดงความห่วงใย

พระคัมภีร์สอนผู้มีอำนาจ (และเราทุกคนมีอำนาจในทางใดทางหนึ่ง) ให้ห่วงใยผู้อ่อนแอ ดูแลผู้ที่กำลังมีปัญหา และเอาใจใส่ผู้ที่ร่างกายบอบช้ำ แต่ทว่าหลายครั้งที่เราละเลยคนเหล่านั้นที่ต้องการการดูแล (อสค.34:6) ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลได้กล่าวโทษผู้นำอิสราเอลในความเห็นแก่ตัวของพวกเขา ที่ไม่เอาใจใส่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากที่สุด พระเจ้าตรัสผ่านเอเสเคียลว่า “วิบัติแก่ผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอล...ตัวที่อ่อนเพลียเจ้าก็ไม่เสริมกำลัง ตัวที่เจ็บเจ้าก็ไม่รักษา” (ข้อ 2,4)

บ่อยครั้งแค่ไหนที่ความสำคัญในเรื่องส่วนตัว หลักปรัชญาการเป็นผู้นำหรือนโยบายเศรษฐกิจของเรา ทำให้เราไม่ค่อยได้ใส่ใจคนเหล่านั้นที่ทุกข์ยาก พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้เราเห็นวิถีทางที่แตกต่างออกไป เป็นวิถีทางที่ผู้มีอำนาจจะคอยเฝ้าดูแลผู้ที่อ่อนแอ (ข้อ 11-12)

การอธิษฐานกับการเปลี่ยนแปลง

ในปี 1982 ศิษยาภิบาลชื่อ คริสเตียน ฟูห์เฮอร์ ได้ริเริ่มการประชุมอธิษฐานวันจันทร์ที่คริสตจักรเซนต์นิโคลาสในเมืองไลป์ซิก เป็นเวลาหลายปีที่มีคนเพียงหยิบมือมาร่วมกันทูลขอสันติภาพจากพระเจ้าท่ามกลางความรุนแรงทั่วโลกและการปกครองที่กดขี่ของเยอรมันตะวันออก แม้รัฐบาลคอมมิวนิสต์จะจับตาดูอย่างใกล้ชิด แต่ผู้เชื่อก็ไม่สนใจและผู้มาร่วมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนล้นไปนอกประตูและกลายเป็นการชุมนุมของฝูงชนจำนวนมหาศาล ในวันที่ 9 ตุลาคม 1989 มีผู้มาร่วมชุมนุมเจ็ดหมื่นคนเพื่อประท้วงอย่างสันติ ตำรวจหกพันคนยืนเตรียมพร้อมรับมือกับการยั่วยุ แต่ฝูงชนยังคงชุมนุมอย่างสงบและนักประวัติศาสตร์ถือว่าวันนั้นเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ หนึ่งเดือนต่อมากำแพงเบอร์ลินได้พังทลายลง การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้เริ่มต้นจากการประชุมอธิษฐาน

เมื่อเราหันไปหาพระเจ้าและเริ่มพึ่งพาพระปัญญาและพระกำลังของพระองค์ สิ่งต่างๆมักจะถูกเคลื่อนย้ายและปรับเปลี่ยน เมื่อเรา “ร้องทูลพระเจ้าในความยากลำบาก” เช่นเดียวกับอิสราเอล เราจะพบพระเจ้าซึ่งเป็นผู้เดียวที่สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และตอบคำถามที่รบกวนใจเราที่สุดได้ (สดด.107:28) พระเจ้าทรงทำให้ “พายุสงบลง” และเปลี่ยน “ถิ่นทุรกันดารให้เป็นสระน้ำ” (ข้อ 29, 35) พระเจ้าผู้ที่เราร้องทูลทรงนำมาซึ่งความหวังในท่ามกลางความสิ้นหวัง และความงดงามท่ามกลางซากปรักหักพัง

พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น (ในเวลาของพระองค์ ไม่ใช่ของเรา) และการอธิษฐานเป็นวิธีที่เราจะมีส่วนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้นร่วมกันกับพระองค์

ความทรงจำที่เชื่อถือได้ของพระเจ้า

ชายคนหนึ่งเป็นเจ้าของบิทคอยน์มูลค่ามากกว่า 400 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ แต่ไม่สามารถเข้าถึงมันได้ เขาทำรหัสเข้าอุปกรณ์ที่เก็บเงินของเขาหายไป ความพินาศกำลังใกล้เข้ามา ถ้าเขาเข้ารหัสผิดสิบครั้ง ระบบจะทำลายตัวเอง ทรัพย์สมบัติจะสูญไปตลอดกาล เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ชายคนนี้เป็นทุกข์และพยายามทุกทางที่จะนึกรหัสผ่านเข้าถึงเงินลงทุนที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาได้ เขาลองใส่รหัสไปแล้วแปดครั้งและล้มเหลวทั้งแปดครั้ง ในปี 2021 เขาโอดครวญว่าเขาเหลือโอกาสอีกเพียงแค่สองครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะมลายหายไป

เราเป็นพวกขี้ลืม บางครั้งเราก็ลืมเรื่องเล็ก (ว่าวางกุญแจไว้ตรงไหน) และบางครั้งก็ลืมเรื่องใหญ่ (ลืมรหัสผ่านเข้าถึงเงินล้าน) ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่เหมือนพวกเรา พระองค์ไม่เคยลืมสิ่งใดหรือคนใดที่พระองค์ทรงรัก ในเวลาแห่งความทุกข์ยากชนชาติอิสราเอลกลัวว่าพระเจ้าจะทรงลืมพวกเขา “พระเจ้าได้ทรงละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว” (อสย.49:14) แต่อิสยาห์ยืนยันกับพวกเขาว่าพระเจ้าของพวกเขาทรงจำได้เสมอ “ผู้หญิงจะลืมบุตรที่ยังกินนมของนาง...ได้หรือ” คำถามของผู้เผยพระวจนะนี้ ยืนยันว่าแม่จะไม่ลืมลูกที่กำลังดูดนมของเธออยู่ แต่ถ้าแม่เกิดทำสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้นั้นขึ้นมา เราก็รู้ว่าพระเจ้าจะไม่มีวันลืมเรา (ข้อ 15)

พระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา” (ข้อ 16) พระองค์ทรงจารึกชื่อของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ให้เราจดจำว่าพระองค์จะไม่ทรงลืมเรา ซึ่งเป็นคนที่พระองค์ทรงรัก

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา