ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Katara Patton

ความเชื่อของเด็ก

ขณะที่ยายบุญธรรมของเรานอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาลหลังจากเกิดเส้นเลือดในสมองอุดตันหลายครั้ง หมอไม่แน่ใจว่าสมองของท่านได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด พวกเขาต้องรอจนยายมีอาการดีกว่านี้อีกหน่อยก่อนที่จะตรวจการทำงานของสมอง ยายพูดน้อยมากและสิ่งที่ท่านพูดส่วนใหญ่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อยายวัย 86 ที่ดูแลลูกสาวของฉันมา 12 ปีเห็นหน้าฉัน ท่านก็เปิดปากอันแห้งผากและถามว่า “เคย์ล่าเป็นอย่างไรบ้าง” คำแรกที่ท่านพูดกับฉันนั้นเป็นเรื่องลูกสาวของฉันที่ท่านรักของท่านอย่างเต็มหัวใจ

พระเยซูก็ทรงรักเด็กด้วยเช่นกัน และพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพวกเขาแม้เหล่าสาวกจะไม่เห็นด้วย พ่อแม่บางคนแสวงหาพระคริสต์และมอบลูกๆให้กับพระองค์ พระองค์ทรงเลือกที่จะอวยพรเด็กๆขณะที่พระองค์ “ถูกต้องทารกนั้น” (ลก.18:15) แต่ไม่ใช่ทุกคนจะดีใจที่พระองค์อวยพรเด็กๆ บรรดาสาวกต่อว่าพวกพ่อแม่และขอให้เลิกรบกวนพระเยซูได้แล้ว แต่พระเยซูทรงเข้ามาห้ามและบอกว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา” (ข้อ 16) พระองค์เรียกพวกเขาว่าเป็นตัวอย่างของการที่เราจะได้รับแผ่นดินของพระเจ้า คือเพียงแค่เราพึ่งพา ไว้วางใจ และบริสุทธิ์ใจ

เด็กเล็กนั้นมักไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่ในใจ เห็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ขณะที่พระบิดาในสวรรค์ทรงช่วยให้เรามีความไว้วางใจเหมือนเด็กอีกครั้งนั้น ก็ขอให้เราเชื่อและพึ่งพาในพระองค์อย่างตรงไปตรงมาเหมือนเช่นเด็กเล็กๆ

สวมความถ่อมใจ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแฟรนไชส์อาหารแช่แข็งแห่งหนึ่งได้ปลอมตัวไปในซีรีส์ทางโทรทัศน์ชื่อเจ้านายสายสืบ โดยสวมชุดเป็นพนักงานเก็บเงินที่ร้านสาขาหนึ่งซึ่งเป็นแฟรนไชส์ของบริษัท เธอสวมวิกผมและแต่งหน้าเพื่ออำพรางตัวและสวมบทบาทเป็นพนักงาน “ใหม่” เป้าหมายของเธอคือ เพื่อดูระบบการทำงานจากภายในและในระดับปฏิบัติการว่าใช้การได้จริงๆ หรือไม่ จากการสังเกตการณ์ของเธอ ทำให้เธอแก้ปัญหาบางอย่างที่ร้านสาขากำลังเผชิญได้

พระเยซูทรง “สละทุกสิ่ง” มารับสภาพที่ต่ำต้อย (ฟป.2:7 TNCV) เพื่อแก้ปัญหาของเรา พระองค์ทรงกำเนิดเป็นมนุษย์โดยใช้ชีวิตอยู่บนโลก ทรงสอนเราเรื่องพระเจ้า และในที่สุดทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อไถ่บาปของเรา (ข้อ 8) การเสียสละนี้เผยให้เห็นถึงความถ่อมพระทัยของพระคริสต์ที่ได้สละพระชนม์ชีพของพระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเราด้วยใจเชื่อฟัง พระองค์ทรงใช้ชีวิตบนโลกนี้และมีประสบการณ์เช่นเดียวกับเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราถูกเรียกให้มี “ท่าทีแบบเดียวกับ” พระผู้ช่วยให้รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ของเรากับผู้เชื่อคนอื่นๆ (ข้อ 5 TNCV) พระเจ้าจะช่วยเราในการสวมความถ่อมใจ (ข้อ 3) และการมีท่าทีแบบเดียวกับพระคริสต์ (ข้อ 5) พระองค์ทรงเตือนเราให้ดำเนินชีวิตในฐานะผู้รับใช้ที่พร้อมจะตอบสนองความต้องการของผู้อื่นและเต็มใจที่จะช่วยเหลือพวกเขา เมื่อพระเจ้าทรงนำเราให้รักผู้อื่นด้วยความถ่อมใจ เราก็อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าที่จะรับใช้พวกเขา และหาทางออกให้กับปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ

ธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน

ในฤดูร้อนหลังจากที่ฉันเริ่มเรียนปีสองในวิทยาลัย เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ฉันเพิ่งพบเขาสองสามวันก่อนที่เขาจะจากไปและเขาดูสบายดี ฉันกับเพื่อนๆต่างอายุยังน้อยและอยู่ในช่วงที่พวกเราคิดว่าเป็นเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต เพิ่งจะได้เข้าร่วมในสมาคมนักศึกษาหญิงและสมาคมนักศึกษาชายที่นับทุกคนเป็นพี่เป็นน้องกัน สิ่งที่ฉันจำได้ดีที่สุดจากการเสียชีวิตของเพื่อนคนนั้นคือการได้เห็นพวกเพื่อนๆในสมาคมนักศึกษาชายสำแดงชีวิตที่อัครทูตเปาโลเรียกว่า “ธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน” (ยก.1:27) พวกผู้ชายในสมาคมทำตัวเป็นพี่น้องให้กับน้องสาวของผู้ที่เสียชีวิต โดยไปร่วมงานแต่งงานของเธอ และเดินทางไปงานฉลองใกล้คลอดของเธอหลังจากที่พี่ชายเธอเสียชีวิตไปแล้วหลายปี คนหนึ่งถึงกับมอบโทรศัพท์มือถือให้เธอเป็นของขวัญไว้สำหรับติดต่อหาเขาได้ทุกเวลาที่เธอต้องการ

ธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินที่ยากอบพูดถึงคือ “การเยี่ยมเยียนเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน” (ข้อ 27) ถึงแม้น้องสาวของเพื่อนฉันจะไม่ใช่เด็กกำพร้าตามความหมายของพระธรรมข้อนี้ แต่เธอก็สูญเสียพี่ชาย และ “พี่/น้องชาย” เหล่านั้นได้มาทดแทนส่วนที่ขาดไป

และนั่นคือสิ่งซึ่งพวกเราอยากจะดำเนินชีวิตอย่างสัตย์ซื่อและบริสุทธิ์ในพระเยซูสามารถทำได้ คือ “ประพฤติตามพระวจนะนั้น” (ข้อ 22) ตลอดจนห่วงใยดูแลผู้ที่ขัดสน (2:14-17) ความเชื่อในพระเจ้าจะเร้าใจเราให้ดูแลผู้อ่อนแอขณะที่เราป้องกันตนเองจากอิทธิพลด้านลบของโลกภายนอกด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า ซึ่งนี่แหละคือธัมมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินต่อพระพักตร์พระเจ้า

พระเจ้าจำชื่อเราได้

ในวันอาทิตย์หลังจากที่ฉันเริ่มงานในฐานะผู้นำอนุชนที่คริสตจักรแห่งหนึ่งและได้พบอนุชนมากมาย ฉันได้คุยกับวัยรุ่นที่นั่งข้างแม่ของเธอ เมื่อฉันทักทายสาวน้อยขี้อายด้วยรอยยิ้ม ฉันเรียกชื่อเธอและถามเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง เธอเงยหน้าขึ้นดวงตาสีน้ำตาลงดงามเบิกกว้าง เธอเองก็ยิ้มและพูดเบาๆว่า “คุณจำชื่อของฉันได้” เพียงแค่เรียกชื่อเด็กสาวคนนั้นที่อาจรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สลักสำคัญในคริสตจักรที่เต็มไปด้วยผู้ใหญ่ ฉันได้เริ่มความสัมพันธ์แห่งความไว้วางใจ เธอรู้สึกว่าถูกมองเห็นและมีคุณค่า

ในอิสยาห์ 43 พระเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์เพื่อถ่ายทอดข้อความที่คล้ายกันให้กับคนอิสราเอลว่า พวกเขาถูกมองเห็นและมีค่า แม้ในตลอดช่วงที่ตกเป็นเชลยและอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงเห็นพวกเขาและรู้จักพวกเขา “ตามชื่อ” (ข้อ 1) พวกเขาไม่ใช่คนแปลกหน้า พวกเขาเป็นของพระองค์ แม้พวกเขาอาจรู้สึกถูกทอดทิ้ง แต่พวกเขา “ล้ำค่า” และความ “รัก” ของพระองค์อยู่กับพวกเขา (ข้อ 4 TNCV) และควบคู่ไปกับการเตือนความจำว่าพระเจ้าทรงรู้จักชื่อพวกเขา ทรงกล่าวถึงทุกสิ่งที่พระองค์จะทรงทำเพื่อพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาอันยากลำบาก เมื่อพวกเขาผ่านการทดลองต่างๆ พระองค์จะทรงอยู่กับพวกเขา (ข้อ 2) พวกเขาไม่ต้องกลัวหรือกังวลเพราะพระเจ้าทรงจดจำชื่อพวกเขาได้

พระเจ้าทรงรู้จักชื่อบุตรชายหญิงแต่ละคนของพระองค์ และนั่นคือข่าวประเสริฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราผ่านสายน้ำเชี่ยวลึกแห่งความยากลำบากของชีวิต

จากความเครียดสู่ความสงบ

การย้ายบ้านเป็นหนึ่งในความเครียดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เราย้ายมาที่บ้านหลังปัจจุบันหลังจากที่ฉันอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมมาเกือบยี่สิบปี ฉันอาศัยอยู่คนเดียวในบ้านหลังแรกเป็นเวลาแปดปีก่อนจะแต่งงาน จากนั้นสามีของฉันก็ย้ายเข้ามาพร้อมกับข้าวของทุกอย่างของเขา ต่อมาเรามีลูกเพิ่มขึ้นอีกคนและนั่นหมายถึงข้าวของที่เพิ่มมากขึ้น

วันที่เราย้ายเข้าบ้านใหม่ก็ยังเกิดเรื่องขึ้น ห้านาทีก่อนที่รถขนย้ายจะมาถึง ฉันยังคงเขียนต้นฉบับหนังสือให้เสร็จ และบ้านใหม่มีบันไดอยู่หลายจุด จึงต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นสองเท่าและจำนวนคนขนย้ายมากเป็นสองเท่าจากแผนที่วางไว้

แต่ฉันก็ไม่รู้สึกเครียดกับเหตุการณ์ในวันนั้น แล้วฉันก็คิดขึ้นได้ว่า ฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเขียนหนังสือให้เสร็จ ซึ่งเป็นเล่มที่อัดแน่นด้วยข้อพระคัมภีร์และแนวคิดของพระคัมภีร์ โดยพระคุณของพระเจ้าทำให้ฉันได้อ่านพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วน อธิษฐาน และเขียนเพื่อให้ทันกำหนดส่ง ดังนั้นฉันเชื่อว่ากุญแจสำคัญคือการที่ฉันได้ดำดิ่งลงไปในข้อพระคัมภีร์และในการอธิษฐาน

เปาโลกล่าวว่า “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ” (ฟป.4:6) เมื่อเราอธิษฐานและ “ชื่นชมยินดี” ในพระเจ้า (ข้อ 4) เราก็จะหันความคิดออกจากปัญหามาจดจ่อที่องค์พระผู้ทรงจัดเตรียม เราอาจกำลังขอให้พระเจ้าทรงช่วยเราจัดการกับสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียด แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยึดโยงอยู่กับพระองค์ผู้ทรงสามารถประทานสันติสุข “ซึ่งเกินความเข้าใจ” (ข้อ 7) ให้กับเรา

คำปลอบโยนบนเสาประตู

ขณะที่ฉันกวาดตาดูข่าวในสื่อสังคมออนไลน์หลังเหตุการณ์น้ำท่วมทางตอนใต้ของรัฐหลุยส์เซียน่าในปี 2016 ฉันได้เห็นข้อความที่เพื่อนคนหนึ่งลงเอาไว้ หลังจากรู้ว่าบ้านของเธอต้องถูกรื้อแล้วสร้างใหม่ แม่ของเธอหนุนใจให้เธอแสวงหาพระเจ้าแม้ในยามที่เจ็บปวดใจกับการทำความสะอาด ต่อมาเพื่อนฉันได้ลงรูปภาพข้อพระคัมภีร์ที่เธอพบบนเสาประตูที่ถูกเขียนไว้ตั้งแต่ตอนสร้างบ้าน การได้อ่านข้อพระคัมภีร์บนแผ่นไม้นั้นช่วยปลอบโยนเธอ

ประเพณีในการเขียนข้อพระคัมภีร์บนประตูอาจมาจากคำสั่งของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติอิสราเอล พระเจ้าทรงสั่งให้คนอิสราเอลเขียนพระบัญญัติของพระองค์ไว้ที่เสาประตู เพื่อช่วยให้พวกเขาระลึกว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด โดยการเขียนพระบัญญัติของพระองค์ไว้ในใจ (ฉธบ.6:6) สอนพระบัญญัติแก่ลูกหลาน (ข้อ 7) ทำสัญลักษณ์หรือทุกๆวิธีเพื่อระลึกถึงพระบัญญัติของพระเจ้า (ข้อ 8) และเขียนไว้ที่เสาประตูและทางเข้า (ข้อ 9) คนอิสราเอลมีเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงพระคำของพระเจ้าเสมอ พวกเขาได้รับการหนุนใจให้ไม่มีวันลืมสิ่งที่พระเจ้าตรัสและไม่ลืมพันธสัญญาที่พวกเขามีกับพระเจ้า

การติดพระคำของพระเจ้าไว้ในบ้านร่วมกับการปลูกฝังความหมายของพระคำไว้ในใจเรา สามารถช่วยเราสร้างรากฐานของชีวิตซึ่งพึ่งพาในความสัตย์ซื่อของพระเจ้าตามที่เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์ทรงใช้พระคำเหล่านั้นเพื่อปลอบโยนเราแม้ในท่ามกลางความโศกเศร้าหรือเจ็บปวดใจจากความสูญเสียได้

สิ่งจำเป็นที่แท้จริง

ขณะเตรียมอาหาร คุณแม่ยังสาวคนหนึ่งหั่นครึ่งเนื้อสำหรับตุ๋นออกเป็นสองส่วนก่อนใส่ลงในหม้อใบใหญ่ สามีถามเธอว่าทำไมจึงหั่นเนื้อเป็นสองส่วน เธอตอบว่า “เพราะเป็นวิธีที่แม่ของฉันทำ”

คำถามของสามีกระตุ้นความสงสัยของเธอ เธอจึงถามแม่เกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัตินี้ เธอตกใจเมื่อรู้ว่าที่แม่หั่นเนื้อก็เพื่อให้พอดีกับหม้อใบเล็กใบเดียวที่เธอใช้ และเพราะลูกสาวมีหม้อใบใหญ่หลายใบ การหั่นเนื้อจึงไม่จำเป็น

ธรรมเนียมปฏิบัติมากมายเริ่มขึ้นจากความจำเป็นแต่สืบทอดต่อกันมาโดยปราศจากคำถาม มันจึงกลายเป็น “วิธีที่เราทำ” เป็นเรื่องตามธรรมชาติที่เราต้องการจะยึดธรรมเนียมปฏิบัติของมนุษย์ไว้ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟาริสีทำกันในสมัยนั้น พวกเขาจึงวุ่นวายใจด้วยสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ทางศาสนาข้อหนึ่งของพวกเขา (มก.7:1-5)

เมื่อพระเยซูตรัสกับพวกฟาริสีว่า “เจ้าทั้งหลายละธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกลับไปถือตามถ้อยคำของมนุษย์ที่เขาสอนต่อๆกันมานั้น” (ข้อ 8) พระองค์ได้สำแดงให้เห็นว่าธรรมเนียมปฏิบัติไม่ควรจะมาแทนที่สติปัญญาจากพระคัมภีร์ ความปรารถนาที่จะติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง (ข้อ 6-7) จะเน้นไปที่ทัศนคติในใจมากกว่าการกระทำภายนอก

เป็นความคิดที่ดีที่จะคอยประเมินธรรมเนียมปฏิบัติหรือทุกสิ่งที่เรายึดถืออย่างเคร่งครัดและทำตามอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยว่าจำเป็นอย่างแท้จริงควรจะนำมาใช้แทนที่ธรรมเนียมปฏิบัติเสมอ

สายตาใหม่

ฉันสวมแว่นตาใหม่ขณะก้าวเข้าไปในห้องนมัสการ ฉันนั่งลงและมองเห็นเพื่อนนั่งอยู่แถวเดียวกันที่อีกฝั่งหนึ่งของทางเดินในคริสตจักร ขณะที่ฉันโบกมือให้เธอ เธอดูใกล้และชัดมากๆเหมือนกับว่าฉันจะสามารถยื่นมือออกไปแตะเธอได้แม้ว่าเธอจะนั่งอยู่ไกลออกไปหลายเมตร ต่อมาเมื่อเราคุยกันหลังเลิกนมัสการ ฉันจึงได้รู้ว่าเธอนั่งอยู่ที่เดิมที่เคยนั่งเสมอมา เพียงแต่ฉันเห็นเธอได้ชัดขึ้นเพราะแว่นตาที่เพิ่งตัดมาใหม่

พระเจ้าผู้ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ทรงรู้ว่าชนชาติอิสราเอลที่ตกเป็นเชลยของบาบิโลนต้องมีสายตาใหม่ คือการมองเห็นใหม่ พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “ดูเถิดเรากำลังกระทำสิ่งใหม่...เราจะทำทางในถิ่นทุรกันดาร” (อสย.43:19) และถ้อยคำแห่งความหวังจากพระองค์ยังได้เตือนใจด้วยว่าพระองค์ทรง “สร้าง” พวกเขา “ไถ่” พวกเขา และจะอยู่กับพวกเขา พระองค์ทรงหนุนใจพวกเขาว่า “เจ้าเป็นของเรา” (ข้อ 1)

วันนี้ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับสิ่งใด พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถจัดเตรียมการมองเห็นที่ดีขึ้นให้กับคุณ เพื่อคุณจะทิ้งสิ่งเก่าไว้เบื้องหลังและมองหาสิ่งใหม่ โดยความรักของพระเจ้า (ข้อ 4) สิ่งใหม่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเรา คุณมองเห็นไหมว่าพระเจ้าทรงกำลังทำสิ่งใดในท่ามกลางความเจ็บปวดและพันธนาการของคุณ ให้เราสวมแว่นตาฝ่ายวิญญาณใหม่เพื่อจะมองเห็นสิ่งใหม่ที่พระเจ้าทรงกำลังทำ แม้ในยามที่เราตกอยู่ในความยากลำบาก

ยึดมั่นในสิ่งที่ดี

เมื่อเราจอดรถใกล้กับทุ่งโล่งและเดินตัดผ่านทุ่งนั้นไปยังบ้านของเรา เรามักจะมีดอกหญ้าเหนียวๆเกาะติดมาตามเสื้อผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูใบไม้ร่วง เจ้า “นักโบกรถเดินทาง” ตัวน้อยๆนี้จะติดตามเสื้อผ้า รองเท้า หรืออะไรก็ตามที่ผ่านไปมาและมันจะโดยสารไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป ซึ่งเป็นวิถีตามธรรมชาติในการแพร่กระจายเมล็ดของมันไปยังทุ่งหญ้าแถวนี้และทั่วทั้งโลก

ขณะที่ฉันพยายามค่อยๆแกะดอกหญ้าออก ฉันมักจะคิดถึงข้อความที่ตักเตือนผู้เชื่อในพระเยซูให้ “ยึดมั่นในสิ่งที่ดี” (รม.12:9) อาจเป็นเรื่องยากเมื่อเรากำลังพยายามที่จะรักผู้อื่น แต่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราให้ยึดมั่นในสิ่งที่ดีไว้อย่างเหนียวแน่น เราจะสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปและรักด้วย “ใจจริง” ในขณะที่พระองค์ทรงนำเรา (ข้อ 9)

เมล็ดของดอกหญ้านี้จะไม่ร่วงหล่นไปเพียงแค่ใช้มือปัดออก แต่มันจะติดแน่น และเมื่อเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ดี ระลึกถึงพระเมตตา พระกรุณา และคำสั่งของพระเจ้า โดยกำลังของพระองค์เราเองก็จะสามารถยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่เรารักได้อย่างเหนียวแน่น พระองค์ทรงช่วยให้เรา “รักกันฉันพี่น้อง” โดยไม่ลืมที่จะให้ความต้องการของผู้อื่นมาก่อนความต้องการของตัวเราเอง (ข้อ 10)

แม้ดอกหญ้าเหล่านั้นจะเป็นปัญหา แต่มันก็เตือนฉันให้ยึดโยงอยู่กับผู้อื่นด้วยความรัก และยึด “สิ่งที่ดี” ไว้ให้มั่นโดยกำลังของพระเจ้า (ข้อ 9; ดู ฟป.4:8-9)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา