ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Mike Wittmer

ความหวังจากเกเฮนนา

ในปี 1979 นักโบราณคดีกาเบรียล บาร์เคย์ ขุดพบหนังสือม้วนเงินขนาดเล็กสองม้วน ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีในการค่อยๆคลี่หนังสือม้วนเหล็กเหล่านี้ออก และพบว่าแต่ละม้วนสลักคำอวยพรในภาษาฮีบรูจากกันดารวิถี 6:24-26 “ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน และพิทักษ์รักษาท่าน ขอพระเจ้าทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ท่าน และทรงพระกรุณาท่าน ขอพระเจ้าทรงเงยพระพักตร์ของพระองค์เหนือท่าน และประทานสวัสดิภาพแก่ท่าน” นักวิชาการระบุว่าหนังสือม้วนเหล่านี้มาจากศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตศักราช และเป็นข้อพระคัมภีร์คัดตอนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือสถานที่ที่พวกเขาพบ บาร์เคย์ขุดค้นถ้ำที่หุบเขาฮินโนม ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์บอกประชาชนยูดาห์ว่าพระเจ้าจะทรงประหารพวกเขาที่ใช้บุตรของตนเผาบูชา (ยรม.19:4-6) หุบเขานี้เป็นสถานที่แห่งความชั่วร้ายที่พระเยซูทรงใช้คำว่า “เกเฮนนา” (รูปภาษากรีกจากชื่อฮีบรูของ “หุบเขาฮินโนม”) ซึ่งเล็งถึงภาพของนรก (มธ.23:33)

ณ ที่แห่งนั้น ในช่วงเวลาเดียวกับที่เยเรมีย์ประกาศการพิพากษาของพระเจ้าแก่ชนชาติของท่าน ใครบางคนได้สลักพระพรในอนาคตของพระองค์บนม้วนหนังสือเงิน พระพรนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเขา แต่วันหนึ่งในอีกด้านของการรุกรานจากบาบิโลน พระเจ้าจะทรงหันพระพักตร์ของพระองค์มาเหนือประชากรของพระองค์และประทานสวัสดิภาพแก่พวกเขา

บทเรียนของเรานั้นชัดเจน แม้สิ่งที่เราได้รับจะสมควรแล้ว แต่เราสามารถยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า เพราะพระทัยของพระองค์นั้นคำนึงถึงประชากรของพระองค์เสมอ

เมื่อความอ่อนแอคือกำลัง

ดรูว์ถูกจำคุกเป็นเวลาสองปีเพราะเขารับใช้พระเยซู เขาเคยอ่านเรื่องราวของเหล่ามิชชันนารีผู้ชื่นชมยินดีในทุกเวลาแม้ถูกจองจำ แต่เขายอมรับว่านี่ไม่ใช่ประสบการณ์ของตนเอง เขาบอกภรรยาว่าพระเจ้าทรงเลือกผิดคนให้มาทนทุกข์เพื่อพระองค์ เธอตอบว่า “ไม่ ฉันเชื่อว่าพระองค์น่าจะทรงเลือกถูกคนแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

ดรูว์อาจเปรียบได้กับผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ซึ่งรับใช้พระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ โดยเตือนคนยูดาห์ว่าพระเจ้าจะทรงลงโทษพวกเขาเนื่องด้วยความบาปที่ทำ แต่การพิพากษาของพระเจ้ายังมาไม่ถึง พวกผู้นำยูดาห์จึงเฆี่ยนตีท่านและจับท่านใส่ขื่อไว้ ท่านกล่าวโทษพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงหลอกลวงข้าพระองค์” (ข้อ 7) ท่านเข้าใจว่าพระเจ้าทรงล้มเหลวที่จะช่วยกู้ พระวจนะของพระองค์ได้แต่ “เป็นเหตุให้ข้าพระองค์เป็นที่ตำหนิและเยาะเย้ยตลอดวัน” (ข้อ8) “ขออย่าให้วันที่ข้าพเจ้าเกิดมานั้นรับพร” เยเรมีย์กล่าว “ทำไมข้าพเจ้าจึงออกมาจากครรภ์ มาเห็นความลำบากและความทุกข์ และวันคืนของข้าพเจ้าก็สิ้นเปลืองไปด้วยความอับอาย” (ข้อ 14, 18)

ในที่สุดดรูว์ก็ได้รับการปล่อยตัว แต่จากการทดสอบอย่างทรหดที่สุดเขาจึงเริ่มเข้าใจว่าบางทีพระเจ้าทรงเลือกเขาเหมือนที่ทรงเลือกเยเรมีย์ เพราะเขาอ่อนแอ หากเขาและเยเรมีย์เป็นคนเข้มแข็งโดยธรรมชาติ พวกเขาอาจได้รับคำชมในความสำเร็จที่เกิดขึ้น แต่ถ้าธรรมชาติของพวกเขาเป็นคนอ่อนแอ สง่าราศีทั้งสิ้นในความบากบั่นของพวกเขาก็จะเป็นของพระเจ้า (1 คร.1:26-31) ความอ่อนแอทำให้เขาเป็นคนซึ่งเหมาะสมที่พระเยซูจะทรงใช้

หนีไก่งวง

ไก่งวงป่าสองตัวยืนอยู่บนทางวิ่งข้างหน้า ผมสงสัยว่า ผมจะเข้าใกล้ได้แค่ไหน ผมวิ่งช้าลงจนกลายเป็นเดินแล้วก็หยุด มันได้ผล ไก่งวงเดินเข้ามาหาผม...ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในไม่กี่วินาทีพวกมันจิกเข้าที่เอวและหลังของผม จะงอยปากเหล่านั้นคมทีเดียว ผมวิ่งหนี พวกมันวิ่งเตาะแตะตามมาก่อนที่จะหยุดไป

สถานการณ์กลับตาลปัตรอย่างรวดเร็ว! ผู้ถูกล่ากลายเป็นผู้ล่าเมื่อไก่งวงเหล่านั้นฉวยโอกาสเริ่มก่อน ผมนึกสงสัยอย่างโง่เขลาว่าพวกมันคงทึ่มเกินกว่าที่จะกลัวผม ผมเกือบจะโดนไก่ทำร้ายโดยไม่ทันระวัง ผมจึงหนี...จากไก่งวง

ดาวิดดูไม่น่าเป็นอันตราย โกลิอัทจึงยั่วยุท่านให้เข้ามาใกล้ “มาหาข้านี่ ข้าจะเอาเนื้อของเจ้าให้นกในอากาศกับสัตว์ในทุ่งกิน” (1 ซมอ.17:44) ดาวิดพลิกบทบาทเมื่อท่านฉวยโอกาสเริ่มก่อน ท่านวิ่งไปหาโกลิอัท ไม่ใช่เพราะว่าโง่เขลาแต่เพราะเชื่อมั่นในพระเจ้า ท่านตะโกนว่า “และในวันนี้...ทั้งพิภพจะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล” (ข้อ 46) โกลิอัทรู้สึกงงงวยกับเด็กหนุ่มที่เข้าจู่โจมคนนี้ เขาคงคิดว่า นี่เกิดอะไรขึ้น ในเวลานั้นก้อนหินก็พุ่งมาปะทะเข้าที่ตรงกลางหน้าผาก

เป็นธรรมชาติของสัตว์ขนาดเล็กที่จะวิ่งหนีผู้คนและผู้เลี้ยงเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่มีขนาดมหึมา และเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะซ่อนตัวจากปัญหาของเรา แล้วทำไมเราจึงยอมที่จะเป็นไปตามวิถีธรรมชาติล่ะ มีพระเจ้าในอิสราเอลใช่ไหม ถ้าเช่นนั้น จงวิ่งเข้าสู่การต่อสู้ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

สตีเฟ่นเป็นนักแสดงตลกดาวรุ่งและเป็นบุตรน้อยที่หลงหาย เขาเติบโตขึ้นในครอบครัวคริสเตียน แต่ต้องต่อสู้กับความสงสัยหลังจากพ่อและน้องชายสองคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก เขาสูญเสียความเชื่อตอนอายุ 20 ต้นๆ แต่ได้รับเชื่ออีกครั้งในค่ำคืนหนึ่งบนถนนอันเย็นเยือกในเมืองชิคาโก คนแปลกหน้าให้พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ฉบับพกพาแก่เขา เมื่อเปิดดูที่สารบัญเขียนว่า คนที่ต่อสู้กับความวิตกกังวลควรอ่านมัทธิว 6:27-34 จากคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู

สตีเฟ่นเปิดไปที่บทนั้นและพระวจนะได้จุดประกายไฟในใจเขา เขานึกย้อนไปว่า “ผมตาสว่างเลยในทันที ผมยืนอยู่ที่มุมถนนท่ามกลางความหนาวและอ่านคำเทศนานั้น แล้วชีวิตผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

นี่คือฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ พระคัมภีร์ไม่เหมือนหนังสืออื่นๆ เพราะเป็นหนังสือที่มีชีวิต เราไม่เพียงแค่อ่านพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์อ่านเรา “คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ...สามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” (ฮบ.4:12)

พระวจนะสำแดงถึงฤทธิ์อำนาจที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงและนำเราสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้ ให้เราเปิดและอ่านออกเสียง โดยขอให้พระเจ้าทรงจุดไฟในใจเรา พระองค์ทรงสัญญาว่าถ้อยคำที่พระองค์ตรัส “จะไม่กลับมาสู่ (พระองค์)เปล่าแต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่ง(พระองค์)มุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่ง(พระองค์)ใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น” (อสย.55:11) ชีวิตของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

คนที่ต้องการคน

ในฐานะนักเขียนข่าวและวรรณกรรมกีฬาที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ เดฟ คินเดร็ดได้เขียนถึงการแข่งขันกีฬาสำคัญๆหลายร้อยรายการ และยังเขียนชีวประวัติของมูฮัมมัด อาลี หลังจากเกษียณเขารู้สึกเบื่อจึงเริ่มไปดูการแข่งขันบาสเก็ตบอลหญิงของโรงเรียนในท้องถิ่น ไม่นานเขาก็เริ่มเขียนเรื่องจากการแข่งขันแต่ละครั้งและโพสต์บนอินเทอร์เน็ต ต่อมาเมื่อแม่และหลานชายของเดฟเสียชีวิต และภรรยาของเขาป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เขาตระหนักว่าทีมบาสเก็ตบอลที่เขาเขียนถึงทำให้เขารู้สึกถึงการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและมีเป้าหมาย เดฟต้องการพวกเขามากเท่ากับที่พวกเขาต้องการเดฟ เดฟกล่าวว่า “ทีมนี้ช่วยผมไว้ ชีวิตของผมมืดมิดลง...(และ) พวกเขาเป็นแสงสว่าง”

นักข่าวผู้เป็นตำนานมาพึ่งพาวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้อย่างไร ในทำนองเดียวกันอัครทูตในตำนานก็พึ่งพากลุ่มคนผู้ที่ท่านเคยพบในการเดินทางประกาศข่าวประเสริฐเช่นกัน คุณสังเกตเห็นบรรดาผู้ที่เปาโลฝากความคิดถึงมาให้ในตอนท้ายของจดหมายไหม (รม.16:3-15) ท่านเขียนว่า “ขอฝากความคิดถึงมายังอันโดรนิคัสกับยูนีอัสผู้เป็นญาติของข้าพเจ้าและได้ถูกจำจองร่วมกับข้าพเจ้า” (ข้อ 7) “ขอฝากความคิดถึงมายังอัมพลีอาทัส ที่รักของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า​” (ข้อ 8) ท่านกล่าวถึงคนมากกว่ายี่สิบห้าคนที่ส่วนมากไม่ถูกกล่าวถึงอีกเลยในพระคัมภีร์ แต่เปาโลต้องการพวกเขา

ใครที่อยู่ในชุมชนของคุณบ้าง คริสตจักรในท้องถิ่นของคุณคือที่ที่ดีที่สุดที่จะเริ่มต้น มีใครที่นั่นที่ชีวิตกำลังมืดมนอยู่ไหม ด้วยการทรงนำของพระเจ้า คุณสามารถเป็นแสงสว่างที่นำพวกเขาไปถึงพระเยซูได้ แล้ววันหนึ่งเขาอาจจะตอบแทนน้ำใจของคุณ

วาฬในเรื่อง

ไมเคิลกำลังดำน้ำหากุ้งมังกรในตอนที่วาฬหลังค่อมงับเขาไว้ในปาก เขาดันตัวออกในความมืดขณะที่กล้ามเนื้อของวาฬบีบรัดแน่นขึ้น เขาคิดว่าคงจบชีวิตแน่แล้ว แต่วาฬไม่ชอบคนจับกุ้ง ดังนั้น 30 วินาทีต่อมามันจึงพ่นไมเคิลขึ้นไปในอากาศ น่าประหลาดใจที่ไมเคิลกระดูกไม่หัก มีเพียงรอยฟกช้ำไปทั่วกับเรื่องราวของวาฬตัวหนึ่ง

เขาไม่ใช่คนแรก โยนาห์ถูก “ปลามหึมาตัวหนึ่ง” กลืน (ยนา.1:17) และท่านอยู่ในท้องของมันสามวันก่อนที่จะถูกสำรอกออกไว้บนแผ่นดินแห้ง (1:17; 2:10) โยนาห์ถูกกลืนเพราะท่านเกลียดชังศัตรูของอิสราเอลและไม่ต้องการให้พวกเขากลับใจ ต่างกับไมเคิลที่ถูกจับโดยบังเอิญ เมื่อพระเจ้าตรัสกับโยนาห์ให้ไปเทศนาที่เมืองนีนะเวห์ ท่านก็ขึ้นเรือไปทางอื่น พระเจ้าจึงส่งปลาขนาดเท่าวาฬมาดึงความสนใจท่าน

ผมตระหนักถึงสาเหตุที่โยนาห์เกลียดชังพวกอัสซีเรีย คนพวกนั้นราวีคนอิสราเอลในอดีต และภายในเวลาห้าสิบปีคนอิสราเอลตอนเหนือถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในที่ซึ่งพวกเขาจะอันตรธานหายไปตลอดกาล จึงเข้าใจได้ที่โยนาห์รู้สึกไม่พอใจที่คนอัสซีเรียอาจจะได้รับการอภัย

แต่โยนาห์ภักดีต่อคนของพระเจ้ามากกว่าต่อพระเจ้าแห่งคนทั้งปวง พระเจ้าทรงรักศัตรูของอิสราเอลและต้องการช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงรักศัตรูของเราและต้องการช่วยพวกเขาให้รอด ด้วยลมแห่งพระวิญญาณที่หนุนหลังเรา ให้เราแล่นเรือไปหาพวกเขาพร้อมกับข่าวประเสริฐของพระเยซู

เมื่อความรู้ทำให้เจ็บปวด

แซค เอลเดอร์และเพื่อนๆ ดึงแพขึ้นฝั่งหลังจากล่องแก่งผ่านแกรนด์แคนยอนเป็นเวลา 25 วัน ชายที่มาช่วยลากแพได้เล่าเรื่องไวรัสโควิด 19 ให้ฟัง พวกเขาคิดว่าชายคนนั้นล้อเล่น แต่เมื่อพวกเขาออกจากหุบเขา เสียงข้อความจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นข้อความด่วนจากพ่อแม่ของพวกเขา แซคและเพื่อนๆถึงกับตกตะลึง พวกเขาอยากจะกลับไปที่แม่น้ำเพื่อหนีจากสิ่งที่พวกเขารับรู้ในเวลานี้

ในโลกที่ล่มสลายนั้นความรู้มักจะนำมาซึ่งความเจ็บปวด ปัญญาจารย์ตั้งข้อสังเกตว่า “เพราะในสติปัญญามากๆก็มีความทุกข์ระทมมาก และบุคคลที่เพิ่มความรู้ก็เพิ่มความเศร้าโศก” (1:18) ใครบ้างที่ไม่อิจฉาความสุขของเด็กที่ไม่ต้องรับรู้อะไร เธอยังไม่รู้เรื่องการเหยียดสีผิว การใช้ความรุนแรง และโรคมะเร็ง เราเคยมีความสุขมากกว่านี้ใช่หรือไม่ จนกระทั่งเราโตขึ้นและมองเห็นความอ่อนแอและความชั่วร้ายของตนเอง และรู้ความลับของครอบครัวว่า ทำไมลุงของเราถึงดื่มหนัก หรือทำไมพ่อกับแม่จึงหย่าร้างกัน

ความเจ็บปวดที่เกิดจากความรู้นั้นไม่อาจเลือนหายไปได้ และเมื่อเรารู้แล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่มีความรู้ที่สูงส่งกว่านั้น ที่ทำให้เราสามารถอดทนและเติบโตขึ้นได้ พระเยซูทรงเป็นพระวาทะของพระเจ้า และเป็นความสว่างที่ส่องเข้ามาในความมืด (ยน.1:1-5) พระองค์ “เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป” (1 คร.1:30) ความเจ็บปวดคือเหตุผลที่คุณวิ่งไปหาพระเยซู พระองค์ทรงรู้จักและทรงห่วงใยคุณ

ใช้ชีวิตเช่นคนที่ได้รับการรักษา

พี่น้องสองคนจากอินเดียเกิดมาตาบอด พ่อของทั้งสองทำงานหนักแต่ก็ไม่เคยมีเงินพอที่จะให้ลูกสาวได้ผ่าตัดเพื่อจะมองเห็น จนกระทั่งเมื่อมีทีมแพทย์เดินทางมาปฏิบัติภารกิจระยะสั้นในแถบที่เขาอาศัยอยู่ วันรุ่งขึ้นหลังการผ่าตัด เด็กหญิงยิ้มกว้างขณะพยาบาลแกะผ้าพันแผลออกให้ เด็กคนหนึ่งร้องว่า “แม่ หนูมองเห็น! หนูมองเห็น!”

ชายคนหนึ่งเป็นง่อยแต่กำเนิดนั่งอยู่ที่ประจำตรงประตูพระวิหารเพื่อขอทาน เปโตรบอกชายนั้นว่าท่านไม่มีเงินทองแต่มีสิ่งที่ดีกว่า และพูดว่า “ในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด” (กจ.3:6) ชายนั้น “กระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหาร...เต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป” (ข้อ 8)

ทั้งสองคนพี่น้องและชายคนนี้เห็นคุณค่าในดวงตาและขาของตนมากกว่าคนที่ไม่เคยตาบอดหรือเป็นง่อยมาก่อน เด็กหญิงทั้งสองไม่ยอมหยุดกะพริบตาด้วยความอัศจรรย์ใจและความชื่นชมยินดี และชายคนนั้น “กระโดดขึ้นยืน”

ลองใคร่ครวญถึงความสามารถตามธรรมชาติของคุณดู หากเป็นคุณที่ได้รับการรักษาอย่างอัศจรรย์ คุณจะชื่นชมความสามารถนั้นมากขึ้นแค่ไหน และจะใช้มันให้แตกต่างจากที่เป็นอยู่อย่างไร ลองใคร่ครวญดูว่า ถ้าคุณเชื่อในพระเยซู พระองค์ก็ได้ทรงรักษาคุณแล้วฝ่ายจิตวิญญาณ พระองค์ทรงช่วยชีวิตคุณให้รอดพ้นจากบาป

ให้เราขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงสร้างและช่วยกู้เรา ให้เรามอบถวายทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานคืนแก่พระองค์

ลงทุนในผู้อื่น

บริษัทแห่งหนึ่งเสนอไมล์สะสมหนึ่งพันไมล์จากการซื้ออาหารหนึ่งชนิดในทุกๆสิบครั้ง ชายคนหนึ่งรู้ว่าสินค้าที่ถูกที่สุดคือช็อกโกแลตพุดดิ้ง เขาซื้อมากกว่าหมื่นสองพันชิ้น ด้วยเงิน 3,000 ดอลลาร์เขาจึงได้รับสถานภาพบัตรทองและสะสมไมล์การบินตลอดชีวิตสำหรับตนและครอบครัว นอกจากนี้เขายังได้บริจาคพุดดิ้งเพื่อการกุศล ซึ่งทำให้เขาได้หักภาษี 800 ดอลลาร์ ช่างเป็นอัจฉริยะจริงๆ!

พระเยซูตรัสคำอุปมาซึ่งเป็นที่ถกเถียงเรื่องคนต้นเรือนผู้ฉลาดแกมโกง เมื่อเขาใกล้จะถูกไล่ออก ก็ได้ลดจำนวนหนี้แก่ลูกหนี้ที่เป็นหนี้นายของตน โดยรู้ว่าภายหลังตนอาจพึ่งพาการช่วยเหลือจากพวกเขาได้เพราะความกรุณาที่ตนทำในตอนนี้ พระเยซูไม่ได้ยกย่องการทำธุรกิจที่ผิดจริยธรรม แต่ทรงรู้ว่าเราเรียนรู้ได้จากความเฉลียวฉลาดของเขา ทรงตรัสว่าเราควรหลักแหลม “กระทำตัวให้มีมิตรสหายด้วยทรัพย์สมบัติอธรรม เพื่อเมื่อทรัพย์นั้นเสียไปแล้ว เขาจะได้ต้อนรับท่านไว้ในที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์” (ลก.16:9) เหมือน “นายพุดดิ้งคนนั้น” ที่เปลี่ยนขนมราคา 25 เซ็นต์ให้กลายเป็นเที่ยวบิน ดังนั้นเราอาจใช้ “ความมั่งคั่งทางโลก” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ความมั่งคั่งที่แท้จริง” (ข้อ 11)

ความมั่งคั่งเหล่านี้คืออะไร พระเยซูตรัสว่า “จงให้แก่คนยากจน” และท่านจะ “กระทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้เก่า คือให้มีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่รู้หมดสิ้น ที่ขโมยมิได้เข้ามาใกล้และที่ตัวแมลงมิได้ทำลายเสีย” (12:33) การลงทุนของเราไม่ได้ทำให้เรารอด แต่เป็นการยืนยันถึงความรอดนั้น “เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” (ข้อ 34)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา