ไม่กลัว
แทบทุกครั้งที่ทูตสวรรค์ปรากฏในพระคัมภีร์ คำแรกที่พูดคือ “อย่ากลัวเลย” (ดนล.10:12,19; มธ.28:5; วว.1:17) ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อสิ่งเหนือธรรมชาติมาปรากฏในโลกย่อมทำให้มนุษย์ที่พบเจอต้องก้มหน้า ด้วยความกลัวจนตัวสั่น แต่ลูกาเล่าถึงการที่พระเจ้าทรงมาปรากฏในโลกในรูปแบบที่เราไม่ตกใจกลัว คือพระกุมารเยซูผู้ทรงบังเกิดในโรงนาและบรรทมในรางหญ้า ทารกแรกเกิดย่อมไม่น่ากลัวเลย
รักษาความเชื่อ
เรามักจะคิดว่าความเชื่อเป็นสูตรวิเศษคือ ถ้าเรารวบรวมความเชื่อได้มากพอ เราจะร่ำรวย มีสุขภาพดี และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยจะได้รับทุกสิ่งที่เราอธิษฐานทูลขอ แต่ชีวิตไม่ได้เป็นไปตามสูตรสำเร็จแบบนั้น ข้อพิสูจน์หนึ่งคือ ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูได้เตือนให้เราตระหนักว่า “ความเชื่อแท้” เป็นอย่างไรโดยย้อนให้เห็นชีวิตของบุคคลแห่งความเชื่อในพระคัมภีร์เดิม (ฮีบรู 11)
ตาข่ายที่รองรับ
ผมเคยคิดว่าคำเทศนาบนภูเขา (มธ.5-7) เป็นพิมพ์เขียวสำหรับความประพฤติของมนุษย์ เป็นมาตรฐานที่ไม่มีใครทำตามได้ แต่ผมพลาดความหมายที่แท้จริงไป พระเยซูตรัสคำสอนเหล่านั้นไม่ใช่เพื่อให้เรารู้สึกอึดอัด แต่เพื่อบอกเราว่าพระเจ้าทรงเป็นอย่างไร
อีสเตอร์
สิ่งหนึ่งในเรื่องราววันอีสเตอร์ที่ทำให้ผมข้องใจคือ ทำไมพระเยซูจึงทรงเก็บรอยแผลเป็นจากการถูกตรึงไว้ พระองค์น่าจะทรงมีร่างกายหลังฟื้นจากตายแบบไหนก็ได้ แต่พระองค์ทรงเลือกร่างที่มีรอยแผลเป็น มองเห็นและสัมผัสได้ เพราะอะไร
จงนิ่งเสีย
หลายปีก่อน เมื่อผมตอบจดหมายภายในสองสัปดาห์ผู้รับก็สุขใจ แล้วจากนั้นเมื่อมีเครื่องโทรสารผู้รับพอใจเมื่อได้รับการตอบกลับภายในสองวัน ปัจจุบันมีอีเมล์ การส่งข้อความและโทรศัพท์มือถือ ทุกคนคาดหวังการตอบกลับในวันเดียว
เริ่มที่ต้นน้ำ
บ้านของผมตั้งอยู่ริมลำธารในหุบเขาใต้เงาภูเขาใหญ่ เมื่อหิมะละลายในฤดูใบไม้ผลิ และหลังฝนตกหนัก ลำธารนี้จะขยายใหญ่ขึ้น และไหลแรงเหมือนกับแม่น้ำ จนอาจทำให้คนจมน้ำ วันหนึ่งผมเดินตามลำธารนี้ไปจนถึงต้นน้ำ ซึ่งเป็นทุ่งหิมะบนยอดเขา จากที่นั่นหิมะที่ละลายเริ่มต้นการเดินทางอันยาวไกลลงจากภูเขา รวมตัวกับธารน้ำสายอื่นๆ จนกลายเป็นลำธารใต้บ้านของผม
ก้าวแรก
เมื่อวันก่อน เพื่อนคนหนึ่งเรียกให้ผมแวะฟังเรื่องที่น่าตื่นเต้น และใช้เวลา 10 นาทีอธิบายถึงการเดินครั้งแรกของหลานชายวัย 1 ขวบของเธอ เขาเดินได้แล้ว ผมมานึกทีหลังว่าถ้ามีคนได้ยินสิ่งที่เราคุยกันคงจะคิดว่าเราประหลาด คนส่วนมากก็เดินได้กันทั้งนั้น จะสำคัญอะไรนักหรือ
เซียนหมากรุก
สมัยมัธยม ผมภูมิใจกับความสามารถในการเล่นหมากรุกของตัวเอง ผมเข้าชมรมหมากรุกและช่วงพักเที่ยงผมจะไปนั่งกับเพื่อนๆ ช่วยกันวิเคราะห์หนังสือเกี่ยวกับหมากรุก ผมศึกษาเทคนิค ชนะเกือบทุกเกม และเลิกเล่นไป 20 ปี จนผมได้พบกับนักเล่นหมากรุกที่ฝึกฝนทักษะมาตลอดตั้งแต่มัธยม ผมจึงเข้าใจว่าการเล่นกับเซียนเป็นอย่างไร แม้ผมจะมีอิสระในการเดินหมากตามชอบใจ แต่กลยุทธ์ของผมแทบไม่มีความหมาย ทักษะที่เหนือกว่าของเขาทำให้ความตั้งใจของผมกลายเป็นเข้าแผนของเขาทุกครั้งไป
คนอย่างเรา
ปลายศตวรรษที่19 วิลเลียม แคร์รี่รู้สึกถึงการทรงเรียกให้เป็นมิชชันนารีในอินเดียเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู ศิษยาภิบาลรอบตัวเขาต่างเยาะเย้ยว่า “พ่อหนุ่ม ถ้าพระเจ้าต้องการช่วยอินเดีย พระองค์จะทรงทำโดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือของเรา” พวกเขาลืมเรื่องการเป็นหุ้นส่วนไป สิ่งที่พระเจ้าทรงทำในโลก มีน้อยมากที่ไม่ได้ทำผ่านคนอย่างเรา