เชื่อพระคัมภีร์
บิลลี่ เกรแฮมนักประกาศชื่อดังชาวอเมริกันเล่าให้ฟังว่า เขาเคยมีปัญหากับการยอมรับว่าพระคัมภีร์เป็นจริงทั้งหมด คืนหนึ่งขณะที่เขาเดินอยู่ลำพังใต้แสงจันทร์ที่ค่ายรีทรีตในเทือกเขาซานเบอร์นาดิโน เขาทรุดตัวลงคุกเข่าและวางพระคัมภีร์บนตอไม้ ทำได้เพียงอธิษฐานอย่าง “ตะกุกตะกัก” ว่า “โอ พระเจ้า มีหลายเรื่องในพระคัมภีร์ที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ”
เมื่อสารภาพความสับสนของตัวเอง เกรแฮมกล่าวว่าในที่สุดพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรง “ปลดปล่อยผมให้พูดได้ว่า ‘พระบิดา ข้าพระองค์จะยอมรับพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระองค์ด้วยความเชื่อ!’” เมื่อเขายืนขึ้น เขายังมีคำถามอยู่ แต่เขากล่าวว่า “ผมรู้ว่าการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของผมได้ถูกจัดการและได้รับชัยชนะแล้ว”
เยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะหนุ่มต้องต่อสู้ในฝ่ายวิญญาณเช่นกัน แต่ท่านแสวงหาคำตอบในพระคัมภีร์อยู่เสมอ “เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้วข้าพระองค์ก็กินเสีย พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์ และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์” (ยรม.15:16) ท่านประกาศว่า “พระวจนะของพระเจ้า...ก็มีสิ่งในใจของข้าพระองค์เหมือนไฟไหม้ อัดอยู่ในกระดูกของข้าพระองค์” (20:8-9) ชาร์ลส์ สเปอร์เจียน นักประกาศในสมัยศตวรรษที่ 19 เขียนว่า “[เยเรมีย์]บอกความลับแก่เรา ชีวิตภายนอกโดยเฉพาะพันธกิจอันสัตย์ซื่อของท่านนั้นมาจากความรักภายในที่มีต่อพระวจนะที่ท่านเทศนา”
เราเองก็สามารถปรับเปลี่ยนชีวิตของเราผ่านสติปัญญาจากพระคัมภีร์ได้แม้เราจะมีข้อสงสัย เรายังคงศึกษาต่อไปได้ด้วยความเชื่อเช่นที่เราเคยทำเสมอมา
ให้อภัยก่อน
พวกเราเรียกตัวเองว่า “พี่น้องในพระคริสต์” แต่ฉันกับเพื่อนผิวขาวของฉันทำตัวเหมือนเป็นศัตรูกัน เช้าวันหนึ่งขณะทานอาหารเช้าที่ร้านกาแฟ เราโต้เถียงกันอย่างรุนแรงเกี่ยวกับมุมมองทางเชื้อชาติที่ต่างกัน เมื่อเราแยกกันวันนั้น ฉันปฏิญาณว่าจะไม่พบกับเธออีก อย่างไรก็ตามหนึ่งปีต่อมาเราทั้งสองคนได้รับการว่าจ้างจากองค์กรเดียวกัน และต้องทำงานในแผนกเดียวกันซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบกัน ในช่วงแรกเราต่างรู้สึกประดักประเดิดที่จะพูดถึงความขัดแย้งของเรา จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป พระเจ้าทรงช่วยเราให้ขอโทษกัน และทรงรักษาและทำให้เราร่วมกันรับใช้อย่างดีที่สุด
พระเจ้าทรงเยียวยาความแตกแยกอันขมขื่นระหว่างเอซาวและยาโคบน้องชายฝาแฝด และทรงอวยพรชีวิตของพวกเขา ยาโคบจอมเจ้าเล่ห์ได้ขโมยพร ของพ่อไปจากเอซาว แต่ยี่สิบปีต่อมาพระเจ้าทรงเรียกยาโคบให้กลับมาบ้านเกิด ยาโคบจึงส่งของกำนัลล่วงหน้าเพื่อระงับโทสะของเอซาว “แต่เอซาววิ่งออกไปต้อนรับ กอดและซบหน้าลงที่คอจุบเขา ต่างก็ร้องไห้” (ปฐก.33:4)
การกลับมาพบกันของพวกเขาถือเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการที่พระเจ้าทรงแนะนำให้เราคืนดีกับพี่น้องก่อนที่เราจะถวายความสามารถหรือทรัพย์สินให้พระองค์ (มธ.5:23-24) จง “กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน” (ข้อ 24) ยาโคบเชื่อฟังพระเจ้าโดยคืนดีกับเอซาวก่อนที่จะสร้างแท่นบูชาเพื่อพระเจ้า (ปฐก.33:20) ช่างเป็นขั้นตอนที่งดงาม เริ่มต้นด้วยการให้อภัยและคืนดีกัน จากนั้นที่แท่นบูชา พระเจ้าทรงยอมรับเรา
เบ่งบานเพื่อพระเยซู
ฉันไม่ได้พูดความจริงเรื่องดอกทิวลิป ซึ่งเป็นของขวัญจากลูกสาวคนเล็ก เธอนำหน่อทิวลิปจากอัมสเตอร์ดัมกลับมาสหรัฐอเมริกาหลังจากเธอไปเที่ยวที่นั่น ฉันแสดงท่าทางตื่นเต้นเมื่อได้รับ เหมือนที่ฉันตื่นเต้นที่ได้เจอเธออีก แต่ทิวลิปเป็นดอกไม้ที่ฉันชอบน้อยที่สุด มันออกดอกและร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว อากาศของเดือนกรกฎาคมในเวลานั้นร้อนเกินกว่าที่จะปลูกได้
ที่สุดแล้วในตอนปลายเดือนกันยายน ฉันปลูกหน่อทิวลิปของ “ลูกสาว” เพราะคิดถึงเธอด้วยความรัก ทุกครั้งที่พรวนดินแข็งๆ ฉันกังวลว่ามันจะงอกไหม เมื่อเกลี่ยดินบนแปลงครั้งสุดท้าย ฉันกล่าวอวยพรว่า “หลับให้สบายนะ” ด้วยหวังว่าจะเห็นทิวลิปเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ
โครงการเล็กๆ ของฉันกลายเป็นเครื่องเตือนใจอย่างถ่อมตัวถึงการทรงเรียกจากพระเจ้าให้เรารักซึ่งกันและกัน แม้เราจะไม่ใช่ “คนโปรด” ของอีกฝ่าย เมื่อมองข้ามความผิดที่เป็นเหมือน “วัชพืช” ของกันและกัน เราก็สามารถรักผู้อื่นได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าแม้ในฤดูที่อากาศแปรปรวน เมื่อเวลาผ่านไป ความรักซึ่งกันและกันก็จะเบ่งบานโดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเป็นเช่นไร “ดังนี้แหละ” พระเยซูตรัส “คนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา” (ข้อ 35) เมื่อพระองค์ทรงตัดแต่งกิ่ง เราก็ได้รับการอวยพรให้เบ่งบาน เช่นเดียวกับที่ดอกทิวลิปของฉันเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิถัดมา สุดสัปดาห์เดียวกันนั้นลูกสาวของฉันก็แวะมาเยี่ยม ฉันบอกเธอว่า “ดูสิว่าอะไรกำลังเบ่งบาน!” และสิ่งที่เบ่งบานในท้ายที่สุดแล้วก็คือ ตัวฉันเอง
วิธีในการชำระล้าง
เด็กน้อยสองคนร้องเพลง “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” อย่างสนุกสนานคนละสองรอบขณะล้างมือที่อ่าง “ต้องใช้เวลานานเท่านี้นะถึงจะล้างเชื้อโรคได้หมด” แม่บอกพวกเขา พวกเขาได้เรียนรู้ว่าต้องใช้เวลาในการล้างสิ่งสกปรกออกจากมือก่อนเกิดโรคระบาดโควิด 19 เสียอีก
เราเรียนรู้จากโรคระบาดว่าการรักษาความสะอาดเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลา การกำจัดบาปก็เป็นขั้นตอนที่ต้องทำเพื่อกลับไปหาพระเจ้าเช่นกัน
ยากอบหนุนใจผู้เชื่อในพระเยซูที่กระจายอยู่ทั่วอาณาจักรโรมันให้หันกลับมาจดจ่อที่พระเจ้า ชีวิตพวกเขาเต็มไปด้วยการทะเลาะและต่อสู้กันเพื่อจะเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า ได้ครอบครอง ได้ความพึงพอใจของโลกนี้ มีเงินและเป็นที่ยอมรับซึ่งทำให้พวกเขาเป็นศัตรูต่อพระเจ้า ยากอบเตือนให้ “น้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมารและมันจะหนีท่านไป...คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจ จงชำระใจของตนให้บริสุทธิ์” (ยก.4:7-8) แต่จะทำได้อย่างไร
“จงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน” (ข้อ 8) นี่คือถ้อยคำแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ที่อธิบายถึงความจำเป็นในการหันกลับมาหาพระเจ้าเพื่อจะขจัดเอาเศษดินแห่งความบาปออกไปจากชีวิตเรา จากนั้นยากอบอธิบายวิธีในการชำระล้างว่า “จงเป็นทุกข์โศกเศร้าและร้องไห้ จงให้การหัวเราะกลับกลายเป็นการโศกเศร้า และความปีติยินดีกลับกลายเป็นความเศร้าสลด ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น” (ข้อ 9-10)
การรับมือกับความบาปของเรานั้นคือการถ่อมใจ แต่ฮาเลลูยา เพราะพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะเปลี่ยน “การชำระล้าง” ของเราให้กลายเป็นการนมัสการ
พระองค์ทรงสู้เพื่อคุณ
ม้าที่ได้รับบาดเจ็บถูกตั้งชื่อว่าดรัมเมอร์บอย มันเป็นหนึ่งในม้า 112 ตัวที่พาทหารอังกฤษเข้าสู่สนามรบในเหตุการณ์การบุกโจมตีของกองพลทหารม้าเบาที่มีชื่อเสียง ม้าเหล่านี้ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและทรหดจนทำให้พันโทเดอซาลิสผู้บัญชาการกองทัพตัดสินใจว่า ม้าของเขาสมควรได้รับเหรียญกล้าหาญเฉกเช่นทหารหาญ แม้จะพ่ายแพ้ในสนามรบแต่พวกเขายังได้รับการยกย่อง ทหารม้าผู้กล้ากับม้าที่กล้าหาญได้ก่อให้เกิดเป็นเหตุการณ์การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกองทัพอังกฤษซึ่งยังคงเฉลิมฉลองกันจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามการเผชิญหน้าครั้งนั้นแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาจากสุภาษิตโบราณในพระคัมภีร์ “ม้าก็เตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับวันสงคราม แต่ความมีชัยเป็นของพระเจ้า” (สภษ.21:31) พระคัมภีร์ได้ยืนยันหลักการนี้อย่างชัดเจน “เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเสด็จไปกับท่าน ทรงต่อสู้ศัตรูของท่านเพื่อท่าน จะประทานชัยชนะแก่ท่าน” (ฉธบ.20:4) ยิ่งกว่านั้นทรงมีชัยเหนือเหล็กไนแห่งความตาย ตามที่อัครทูตเปาโลได้เขียนไว้ “สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา” (1 คร.15:56-57)
เมื่อรู้เช่นนี้หน้าที่ของเราคือเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทดสอบที่ยากลำบากของชีวิต เพื่อสร้างพันธกิจเราต้องเรียน ทำงานและอธิษฐาน เพื่อจะสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงาม เราต้องมีความชำนาญ เพื่อจะพิชิตยอดเขาเราต้องตรวจสอบอุปกรณ์และฝึกร่างกายให้แข็งแกร่ง เมื่อทุกอย่างพร้อมเราจะเป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยโดยความรักที่แข็งแกร่งของพระเยซูคริสต์
ทรงรู้จักชื่อของคุณ
สามปีหลังจากที่ไม่ได้ไปคริสตจักรที่เราเคยไปเป็นประจำ ฉันและสามีกลับมาร่วมสามัคคีธรรมกับพวกเขาอีกครั้ง แต่พวกเขาจะปฏิบัติต่อเราอย่างไร พวกเขาจะยินดีต้อนรับเราไหม จะรักเราไหม จะยกโทษที่เราจากไปไหม เราได้คำตอบในเช้าวันอาทิตย์ที่สดใส ขณะเดินเข้าทางประตูบานใหญ่ของคริสตจักร เราได้ยินชื่อของเราซ้ำๆ “แพท! แดน! ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอคุณ!” เป็นจริงตามที่นักเขียนหนังสือสำหรับเด็ก เคท ดิคามิลโล เขียนไว้ในหนังสือที่โด่งดังเล่มหนึ่งว่า “ท่านผู้อ่าน ในโลกอันน่าเศร้านี้ ไม่มีสิ่งใดหวานหูไปกว่าเสียงของคนที่คุณรักเรียกชื่อคุณ”
คำยืนยันนี้เป็นจริงสำหรับชนชาติอิสราเอล เราเลือกเปลี่ยนไปคริสตจักรอื่นแต่ชนอิสราเอลหันหลังให้พระเจ้า กระนั้นพระเจ้าก็ยังทรงต้อนรับพวกเขากลับมา พระองค์ส่งผู้เผยพระวจนะอิสยาห์มายืนยันกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลยเพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว เราได้เรียกเจ้าตามชื่อ เจ้าเป็นของเรา” (อสย.43:1)
ในโลกนี้ เราอาจรู้สึกว่าไม่มีใครมองเห็น ชื่นชม หรือรู้จักเรา แต่จงมั่นใจว่าพระเจ้าทรงรู้จักชื่อของเราทุกคน ทรงสัญญาว่า “เจ้าประเสริฐในสายตาของเรา และได้รับเกียรติ” (ข้อ 4) “เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำเราจะอยู่กับเจ้า เมื่อข้ามแม่น้ำน้ำจะไม่ท่วมเจ้า” (ข้อ 2) คำสัญญานี้ไม่ใช่เพื่อชาวอิสราเอลเท่านั้น พระเยซูทรงมอบชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่เรา พระองค์ทรงรู้จักชื่อของเรา เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเราเป็นของพระองค์โดยความรัก
ความรักที่กล้าหาญ
อนุศาสกทั้งสี่ไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะ “วีรบุรุษ” แต่ในค่ำคืนที่เย็นยะเยือกของเดือนกุมภาพันธ์ปี 1943 เมื่อเรือเอสเอส ดอร์เชสเตอร์ที่พวกเขาโดยสารมาถูกยิงด้วยตอปิโดที่นอกชายฝั่งกรีนแลนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสี่คนพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยลูกเรือหลายร้อยที่ตื่นตระหนกให้สงบลง เมื่อเรือค่อยๆจมและผู้บาดเจ็บกระโดดลงเรือชูชีพที่คนแน่นจนล้น อนุศาสกทั้งสี่สงบความโกลาหลด้วยการ “เทศนาเรื่องความกล้าหาญด้วยการกระทำ” ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งกล่าว
เมื่อเสื้อชูชีพหมด ทั้งสี่คนถอดชูชีพของตนออกมอบให้ชายหนุ่มที่หวาดกลัว พวกเขาตั้งใจจมลงไปพร้อมกับเรือเพื่อให้ผู้อื่นรอด ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งกล่าวว่า “เป็นสิ่งดีงามที่สุดที่ผมเคยเห็นหรือหวังจะได้เห็นจากฟากนี้ของสวรรค์”
อนุศาสกเกี่ยวแขนกันเมื่อเรือเริ่มจมและอธิษฐานร่วมกันด้วยเสียงอันดังเพื่อให้กำลังใจแก่คนที่จะจากไปพร้อมพวกเขา
เรื่องราวของพวกเขาโดดเด่นในแง่ความกล้าหาญ แต่ความรักคือของขวัญที่พวกเขามอบให้ เปาโลเรียกร้องให้ผู้เชื่อทุกคนมีความรักเช่นนี้ รวมถึงคริสตจักรในโครินธ์ที่ถูกพายุกระหน่ำด้วย ท่ามกลางความขัดแย้ง การคอร์รัปชั่นและความบาป เปาโลหนุนใจให้พวกเขา “ระมัดระวัง จงมั่นคงในความเชื่อของท่าน จงเป็นลูกผู้ชายแท้ จงเข้มแข็ง” (1 คร.16:13) และท่านเสริมว่า “ทุกสิ่งซึ่งท่านกระทำนั้น จงกระทำด้วยความรัก” (ข้อ 14)
เป็นคำสั่งที่ดีสำหรับผู้เชื่อพระเยซูทุกคน โดยเฉพาะในยามวิกฤติ ในชีวิต เมื่อความไม่สงบคุกคามชีวิต การตอบสนองที่กล้าหาญที่สุดของเราจะสะท้อนถึงพระคริสต์ คือการมอบความรักของพระองค์ให้กับผู้อื่น
ถึงฝั่งอย่างปลอดภัย
ในปาปัวนิวกินี ชนเผ่าคานดาสรอคอยการมาถึงของพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ที่จัดพิมพ์เป็นภาษาของพวกเขาด้วยความตื่นเต้น แต่การจะไปถึงหมู่บ้านได้ คนที่เอาพระคัมภีร์ไปต้องเดินทางด้วยเรือเล็กผ่านมหาสมุทร
อะไรทำให้พวกเขามีความกล้าที่จะเดินทางข้ามทะเลใหญ่ ความสามารถในการเดินเรือหรือ ก็ใช่ แต่พวกเขาก็รู้ด้วยว่าใครคือผู้ทรงสร้างทะเล พระองค์คือผู้เดียวที่ทรงนำเราแต่ละคนข้ามผ่านระลอกคลื่นและน่านน้ำลึกแห่งชีวิต
ตามที่ดาวิดเขียนไว้ว่า “ข้าพระองค์จะไปไหน ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้” (สดด.139:7) “ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่นถ้าข้าพระองค์จะ...อาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้” (ข้อ 8-10)
ถ้อยคำเหล่านี้น่าจะแตะใจชนเผ่าคานดาสผู้อาศัยอยู่บนเกาะในบริเวณชายฝั่งเขตร้อนที่มีป่าฝนทึบและภูเขาหินซึ่งถูกขนานนามว่า “ดินแดนสุดท้ายที่โลกไม่รู้จัก” แต่กระนั้นผู้เชื่อที่นั่นและในทุกแห่งหนรู้ว่า ไม่มีที่ใดหรือปัญหาใดที่ไกลเกินไปสำหรับพระเจ้า สดุดี 139:12 กล่าวว่า “สำหรับพระองค์ แม้ความมืดก็ไม่มืด กลางคืนก็แจ้งอย่างกลางวัน ความมืดเป็นอย่างความสว่าง”
ดังนั้น ท่ามกลางพายุในทะเลพระเจ้าของเราตรัสว่า “จงสงบเงียบซิ” และคลื่นและลมก็เชื่อฟังพระองค์ (มก.4:39) ด้วยเหตุนี้ อย่ากลัวน่านน้ำแห่งชีวิตที่ลึกหรือโหมกระหน่ำในวันนี้ พระเจ้าจะทรงนำเราถึงฝั่งอย่างปลอดภัย
ดีขึ้นเพราะพระเจ้า
ในทีมวอลเลย์บอลของวิทยาลัย หลานสาวของฉันเรียนรู้หลักปฏิบัติให้ได้ชัยชนะ เมื่อเธอได้ครองบอล เธอสามารถ “ส่งบอลให้ดีขึ้น” เธอสามารถเดินเกมเพื่อให้สถานการณ์ของทีมดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว ตำหนิ หรือแก้ตัว จงทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเสมอ
ดาเนียลตอบสนองเช่นเดียวกันนี้เมื่อท่านและเพื่อนชาวฮีบรูสามคนถูกเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์ของบาบิโลนจับไปเป็นเชลย แม้พวกเขาจะมีชื่อใหม่และได้รับคำสั่งให้รับการ “ฝึกฝน” เป็นเวลาสามปีในดินแดนของศัตรู ดาเนียลไม่ได้เดือดดาล แต่ท่านขอไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินในสายพระเนตรพระเจ้าโดยไม่กินอาหารสูงและเหล้าองุ่นของพระราชา หลังจากกินแต่ผักและน้ำเป็นเวลาสิบวัน (ดนล.1:12) ดาเนียลและเพื่อนของท่าน “รูปร่างหน้าตาดีกว่าและเนื้อหนังเต่งตั่งกว่าบรรดาอนุชนที่รับประทานอาหารสูงของพระราชา” (ข้อ 15)
อีกครั้งหนึ่ง เนบูคัดเนสซาร์ขู่ฆ่าดาเนียลและนักปราชญ์ทุกคนในพระราชวัง หากพวกเขาไม่อาจเล่าความฝันที่รบกวนใจพระองค์และบอกความหมายของฝันนั้น อีกครั้งที่ดาเนียลไม่ตื่นตระหนก แต่ทูลขอพระกรุณาจาก “พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์” และความลึกลับก็ได้เปิดเผยแก่ท่านในนิมิต (2:19) ท่านประกาศว่า “ปัญญาและฤทธานุภาพเป็นของพระองค์” (ข้อ 20) ตลอดเวลาที่ตกเป็นเชลย ดาเนียลแสวงหาสิ่งดีที่สุดจากพระเจ้าโดยไม่คำนึงถึงความขัดแย้งที่ท่านได้เผชิญ ขอให้เราทำตามแบบอย่างนั้นในปัญหาที่เรามี คือทำให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยมอบไว้กับพระเจ้า