ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย James Banks

นิ่งสงบต่อพระพักตร์พระเจ้า

ภาพถ่ายภาพแรกที่เป็นรูปบุคคลนั้นถ่ายโดยหลุยส์ ดิแกร์ในปีค.ศ. 1838 ในภาพมีเพียงชายคนเดียวบนถนนที่ว่างเปล่าในกรุงปารีสยามบ่าย แต่ภาพนั้นดูมีความลึกลับที่ซ่อนอยู่ ถนนและทางเท้าควรจะพลุกพล่านไปด้วยการจราจรของรถม้าและผู้คนที่เดินไปมาในช่วงเวลานั้นของวัน แต่กลับไม่สามารถเห็นสิ่งเหล่านั้นได้

ชายคนนั้นไม่ได้อยู่ตามลำพัง มีผู้คนและม้ามากมายอยู่ที่นั่นบนถนนบูเลอวาร์ด ดู เทมเปิลอันยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ใช้ถ่ายภาพนี้ สิ่งเหล่านั้นเพียงแค่ไม่ได้ปรากฏขึ้นบนภาพ เวลาในการเปิดรับแสงของกระบวนการถ่ายภาพ(ที่เรียกว่าดิแกโรไทป์) ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดนาทีเพื่อบันทึกภาพ ซึ่งทุกสิ่งจำเป็นต้องหยุดนิ่งในระหว่างนั้น การที่มีเพียงชายบนทางเท้าคนเดียวที่ปรากฏบนภาพนั้น ก็เพราะเขาเป็นสิ่งเดียวที่ยืนนิ่ง เขากำลังยืนให้คนขัดรองเท้าบูทให้

บางครั้งการนิ่งสงบก็ทำให้เกิดความสำเร็จขณะที่การเคลื่อนไหวและความพยายามไม่สามารถทำได้ พระเจ้าทรงบอกประชากรของพระองค์ในพระธรรมสดุดี 46:10 ว่า “จงนิ่งเสียและรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” แม้เมื่อประชาชาติ “อลหม่าน” (ข้อ 6) และ “แผ่นดินโลก” สั่นไหว (ข้อ 2) ผู้ที่วางใจในพระเจ้าด้วยความนิ่งสงบจะค้นพบพระองค์ ผู้ทรงเป็น “ความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” (ข้อ 1)

ในภาษาฮีบรูคำว่า “นิ่งสงบ” สามารถแปลอีกแบบหนึ่งว่า “หยุดดิ้นรน” เมื่อเราพักพิงในพระเจ้าแทนที่จะพึ่งพาความพยายามที่มีขีดจำกัดของเรา เราจะพบว่าพระองค์ทรงเป็น “ที่ลี้ภัยและกำลัง” (ข้อ 1) ของเราที่ไม่มีสิ่งใดจะโจมตีได้

ฟังเสียงพระเจ้า

ย้อนกลับไปในช่วงที่ผมต้องขับรถไปมหาวิทยาลัยและขับกลับบ้าน เส้นทางที่ไปบ้านของเราในทะเลทรายช่างแห้งแล้งน่าเบื่อหน่าย เพราะเป็นถนนที่ทอดยาวเป็นทางตรงทำให้หลายครั้งผมขับเร็วเกินควร ครั้งแรกตำรวจทางหลวงเพียงแค่ตักเตือน ครั้งต่อมาผมก็ได้ใบสั่ง และได้ใบสั่งอีกครั้งที่จุดเดียวกัน

การปฏิเสธไม่รับฟังสามารถส่งผลร้ายตามมา ตัวอย่างหนึ่งที่น่าเศร้าในเรื่องนี้มาจากชีวิตของโยสิยาห์ กษัตริย์ที่แสนดีและสัตย์ซื่อ เมื่อเนโคกษัตริย์ของอียิปต์เคลื่อนทัพผ่านเขตแดนของยูดาห์เพื่อไปช่วยอัสซีเรียรบกับบาบิโลน โยสิยาห์ยกทัพมาขัดขวาง เนโคได้ส่งทูตมาทูลโยสิยาห์ว่า “พระเจ้าทรงบัญชาเราให้เร่งรีบ ขอยับยั้งการขัดขวางพระเจ้าผู้ทรงสถิตกับเรา” (2พศด.35:21) พระเจ้าทรงส่งเนโคมาจริงๆ แต่โยสิยาห์ “มิได้ฟังพระดำรัสของเนโคที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า แต่เข้ารบ ณ ที่ราบเมกิดโด” (ข้อ 22) โยสิยาห์ได้รับบาดเจ็บสาหัสในการสู้รบ และ “ยูดาห์และเยรูซาเล็มทั้งปวงได้ไว้ทุกข์ให้โยสิยาห์” (ข้อ 24)

โยสิยาห์กษัตริย์ผู้รักพระเจ้าค้นพบว่า การยืนกรานตามวิธีของตัวเองโดยไม่ใช้เวลาในการฟังพระสุรเสียงและพระปัญญาของพระเจ้าผ่านผู้อื่นไม่เคยได้ผลลัพธ์ที่ดีเลย ขอพระเจ้าโปรดประทานความถ่อมใจที่จำเป็นแก่เรา เพื่อจะตรวจสอบตัวเราเองเสมอ และรับเอาพระปัญญาของพระองค์มาไว้ในหัวใจของเรา

ลิงบาบูน ลา และฉัน

แจ็ครู้วิธีเบี่ยงรถไฟให้ไปถูกราง ตลอดเวลาเก้าปีในหน้าที่ เขาไม่เคยสับรางพลาดเมื่อได้ยินเสียงนกหวีดบอกทิศทางที่จะไปจากหัวรถจักรที่แล่นเข้าใกล้สถานีเมืองออยเทนฮาเก ประเทศแอฟริกาใต้

แจ็คเป็นลิงบาบูนชัคม่า อยู่ในการดูแลของเจมส์ ไวด์ ซึ่งเป็นพนักงานส่งสัญญาณรถไฟ และแจ็คเองก็คอยดูแลเจมส์ด้วย ไวด์เสียขาทั้งสองข้างจากการพลัดตกระหว่างกระโดดขึ้นลงรถไฟสองขบวนที่กำลังเคลื่อนที่ เขาฝึกแจ็คให้ช่วยงานในบ้าน และไม่นานแจ็คก็กลายเป็นผู้ช่วยในงานของเขาด้วย มันเรียนรู้วิธีตอบสนองต่อสัญญาณรถไฟที่กำลังมาถึงโดยดึงคันโยกสับรางตามสัญญาณ

พระคัมภีร์กล่าวถึงสัตว์อีกชนิดที่ช่วยเหลือคนด้วยวิธีที่น่าประหลาดใจ ซึ่งก็คือลาของบาลาอัม บาลาอัมเป็นผู้เผยพระวจนะของชาวต่างชาติซึ่งรับใช้กษัตริย์ที่ต้องการจะทำอันตรายแก่อิสราเอล ระหว่างทางที่บาลาอัมขี่ลาของตนไปช่วยกษัตริย์ “พระเจ้าเปิดปากลา” มันจึงพูดกับบาลาอัม (กดว.22:28) คำพูดของลาเป็นส่วนหนึ่งในวิธีที่พระเจ้าทรงเบิก “ตาบาลาอัม” (ข้อ 31) เพื่อเตือนเขาถึงอันตรายที่จะมาถึง และห้ามเขาไม่ให้ทำร้ายประชากรของพระองค์

ลิงบาบูนสับรางรถไฟหรือลาพูดได้น่ะหรือ แล้วจะทำไมล่ะ ถ้าพระเจ้าทรงสามารถใช้สัตว์แสนอัศจรรย์เหล่านี้เพื่อพระประสงค์อันดี ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเชื่อว่าพระองค์ทรงสามารถใช้คุณและผมได้ด้วยเช่นกัน จงมองและแสวงหากำลังจากพระองค์ เราจะสามารถทำได้มากยิ่งกว่าที่เราเคยคิดว่าจะเป็นไปได้

ผู้ทรงค้ำจุนพระพร

วันที่ 15 มกราคม 1919 ถังเก็บกากน้ำตาลขนาดใหญ่ระเบิดในบอสตัน กากน้ำตาลมากกว่าสองล้านแกลลอนพุ่งสูงถึง 15 ฟุตเป็นคลื่นพัดผ่านถนนด้วยความเร็วกว่า 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กวาดเอารางรถไฟ อาคาร ผู้คนและสัตว์ไป กากน้ำตาลอาจดูเหมือนไม่น่าจะสร้างปัญหาได้ แต่ในวันนั้นมันเป็นอันตรายจนถึงตายได้ มีผู้เสียชีวิต 21 คนและได้รับบาดเจ็บมากกว่า 150 คน

บางครั้งกระทั่งสิ่งดีๆ เช่นกากน้ำตาลก็อาจทำให้เราสูญเสียอย่างไม่คาดคิด ก่อนที่คนอิสราเอลจะเข้าสู่ดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับพวกเขา โมเสสเตือนประชาชนว่าอย่าอวดตัวในสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ “เกรงว่า เมื่อท่านได้รับประทานอิ่มหนำ ได้สร้างบ้านเรือนดีๆ และได้อาศัยอยู่ในนั้น และเมื่อฝูงวัวและฝูงแพะแกะของท่านทวีขึ้น มีเงินทองมากขึ้น จิตใจของท่านทั้งหลายจะผยองขึ้น และท่านทั้งหลายก็ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย” พวกเขาจะต้องไม่ถือว่าความมั่งคั่งนี้มาจากกำลังหรือความสามารถของตนเอง ในทางกลับกัน โมเสสกล่าวว่า “จงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้” (ฉธบ.8:12-14, 17-18)

สิ่งดีทั้งหมด รวมถึงสุขภาพกายและทักษะที่จำเป็นในการหาเลี้ยงชีพเป็นพระพรจากพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก แม้เมื่อเราทำงานหนัก ก็เป็นพระองค์เองที่ทรงค้ำจุนเราไว้ โอ ให้เรารับพระพรของเราด้วยมือที่เปิดกว้าง เพื่อเราจะสรรเสริญพระเจ้าในพระเมตตาที่ทรงประทานแก่เราด้วยใจกตัญญู!

หายไป ได้พบ ชื่นชมยินดี

“พวกเขาเรียกผมว่า ‘เจ้าแห่งแหวน’ จนในปีนี้ผมได้พบแหวนที่หายไป 167 วงแล้ว” ระหว่างที่ผมเดินเล่นบนชายหาดกับคารี่ภรรยา เราหยุดพูดคุยกับชายสูงอายุที่ใช้เครื่องตรวจจับโลหะเพื่อสแกนบริเวณชายหาดใต้แนวคลื่น “บางครั้งก็มีชื่ออยู่ที่แหวน” เขาอธิบาย “และผมชอบที่ได้เห็นหน้าเจ้าของตอนที่ผมส่งแหวนคืน ผมจะโพสต์แจ้งไว้ในช่องทางออนไลน์และตรวจดูว่ามีใครติดต่อแผนกของหายไหม หลายปีมานี้ผมได้พบแหวนหลายวงที่หายไป” เมื่อเราเอ่ยว่า ผมก็ชอบที่จะตรวจจับโลหะเช่นกันแต่ไม่ได้ทำบ่อยนัก คำพูดของเขาขณะจากกันคือ “คุณไม่มีทางรู้ จนกว่าคุณจะออกไป!”

เราพบ “การค้นหาและการช่วยกู้” อีกแบบหนึ่งในลูกาบทที่ 15 พระเยซูทรงถูกวิจารณ์เรื่องการเอาใจใส่คนบาปที่ห่างไกลพระเจ้า (ข้อ 1-2) เพื่อตอบสนองคำพูดนั้น พระองค์ตรัสสามเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่หายไปและได้พบอีก คือ แกะเงินเหรียญและบุตรชาย ชายที่พบแกะที่หายไปนั้น “ก็ยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ เมื่อถึงบ้านแล้ว จึงเชิญพวกมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดกับเขาว่า ‘จงเปรมปรีดิ์กับข้าพเจ้าเถิด’ ” (ลก.15:5-6) จุดสูงสุดของเรื่องราวทั้งหมดคือ การได้ค้นพบคนที่หลงหายไปเพื่อพระคริสต์ และความปีติยินดีที่เกิดขึ้นเพราะได้พบกับพวกเขาในพระองค์

พระเยซูเสด็จมา “เพื่อจะเที่ยวหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด” (19:10) และพระองค์ทรงเรียกเราให้ติดตามพระองค์โดยรักคนทั้งหลายที่กลับมาหาพระเจ้า (มธ.28:19) ความชื่นชมยินดีที่ได้เห็นผู้อื่นกลับใจมาหาพระองค์นั้นรอคอยเราอยู่ เราจะไม่มีทางรู้จนกว่าเราจะออกไป

คำอธิษฐานที่ล้ำค่า

นกคลาร์ก นัทแคร็กเกอร์เป็นนกมหัศจรรย์ ทุกปีมันจะเตรียมการสำหรับฤดูหนาวโดยการซ่อนเมล็ดสนเปลือกขาวขนาดเล็กสี่หรือห้าเมล็ด เป็นจำนวนมากถึงห้าร้อยเมล็ดต่อชั่วโมง หลายเดือนหลังจากนั้นมันจะกลับมาขุดเมล็ดพืชที่ซ่อนไว้ขึ้นมาแม้จะอยู่ใต้ชั้นหิมะลึกลงไป นกคลาร์ก นัทแคร็กเกอร์ อาจจดจำจุดที่มันซ่อนเมล็ดพืชไว้ได้มากถึงหนึ่งหมื่นแห่ง ซึ่งเป็นความสามารถที่น่าทึ่ง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงขีดจำกัดของมนุษย์ในการจดจำตำแหน่งที่เราวางกุญแจรถหรือแว่นตาไว้)

แต่ความสามารถในการจดจำที่เหลือเชื่อนี้ไม่อาจเทียบได้กับพระปรีชาสามารถของพระเจ้าในการจดจำคำอธิษฐานของเรา พระองค์ทรงเก็บรายละเอียดของทุกคำอธิษฐานที่ออกจากใจ ทรงจดจำและตอบคำอธิษฐานเหล่านั้นแม้ในอีกหลายปีต่อมา ในพระธรรมวิวรณ์อัครทูตยอห์นบรรยายถึง “สัตว์ทั้งสี่” และ“ผู้อาวุโสยี่สิบสี่คน” ที่นมัสการพระเจ้าในสวรรค์ แต่ละคน “ถือขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งปวง” (5:8)

เช่นเดียวกับที่เครื่องหอมเป็นสิ่งมีค่าในสมัยโบราณ คำอธิษฐานของเราก็มีค่าสำหรับพระเจ้าจนพระองค์ทรงเก็บมันไว้ในขันทองคำจำเพาะพระพักตร์พระองค์ตลอดเวลา! คำอธิษฐานของเรามีความหมายต่อพระเจ้าเพราะเราสำคัญสำหรับพระองค์ และพระองค์ทรงยอมให้เราเข้ามาใกล้โดยไม่ถูกขัดขวางผ่านพระเมตตาที่เราไม่สมควรได้รับในพระเยซู (ฮบ.4:14-16) ดังนั้นจงอธิษฐานด้วยใจกล้าหาญ! และจงรู้เถิดว่า เพราะความรักอันอัศจรรย์ของพระเจ้า จะไม่มีคำอธิษฐานใดที่ถูกลืมหรืออยู่ผิดที่ผิดเวลา

ยึดพระวจนะของพระเจ้า

ห่วงเหล็กหล่อหยาบๆซึ่งแขวนติดกับขอบประตูบ้านไร่เก่าๆของคุณตาผม ยังคงยึดแน่นต้านทานฤดูหนาวอันโหดร้ายของมินนิโซตา ห่างออกไปกว่า 30 เมตร มีห่วงอีกอันยึดติดกับประตูโรงรีดนม เมื่อเกิดพายุหิมะ คุณตาจะผูกเชือกระหว่างห่วงทั้งสองเพื่อจะหาทางจากบ้านไปโรงรีดนมได้ การจับเชือกให้แน่นช่วยให้ท่านไม่หลงทางในหิมะอันหนาทึบ

การใช้เชือกนิรภัยในพายุหิมะของคุณตาทำให้ผมนึกถึงวิธีที่ดาวิดใช้บทกวีฮีบรูเพื่อตามรอยว่า พระปัญญาของพระเจ้านำทางชีวิตเราให้ผ่านพ้นและปกป้องเราจากความบาปและความผิดพลาดได้อย่างไร “กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริงและชอบธรรมทั้งสิ้น น่าปรารถนามากกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองนพคุณมากนัก หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงจากรวง อนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นที่ตักเตือนผู้รับใช้ของพระองค์ การที่จะรักษาข้อความเหล่านั้นก็ได้บำเหน็จอันใหญ่ยิ่ง” (สดด.19:9-11)

การยึดมั่นความจริงจากพระวจนะที่องค์พระวิญญาณผู้ซึ่งทำงานในจิตใจของเราได้ทรงบอกไว้ จะปกป้องเราไม่ให้หลงทางและช่วยให้เราเลือกทำสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าและผู้อื่น พระคัมภีร์เตือนเราไม่ให้หลงไปจากพระเจ้าและสำแดงถึงหนทางที่เราจะกลับมาบ้าน ทั้งยังบอกเราถึงความรักอันประเมินค่ามิได้ขององค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา และพระพรที่รอคอยทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ พระคัมภีร์คือเชือกนำทาง! ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เรายึดมันไว้เสมอ

บ้านแท้ของหัวใจ

“บ๊อบบี้สุนัขมหัศจรรย์” เป็นสุนัขคอลลี่พันธุ์ผสมที่พลัดกับครอบครัวตอนพวกเขาไปเที่ยวในช่วงฤดูร้อนห่างจากบ้านกว่า 3,500 กม. ครอบครัวตามหาสุนัขแสนรักทั่วทุกที่ แต่ต้องใจสลายกลับบ้านโดยไม่พบมัน

หกเดือนต่อมา เข้าช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว บ๊อบบี้ที่ผอมแห้งแต่​มุ่งมั่นปรากฏตัวขึ้นที่หน้าบ้านของพวกเขาในเมืองซิลเวอร์ตัน รัฐออริกอน จะด้วยวิธีใดก็ตามบ๊อบบี้ได้ผ่านการเดินทางที่ยาวนานและอันตราย ข้ามแม่น้ำ ทะเลทราย และภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเพื่อหาทางกลับบ้านสู่คนที่มันรัก

การมุ่งมั่นค้นหาของบ๊อบบี้เป็นแรงบันดาลใจให้หนังสือ ภาพยนตร์ และจิตรกรรมฝาผนังในเมืองเกิดของมัน ความทุ่มเทของมันแตะต้องใจ อาจเป็นเพราะพระเจ้าใส่ความปรารถนาอันลึกซึ้งยิ่งกว่าไว้ในหัวใจเรา ออกัสตินนักศาสนศาสตร์ในอดีตอธิบายไว้ว่า “พระองค์ทรงสร้างเราไว้สำหรับพระองค์ และจิตใจของเราจะไม่สงบจนกว่าจะได้พักอยู่ในพระองค์” ความปรารถนาแบบเดียวกันนี้ถูกแสดงออกอย่างสิ้นหวังแต่ยังมุ่งมั่นโดยดาวิด ในคำอธิษฐานขณะที่ท่านซ่อนตัวจากคนที่ต้องการตัวท่านในถิ่นทุรกันดารของยูดาห์ “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ในดินแดนที่แห้งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ” (สดด.63:1)

ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าเพราะ “ความรัก..ของพระองค์ดีกว่าชีวิต”(ข้อ3)ไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับการได้รู้จักพระองค์! พระเจ้าเสาะหาเราและเตรียมหนทางผ่านพระเยซูเพื่อเราจะกลับไปหาความรักที่สมบูรณ์แบบของพระองค์ ไม่ว่าเราจะเคยอยู่ไกลเพียงใด เมื่อกลับไปหาพระองค์เราจะพบบ้านที่แท้จริงของหัวใจ

ความเชื่อที่มีจินตนาการ

“ปู่ ครับดูสิ ต้นไม้พวกนั้นกำลังโบกมือให้พระเจ้า!” ขณะที่เรามองดูต้นเบิร์ชโน้มไปตามกระแสลมก่อนพายุจะมา ข้อสังเกตที่น่าตื่นเต้นของหลานชายทำให้ผมยิ้ม และผมยังต้องถามตัวเองว่า ผมมีความเชื่อที่มีจินตนาการแบบนั้นหรือเปล่า

เมื่อคิดใคร่ครวญถึงเรื่องของโมเสสและพุ่มไม้ไฟ กวีเอลิซาเบ็ธ บาร์แร็ต บราวน์นิ่ง ประพันธ์ไว้ว่า “สวรรค์ลงมาเติมเต็มโลก / บรรดาพุ่มไม้ธรรมดาลุกโชติช่วงด้วยพระเจ้า / แต่ผู้ที่มองเห็นเท่านั้นจึงจะถอดรองเท้า” พระหัตถกิจของพระเจ้าปรากฏอยู่ในสิ่งมหัศจรรย์ที่ทรงสร้างไว้รอบตัวเรา และวันหนึ่งเมื่อโลกถูกสร้างใหม่ เราจะได้เห็นสิ่งเหล่านั้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

พระเจ้าทรงบอกเราถึงวันนั้นเมื่อทรงประกาศผ่านผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “​เจ้าจะออกไปด้วยความชื่นบานและถูกนำไปด้วยสวัสดิภาพ ภูเขาและเนินเขาเปล่งเสียงร้องเพลงข้างหน้าเจ้า และต้นไม้ทั้งสิ้นในท้องทุ่งจะตบมือของมัน” (อสย.55:12) ภูเขาร้องเพลง ต้นไม้ตบมือ สิ่งนี้เป็นไปได้ เปาโลกล่าวว่า “สรรพ-​สิ่ง​เหล่า​นั้น​จะ​ได้​รอด​จาก​อำนาจ​แห่ง​ความ​เสื่อม​สลาย และ​จะ​เข้า​ใน​เสรีภาพ​ และ​ศักดิ์ศรี​แห่ง​บุตร​ทั้ง​หลาย​ของ​พระ​เจ้า” (รม.8:21)

ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสถึงศิลาที่ส่งเสียงร้อง (ลก.19:40) ถ้อยคำของพระองค์สะท้อนคำพยากรณ์ของอิสยาห์ถึงสิ่งที่รอคอยอยู่ข้างหน้าสำหรับผู้ที่ได้รับความรอดในพระองค์ เมื่อเรามองไปที่พระองค์ด้วยความเชื่อที่จินตนาการถึงสิ่งซึ่งพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ เราก็จะได้เห็นความอัศจรรย์ของพระองค์อย่างต่อเนื่องเรื่อยไปเป็นนิตย์!

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา