ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Patricia Raybon

ระลึกถึงในคำอธิษฐาน

ที่โบสถ์ขนาดใหญ่ของชาวแอฟริกัน ศิษยาภิบาลทรุดตัวลงคุกเข่าอธิษฐานต่อพระเจ้า “โปรดระลึกถึงเรา!” ขณะที่เขาอธิษฐานอ้อนวอน ฝูงชนก็ตอบสนองโดยร้องว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดระลึกถึงเรา!” ตอนดูเหตุการณ์นี้จากยูทูป ฉันประหลาดใจที่ตัวเองก็ร้องไห้ตามไปด้วย คำอธิษฐานนี้ถูกบันทึกไว้เมื่อหลายเดือนก่อน แต่ทำให้ฉันย้อนนึกถึงช่วงวัยเด็กเมื่อได้ยินศิษยาภิบาลของครอบครัวเราวิงวอนต่อพระเจ้าในแบบเดียวกัน “ข้าแต่พระเจ้า โปรดระลึกถึงเรา!”

เมื่อได้ยินคำอธิษฐานนั้นตอนเป็นเด็ก ฉันเข้าใจผิดคิดว่าบางครั้งพระเจ้าคงจะลืมเรา แต่พระเจ้าทรงสัพพัญญู (สดด.147:5; 1 ยน.3:20) พระองค์ทอดพระเนตรดูเราอยู่เสมอ (สดด.33:13-15) และทรงรักเราเกินที่จะวัดได้ (อฟ.3:17-19)

ยิ่งไปกว่านั้น คำว่า ซากา ในภาษาฮีบรูแปลว่า “ระลึกถึง” เมื่อพระเจ้าทรงระลึกถึงเรา พระองค์จะกระทำการเพื่อเรา คำนี้ยังหมายถึงการกระทำในนามของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังนั้นเมื่อพระเจ้า “ระลึกถึง” โนอาห์กับ “บรรดาสัตว์ป่าและสัตว์ใช้งานที่อยู่กับโนอาห์ในนาวา” พระองค์จึง “ทรงทำให้ลมพัดมาเหนือแผ่นดิน น้ำก็ลดลง” (ปฐก.8:1) เมื่อพระเจ้า “ระลึกถึง” ราเชลที่เป็นหมัน จึงทรง “สดับฟังราเชล ทรงให้นางหายเป็นหมัน นางก็ตั้งครรภ์มีบุตรชาย” (30:22-23)

ช่างเป็นคำวิงวอนด้วยความไว้วางใจที่ยิ่งใหญ่เพื่อทูลขอพระเจ้าให้ระลึกถึงเรา! พระองค์จะตัดสินพระทัยเองว่าจะตอบอย่างไร อย่างไรก็ตามเราสามารถอธิษฐานโดยรู้ว่า คำทูลขอด้วยใจถ่อมของเราเป็นการขอที่ทำให้พระเจ้าทรงเคลื่อนไหว

ตัวตนที่แท้จริงของเรา

สิ่งแรกที่ชายคนนี้เลือกคือกล่องใส่อุปกรณ์ เขายืนอยู่ในร้านขายอุปกรณ์ตกปลาขนาดเล็กในเมือง ต่อมาเขาหยิบตะขอ ทุ่น เหยื่อปลอม เอ็น และตัวถ่วงน้ำหนักใส่ในรถเข็น ตบท้ายด้วยเหยื่อจริงและเลือกเบ็ดตกปลาคันใหม่กับรอก “เคยตกปลาไหมครับ” เจ้าของร้านถาม เขาตอบว่าไม่เคย “งั้นคุณควรซื้อนี่ด้วย” เจ้าของร้านบอก มันคือกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้น เขาเห็นด้วยและจ่ายเงิน แล้วเขาก็ได้เจอวันที่ตกไม่ได้อะไรเลย ยกเว้นได้แผลที่นิ้วมือจากเบ็ดและอุปกรณ์

นี่ไม่ใช่ปัญหาของซีโมนเปโตร ชาวประมงผู้มีประสบการณ์รู้สึกประหลาดใจในเช้าวันหนึ่งเมื่อพระเยซูบอกให้ถอยเรือไปที่น้ำลึกและ “หย่อนอวนลงจับปลา” (ลก.5:4) แม้จะจับอะไรไม่ได้ทั้งคืน ซีโมนและลูกเรือก็ยังหย่อนอวนลงและ “ล้อมปลาไว้เป็นอันมากจนอวนของเขากำลังปริ” ที่จริงแล้วเรือทั้งสองลำของเขาเริ่มจมลงจากการลากอวน (ข้อ 6)

เมื่อซีโมนเปโตรเห็นดังนั้นก็ “กราบลงที่พระชานุของพระเยซู” ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอเสด็จไปให้ห่างจากข้าพระองค์เถิด เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป” (ข้อ 8) แต่พระเยซูทรงรู้จักตัวตนที่แท้จริงของซีโมน พระองค์ตรัสกับสาวกคนนี้ว่า “ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน” เมื่อซีโมนได้ยินก็ “สละสิ่งสารพัดทิ้ง ตามพระองค์ไป” (ข้อ 10-11) เมื่อเราติดตามพระองค์ พระองค์ทรงช่วยให้รู้ว่าเราเป็นใครและได้รับการทรงเรียกให้ทำสิ่งใดในฐานะคนของพระองค์

คุณไม่ได้อยู่คนเดียว

“ดีใจมากที่ได้เจอคุณ!” “คุณด้วยนะ!” “ดีใจมากที่คุณมา!” การกล่าวทักทายดูอบอุ่นและเป็นมิตร สมาชิกของคริสตจักรในแคลิฟอร์เนียตอนใต้มารวมตัวกันผ่านระบบออนไลน์ก่อนการประชุมในช่วงค่ำ ขณะที่นักเทศน์โทรศัพท์เข้ามาจากรัฐโคโลราโด ฉันดูอย่างเงียบๆขณะคนอื่นๆรวมตัวกันผ่านวีดีโอคอล ฉันเป็นคนเก็บตัวและไม่รู้จักใคร ฉันจึงรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก แต่ทันทีที่หน้าจอเริ่มฉายภาพศิษยาภิบาลของฉัน อีกจอหนึ่งก็เริ่มฉายภาพเพื่อนเก่าในคริสตจักรที่เข้าร่วมประชุมออนไลน์ด้วย เมื่อเห็นพวกเขา ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงส่งกองหนุนมาให้

เอลียาห์ก็ไม่โดดเดี่ยวเช่นกัน แม้จะรู้สึกเหมือน “ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่” หลังต้องหลบหนีความโกรธแค้นของเยเซเบลและอาหับ (1 พกษ.19:10) หลังจากเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดารตลอดสี่สิบวันสี่สิบคืน เอลียาห์ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำบนภูเขาโฮเรบ แต่พระเจ้าทรงเรียกท่านให้กลับสู่การรับใช้ ตรัสว่า “จงกลับไปตามทางของเจ้าถึงถิ่นทุรกันดารดามัสกัส และเมื่อเจ้าไปถึงแล้ว เจ้าจงเจิมฮาซาเอลไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือประเทศซีเรีย และเยฮูบุตรนิมซีนั้น เจ้าจงเจิมให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และเอลีชาบุตรชาฟัดชาวอาเบลเมโฮลาห์ เจ้าจงเจิมตั้งไว้ให้เป็นผู้เผยพระวจนะแทนเจ้า” (ข้อ 15-16)

แล้วพระเจ้าทรงให้หลักประกันกับท่านว่า “แต่เราจะเหลือเจ็ดพันคนไว้ในอิสราเอล คือทุกเข่าซึ่งมิได้น้อมลงต่อพระบาอัล และทุกปากซึ่งมิได้จูบรูปนั้น” (ข้อ 18) เช่นเดียวกับที่เอลียาห์ได้เรียนรู้ว่า ขณะรับใช้พระเจ้านั้นเราไม่ได้รับใช้ตามลำพัง พระเจ้าทรงนำความช่วยเหลือมาให้ เพื่อพวกเราจะรับใช้พระองค์ร่วมกัน

ถึงเวลาพูด

เป็นเวลานาน 30 ปีที่สตรีชาวแอฟริกันอเมริกันคนหนึ่งทำงานอย่างสัตย์ซื่อในองค์กรพันธกิจระดับโลก แต่เมื่อเธอพยายามพูดกับเพื่อนร่วมงานหลายคนเรื่องความอยุติธรรมด้านเชื้อชาติ เธอกลับพบความเงียบ ในที่สุดในฤดูใบไม้ผลิปี 2020 เมื่อมีการถกประเด็นในเรื่องการเหยียดผิวทั่วโลก เพื่อนร่วมพันธกิจของเธอหลายคน “เริ่มพูดอย่างเปิดเผย” แม้จะมีความรู้สึกที่หลากหลายและเจ็บปวด เธอก็รู้สึกขอบคุณที่การพูดคุยได้เริ่มต้นขึ้น แต่ยังคงสงสัยว่าเหตุใดเพื่อนของเธอถึงรอนานเพียงนี้จึงจะยอมพูด

ความเงียบอาจเป็นสิ่งดีในบางสถานการณ์ เหมือนที่กษัตริย์ซาโลมอนเขียนในพระธรรมปัญญาจารย์ว่า “มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์...มีวาระนิ่งเงียบ และวาระพูด” (ปญจ.3:1,7)

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญกับอคติและความอยุติธรรม ความเงียบรังแต่จะทำให้รุนแรงและเจ็บปวด มาร์ติน นีโมเลอร์ ศิษยาภิบาลนิกายลูเธอร์แรน (ถูกจำคุกในเยอรมันยุคนาซีเพราะพูดแสดงความเห็น) สารภาพถึงเรื่องนี้ในบทกวีที่เขาเขียนหลังสงคราม “ตอนแรกพวกเขามาจับพวกคอมมิวนิสต์” เขาเขียน “แต่ผมไม่ได้พูดอะไรเพราะผมไม่ใช่คอมมิวนิสต์” เขาเขียนอีกว่า “ต่อมาพวกเขามาจับ” ชาวยิว คาทอลิก และคนอื่นๆ “แต่ผมก็ไม่ได้พูดคัดค้าน” ในที่สุด “พวกเขามาจับผม และเมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่เหลือใครที่จะพูดเพื่อผมแล้ว”

ต้องอาศัยความกล้าหาญและความรักที่จะพูดคัดค้านความอยุติธรรม แต่โดยแสวงหาการช่วยเหลือจากพระเจ้า เราจะตระหนักว่าขณะนี้ถึงเวลาที่ต้องพูด

ย้ายรั้วของคุณ

ผู้รับใช้พระเจ้าประจำหมู่บ้านนอนไม่หลับ ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองรุนแรงขึ้น ท่านบอกกับทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่งว่าพวกเขาฝังศพเพื่อนทหารในเขตรั้วสุสานข้างโบสถ์ไม่ได้ เพราะที่นั่นอนุญาตให้เฉพาะสมาชิกคริสตจักรเท่านั้น ทหารกลุ่มนั้นจึงฝังร่างเพื่อนที่พวกเขารักไว้นอกรั้ว

แต่เช้าวันต่อมา พวกทหารหาหลุมศพไม่พบ “หลุมศพหายไปแล้ว เกิดอะไรขึ้น” ทหารคนหนึ่งไปบอกผู้รับใช้พระเจ้า “อ๋อ มันยังอยู่ตรงนั้น” ทหารรู้สึกงงงวยแต่ท่านอธิบายว่า “ผมเสียใจที่ปฏิเสธพวกคุณ เมื่อคืนผมเลยลุกขึ้นมาย้ายรั้ว”

พระเจ้าอาจประทานมุมมองใหม่สำหรับสถานการณ์ที่ท้าทายในชีวิตเราเช่นกัน หากเรามองหามัน นี่คือสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บอกแก่ชนชาติอิสราเอลที่ถูกกดขี่ข่มเหง แทนที่จะมองอดีตและถวิลหาการช่วยกู้ที่ทะเลแดง พวกเขาต้องเปลี่ยนมุมมองและดูว่าพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งอัศจรรย์ใหม่และเปิดหนทางเดินใหม่ที่สว่างไสว “อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่า ดูเถิด เรากำลังกระทำสิ่งใหม่” (อสย.43:18-19) พระองค์ทรงเป็นแหล่งแห่งความหวังท่ามกลางความสงสัยและการต่อสู้ “เราให้น้ำในถิ่นทุรกันดาร ให้แม่น้ำในที่แห้งแล้ง เพื่อให้น้ำดื่มแก่ชนชาติผู้เลือกสรรของเรา” (ข้อ 20)

เมื่อเรามีมุมมองใหม่ เราจะมองเห็นการทรงนำใหม่ของพระเจ้าในชีวิตเรา ขอให้เรามองด้วยสายตาใหม่เพื่อจะเห็นหนทางเดินใหม่ของพระองค์ จากนั้นให้เรากล้าที่จะก้าวเท้าลงไปบนแผ่นดินใหม่และติดตามพระองค์ด้วยใจกล้าหาญ

จากปัญญาสู่ความชื่นชมยินดี

มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและฉันรับสายในทันที คนที่โทรมาเป็นสมาชิกที่อายุมากที่สุดในครอบครัวคริสตจักรของเรา เธอเป็นผู้หญิงที่ขยันและมีชีวิตชีวาซึ่งอายุเกือบร้อยปีแล้ว เธอกำลังปรับแก้หนังสือเล่มล่าสุดของเธอเป็นรอบสุดท้าย เธอมีคำถามเกี่ยวกับการเขียนเพื่อช่วยให้เธอทำงานชิ้นนี้สำเร็จ แต่เช่นเดียวกับทุกครั้ง ไม่นานฉันก็ถามคำถามเธอกลับถึงเรื่องชีวิต การงาน ความรัก ครอบครัว บทเรียนจากชีวิตยาวนานของเธอเต็มไปด้วยสติปัญญา เธอบอกฉันว่า “ช้าลงหน่อย” ไม่นานเราก็หัวเราะออกมาเพราะบางทีเธอก็ลืมทำเช่นนั้นเรื่องราวอันยอดเยี่ยมของเธอล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีที่แท้จริง

พระคัมภีร์สอนว่าปัญญานำไปสู่ความชื่นชมยินดี “มนุษย์ผู้ประสบปัญญาและผู้ได้ความเข้าใจ เป็นสุขจริงหนอ” (สภษ.3:13) เราพบว่าหนทางนี้คือจากปัญญาสู่ความชื่นชมยินดีนั้นเป็นหลักธรรมตามพระคัมภีร์โดยแท้จริง “เพราะปัญญาจะเข้ามาในใจของเจ้า และความรู้จะเป็นที่ร่มรื่นแก่วิญญาณจิตของเจ้า” (สภษ.2:10) “พระเจ้าประทานสติปัญญา ความรู้ และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์ทรงพอพระทัย” (ปญจ.2:26) ปัญญา “เป็นทางของความร่มรื่น” สภษ.3:17

ซี.เอส.ลูอิสกล่าวถึงมุมมองในเรื่องชีวิตว่า “ความชื่นชมยินดีเป็นเรื่องที่จริงจังมากในสวรรค์” แต่หนทางที่ไปนั้นปูไว้ด้วยสติปัญญา เพื่อนในคริสตจักรผู้กำลังเข้าสู่วัย 107 ปีของฉันคงคิดเหมือนกัน เธอได้ก้าวเดินด้วยสติปัญญาและความชื่นชมยินดีเพื่อไปเฝ้าองค์กษัตริย์

เชื่อพระคัมภีร์

บิลลี่ เกรแฮมนักประกาศชื่อดังชาวอเมริกันเล่าให้ฟังว่า เขาเคยมีปัญหากับการยอมรับว่าพระคัมภีร์เป็นจริงทั้งหมด คืนหนึ่งขณะที่เขาเดินอยู่ลำพังใต้แสงจันทร์ที่ค่ายรีทรีตในเทือกเขาซานเบอร์นาดิโน เขาทรุดตัวลงคุกเข่าและวางพระคัมภีร์บนตอไม้ ทำได้เพียงอธิษฐานอย่าง “ตะกุกตะกัก” ว่า “โอ พระเจ้า มีหลายเรื่องในพระคัมภีร์ที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ”

เมื่อสารภาพความสับสนของตัวเอง เกรแฮมกล่าวว่าในที่สุดพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรง “ปลดปล่อยผมให้พูดได้ว่า ‘พระบิดา ข้าพระองค์จะยอมรับพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระองค์ด้วยความเชื่อ!’” เมื่อเขายืนขึ้น เขายังมีคำถามอยู่ แต่เขากล่าวว่า “ผมรู้ว่าการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของผมได้ถูกจัดการและได้รับชัยชนะแล้ว”

เยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะหนุ่มต้องต่อสู้ในฝ่ายวิญญาณเช่นกัน แต่ท่านแสวงหาคำตอบในพระคัมภีร์อยู่เสมอ “เมื่อ​พบ​พระ​วจนะ​ของ​พระ​องค์​แล้ว​ข้า​พระ​องค์​ก็​กิน​เสีย ​พระ​วจนะ​ของ​พระ​องค์​เป็น​ความ​ชื่น​บาน​แก่​ข้า​พระ​องค์ และ​เป็น​ความ​ปีติ​ยินดี​แห่ง​จิตใจ​ของ​ข้า​พระ​องค์” (ยรม.15:16) ท่านประกาศว่า “​พระ​วจนะ​ของ​พระ​เจ้า​...​ก็​มี​สิ่ง​ใน​ใจ​ของ​ข้า​พระ​องค์​เหมือน​ไฟ​ไหม้ อัด​อยู่​ใน​กระดูก​ของ​ข้า​พระ​องค์” (20:8-9) ชาร์ลส์ สเปอร์เจียน นักประกาศในสมัยศตวรรษที่ 19 เขียนว่า “[เยเรมีย์]บอกความลับแก่เรา ชีวิตภายนอกโดยเฉพาะพันธกิจอันสัตย์ซื่อของท่านนั้นมาจากความรักภายในที่มีต่อพระวจนะที่ท่านเทศนา”

เราเองก็สามารถปรับเปลี่ยนชีวิตของเราผ่านสติปัญญาจากพระคัมภีร์ได้แม้เราจะมีข้อสงสัย เรายังคงศึกษาต่อไปได้ด้วยความเชื่อเช่นที่เราเคยทำเสมอมา

ให้อภัยก่อน

พวกเราเรียกตัวเองว่า “พี่น้องในพระคริสต์” แต่ฉันกับเพื่อนผิวขาวของฉันทำตัวเหมือนเป็นศัตรูกัน เช้าวันหนึ่งขณะทานอาหารเช้าที่ร้านกาแฟ เราโต้เถียงกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับมุมมองทางเชื้อชาติที่ต่างกัน เมื่อเราแยกกันวันนั้น ฉันปฏิญาณว่าจะไม่พบกับเธออีก อย่างไรก็ตามหนึ่งปีต่อมาเราทั้งสองคนได้รับการว่าจ้างจากองค์กรเดียวกัน และต้องทำงานในแผนกเดียวกันซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบกัน ในช่วงแรกเราต่างรู้สึกประดักประเดิดที่จะพูดถึงความขัดแย้งของเรา จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป พระเจ้าทรงช่วยเราให้ขอโทษกัน และทรงรักษาและทำให้เราร่วมกันรับใช้อย่างดีที่สุด

พระเจ้าทรงเยียวยาความแตกแยกอันขมขื่นระหว่างเอซาวและยาโคบน้องชายฝาแฝด และทรงอวยพรชีวิตของพวกเขา ยาโคบจอมเจ้าเล่ห์ได้ขโมยพร ของพ่อไปจากเอซาว แต่ยี่สิบปีต่อมาพระเจ้าทรงเรียกยาโคบให้กลับมาบ้านเกิด ยาโคบจึงส่งของกำนัลล่วงหน้าเพื่อระงับโทสะของเอซาว “แต่เอซาววิ่งออกไปต้อนรับ กอดและซบหน้าลงที่คอจุบเขา ต่างก็ร้องไห้” (ปฐก.33:4)

การกลับมาพบกันของพวกเขาถือเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการที่พระเจ้าทรงแนะนำให้เราคืนดีกับพี่น้องก่อนที่เราจะถวายความสามารถหรือทรัพย์สินให้พระองค์ (มธ.5:23-24) จง “กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน” (ข้อ 24) ยาโคบเชื่อฟังพระเจ้าโดยคืนดีกับเอซาวก่อนที่จะสร้างแท่นบูชาเพื่อพระเจ้า (ปฐก.33:20) ช่างเป็นขั้นตอนที่งดงาม เริ่มต้นด้วยการให้อภัยและคืนดีกัน จากนั้นที่แท่นบูชา พระเจ้าทรงยอมรับเรา

เบ่งบานเพื่อพระเยซู

ฉันไม่ได้พูดความจริงเรื่องดอกทิวลิป ซึ่งเป็นของขวัญจากลูกสาวคนเล็ก เธอนำหน่อทิวลิปจากอัมสเตอร์ดัมกลับมาสหรัฐอเมริกาหลังจากเธอไปเที่ยวที่นั่น ฉันแสดงท่าทางตื่นเต้นเมื่อได้รับ เหมือนที่ฉันตื่นเต้นที่ได้เจอเธออีก แต่ทิวลิปเป็นดอกไม้ที่ฉันชอบน้อยที่สุด มันออกดอกและร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว อากาศของเดือนกรกฎาคมในเวลานั้นร้อนเกินกว่าที่จะปลูกได้

ที่สุดแล้วในตอนปลายเดือนกันยายน ฉันปลูกหน่อทิวลิปของ “ลูกสาว” เพราะคิดถึงเธอด้วยความรัก ทุกครั้งที่พรวนดินแข็งๆ ฉันกังวลว่ามันจะงอกไหม เมื่อเกลี่ยดินบนแปลงครั้งสุดท้าย ฉันกล่าวอวยพรว่า “หลับให้สบายนะ” ด้วยหวังว่าจะเห็นทิวลิปเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ

โครงการเล็กๆ ของฉันกลายเป็นเครื่องเตือนใจอย่างถ่อมตัวถึงการทรงเรียกจากพระเจ้าให้เรารักซึ่งกันและกัน แม้เราจะไม่ใช่ “คนโปรด” ของอีกฝ่าย เมื่อมองข้ามความผิดที่เป็นเหมือน “วัชพืช” ของกันและกัน เราก็สามารถรักผู้อื่นได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าแม้ในฤดูที่อากาศแปรปรวน เมื่อเวลาผ่านไป ความรักซึ่งกันและกันก็จะเบ่งบานโดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเป็นเช่นไร “ดังนี้แหละ” พระเยซูตรัส “คนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา” (ข้อ 35) เมื่อพระองค์ทรงตัดแต่งกิ่ง เราก็ได้รับการอวยพรให้เบ่งบาน เช่นเดียวกับที่ดอกทิวลิปของฉันเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิถัดมา สุดสัปดาห์เดียวกันนั้นลูกสาวของฉันก็แวะมาเยี่ยม ฉันบอกเธอว่า “ดูสิว่าอะไรกำลังเบ่งบาน!” และสิ่งที่เบ่งบานในท้ายที่สุดแล้วก็คือ ตัวฉันเอง

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา