ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย James Banks

หาทางออก

ถนนสายหนึ่งในเมืองซานตาบาบาร่า รัฐแคลิฟอร์เนีย มีชื่อที่น่าสนใจว่า “ซัลซิเปวเดส” แปลว่า “ถ้าเป็นได้ จงไปให้พ้น” ตอนที่ตั้งชื่อถนน แถวนั้นมีน้ำล้อมรอบและมักมีน้ำท่วม คนวางผังเมืองที่พูดภาษาสเปน จึงเรียกชื่อแถบนั้น เป็นคำเตือนให้อยู่ห่างๆ

พระคำพระเจ้าเตือนเราให้อยู่ห่าง “เส้นทางที่ผิด” ของบาปและการทดลอง “จงหลีกเสียอย่าเดินบนนั้น เลี้ยวออกไปเสียและจงผ่านไป” (สภษ.4:15) ซึ่งไม่ใช่เพียง “ถ้าทำได้ จงไปให้พ้น” แต่ยังให้คำมั่นว่า “พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วยเพื่อท่านจะมีกำลังทนได้” (1 คร.10:13)

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะไม่ยอมให้เราถูกทดลองจนเกินกว่าที่เราจะทนได้ เป็นคำเตือนที่หนุนใจเรา เมื่อเราหันมาหาพระเจ้ายามที่ถูกทดลอง เรารู้ว่าพระองค์ทรงยินดีที่จะช่วยให้เราห่างจากการทดลองนั้น

พระคัมภีร์ย้ำว่าพระเยซูทรง “เห็นใจในความอ่อนแอของเรา” พระองค์ได้ทรง “ถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” (ฮบ.4:15) พระเยซูทรงรู้จักทางที่จะออกจากทุกการทดลอง พระเยซูจะทรงชี้ให้เราเห็นเมื่อเราวิ่งไปหาพระองค์!

สรรเสริญในความมืด

ถึงแม้ว่ามิกกี้ เพื่อนของผมจะสูญเสียการมองเห็น แต่เขาบอกผมว่า “ผมจะสรรเสริญพระเจ้าทุกวัน เพราะพระองค์ทรงทำสิ่งต่างๆ มากมายให้ผม”

พระเยซูได้ประทานสิ่งที่ทำให้มิกกี้และเราสรรเสริญพระองค์ได้ไม่รู้จบ มัทธิว 26 เล่าถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงเสวยมื้อปัสการ่วมกับเหล่าสาวกในคืนก่อนทรงถูกตรึงกางเขน ข้อ 30 บอกว่าอาหารมื้อนั้นจบลงอย่างไร “เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว เขาก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ”

เพลงที่สาวกร้องในคืนนั้นเป็นเพลงสรรเสริญ นานนับพันปีแล้วที่ชาวยิวจะร้องเพลงสดุดีที่เรียกว่า “เพลงฮัลเลล” ในเทศกาลปัสกา (ฮัลเลล เป็นภาษาฮีบรูแปลว่า “สรรเสริญ”) ท่อนสุดท้ายของคำอธิษฐานและบทเพลงสรรเสริญนี้มาจากสดุดี 113-118 ที่ยกย่องพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรอดของเรา (สดด.118:21) พูดถึงศิลาที่ถูกทอดทิ้งซึ่งกลายเป็นศิลามุมเอก (สดด.118:22) และผู้ซึ่งเสด็จมาในพระนามของพระเจ้า (สดด.118:26) พวกเขาคงร้องเพลงร่วมกันว่า “นี่เป็นวันซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้าง ให้เราเปรมปรีดิ์และยินดีในวันนั้น” (สดด.118:24)

ขณะที่พระเยซูทรงร่วมร้องเพลงกับสาวกในคืนปัสกา พระองค์กำลังสอนให้เราละสายตาจากปัญหาเพื่อมองไปยังเบื้องบน พระองค์ทรงนำเราให้สรรเสริญความรักและความสัตย์ซื่ออันไม่สิ้นสุดของพระเจ้า

ฟังเสมอ

พ่อเป็นคนพูดน้อย ท่านมีปัญหาการได้ยินหลังจากเป็นทหารหลายปีและต้องใส่เครื่องช่วยฟัง บ่ายวันหนึ่งเมื่อผมกับแม่คุยกันนานเกินไป พ่อพูดติดตลกว่า “เมื่อใดที่ต้องการความสงบ พ่อแค่ทำแบบนี้” ท่านยกมือสองข้างขึ้นปิดเครื่องช่วยฟัง เอามือหนุนหัว หลับตาและยิ้มอย่างสบายใจ

เราหัวเราะ สำหรับพ่อ การสนทนาจบแล้ว!

สิ่งที่พ่อทำวันนั้นทำให้ผมคิดว่าพระเจ้าทรงแตกต่างจากเรามาก พระองค์ทรงต้องการฟังลูกของพระองค์เสมอ ความจริงนี้ได้รับการตอกย้ำในคำอธิษฐานสั้นๆ ในพระคัมภีร์ วันหนึ่งเนหะมีย์ผู้เป็นคนรับใช้ของพระราชาอาร์ทาเซอร์ซีสแห่งเปอร์เซียมีสีหน้าเศร้าหมอง เมื่อพระราชาตรัสถามสาเหตุ เนหะมีย์จึงทูลว่าเป็นเพราะกรุงเยรูซาเล็ม เมืองของบรรพบุรุษที่ถูกยึด ได้กลายเป็นซากปรักหักพัง เนหะมีย์เล่าว่า “พระราชาตรัสกับข้าพเจ้าว่า 'เจ้าปรารถนาจะขออะไร' ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าของฟ้าสวรรค์และข้าพเจ้าทูลพระราชาว่า...” (เนหะมีย์ 2:4-5)

เนหะมีย์อธิษฐานครู่เดียว แต่พระเจ้าทรงฟัง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการตอบคำอธิษฐานด้วยพระเมตตาต่อคำอธิษฐานมากมายก่อนหน้านี้ของเนหะมีย์เกี่ยวกับเยรูซาเล็ม ชั่วเวลานั้นเอง อาร์ทาเซอร์ซีสอนุญาตให้เนหะมีย์กลับไปสร้างเมืองขึ้นใหม่

เราเป็นสุขใจที่ได้รู้ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยที่จะฟังคำอธิษฐานทุกคำของเรา ตั้งแต่ที่สั้นที่สุดไปจนถึงยาวที่สุด

สหายเลิศ

ตอนที่ผมอายุสิบสอง ครอบครัวของเราย้ายไปอยู่เมืองในทะเลทราย หลังจากเรียนวิชาพละที่โรงเรียนในอากาศร้อนระอุ พวกเรารีบไปที่เครื่องกดน้ำดื่ม ผมเป็นคนผอมและอายุน้อยกว่าคนอื่นในชั้น บางครั้งจึงถูกผลักออกจากแถวที่ยืนรอ วันหนึ่ง เพื่อนชื่อโฮเซ่ ซึ่งตัวใหญ่และแข็งแรงเห็นเข้า เขาเดินเข้ามายื่นแขนที่แข็งแรงแหวกทางให้ เขาพูดว่า “นี่! พวกนายให้แบงค์ส ดื่มก่อนสิ!” แล้วผมก็ไม่เคยมีปัญหาที่เครื่องกดน้ำอีกเลย

พระเยซูทรงเข้าใจว่าการถูกผู้อื่นกระทำอย่างไร้ความเมตตาปรานีเป็นอย่างไร พระคัมภีร์บอกเราว่า “ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง” (อิสยาห์ 53:3) แต่พระเยซูไม่ได้ทรงเป็นเพียงเหยื่อของการทนทุกข์นี้ พระองค์ยังทรงเป็นทนายแก้ต่างให้เราด้วย การสละพระชนม์ของพระองค์เป็นการเปิด “หนทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต” ให้เราเข้าไปสู่สัมพันธภาพกับพระเจ้า (ฮีบรู 10:20) พระองค์ทรงกระทำเพื่อเราซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อาจทำเพื่อตัวเองได้ ทรงมอบของขวัญแห่งความรอดให้เราเปล่าๆ เมื่อเรากลับใจจากบาปและไว้วางใจพระองค์

พระเยซูทรงเป็นสหายที่ดีที่สุดที่เรามี พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย” คนอื่นอาจคบเราห่างๆ หรืออาจผลักไสเรา แต่พระเจ้าได้ทรงกางแขนรับเราผ่านทางไม้กางเขน พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงยิ่งใหญ่!

ด้วยรักกับรองเท้าคู่เก่า

บางครั้งผมกับภรรยาพูดต่อประโยคที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดได้ กว่าสามสิบปีของชีวิตแต่งงาน เราคุ้นเคยกับวิธีที่อีกฝ่ายคิดและพูดมากขึ้นเรื่อยๆ เราอาจไม่ต้องพูดจนจบประโยค แค่คำคำเดียวหรือการชำเลืองมองก็เพียงพอที่จะสื่อความคิดได้

การที่เราเป็นแบบนี้ทำให้เราสบายใจเหมือนรองเท้าคู่เก่าที่คุณใส่อยู่เรื่อยๆ เพราะสวมสบายพอดี บางครั้งเราถึงกับเรียกกันและกันด้วยความรักว่า “รองเท้าเก่าของฉัน” ซึ่งเป็นคำชื่นชมที่อาจเข้าใจยาก หากคุณไม่รู้จักเราดี ตลอดหลายปีความสัมพันธ์ของเราได้พัฒนาภาษาเฉพาะตัวขึ้น ทั้งยังมีการแสดงออกที่เป็นผลของความรักและความไว้ใจตลอดหลายสิบปี

เรารู้สึกอุ่นใจที่ได้รู้ว่าพระเจ้าทรงรักเราด้วยความสนิทสนมอันลึกซึ้ง ดาวิดเขียนว่า “ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว” (สดด.139:4) ลองนึกภาพว่าคุณได้สนทนากับพระเยซูเงียบๆ และคุณกำลังพูดจากส่วนลึกที่สุดในใจให้พระองค์ฟัง เมื่อใดที่คุณพูดไม่ออก พระองค์ก็ทรงยิ้มกับคุณด้วยความเข้าใจและทรงตอบสนองอย่างถูกต้อง แม้คุณไม่ได้พูดออกมา ช่างดีจริงที่ได้รู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือกสรรคำเหมาะๆ จึงจะพูดกับพระเจ้าได้ พระองค์ทรงรักเราและรู้จักเราดีพอที่จะเข้าใจ

รำลึกถึงอดีต

ลูกชายของเราต่อสู้กับการติดยาเสพติดถึงเจ็ดปี ในช่วงเวลานั้นผมและภรรยาต้องเผชิญกับวันที่ยากลำบากมากมาย ขณะที่เราอธิษฐานและรอคอยให้เขาหาย เราเรียนรู้ที่จะฉลองชัยชนะเล็กๆ หากไม่มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นในทุกช่วงยี่สิบชั่วโมง เราจะบอกกันและกันว่า “วันนี้เป็นวันดี” ประโยคสั้นๆ นี้กลายเป็นสิ่งเตือนใจให้ขอบพระคุณสำหรับความช่วยเหลือของพระเจ้าในสิ่งเล็กน้อยที่สุด

สิ่งที่สอดแทรกอยู่ในสดุดี 126:3 ยิ่งเตือนใจเราถึงพระเมตตากรุณาของพระเจ้าและผลที่มีต่อเรา “พระเจ้าทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เรามีความยินดี” ช่างเป็นถ้อยคำประเสริฐที่ควรจำไว้ในใจเมื่อเราระลึกถึงพระกรุณาที่พระเยซูทรงมีต่อเราที่กางเขน วันอันยากลำบากไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ทรงสำแดงพระเมตตาอันหาที่สุดมิได้แก่เราแล้ว และ “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” (สดด.136:1)

เมื่อเราเคยผ่านสถานการณ์ยากลำบากและพบว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ การจดจำไว้จะช่วยได้มากเมื่อกระแสน้ำแห่งชีวิตเชี่ยวกรากในอนาคต เราอาจไม่ทราบว่าพระเจ้าจะทรงช่วยเราให้ผ่านสถานการณ์นั้นได้อย่างไร แต่พระเมตตาของพระองค์ที่มีต่อเราในอดีตจะช่วยให้เราวางใจว่าพระองค์ทรงทำได้

ผู้ที่เราต้องสรรเสริญ

ฉากรางหญ้าหลายฉากมีภาพนักปราชญ์หรือโหราจารย์มาเฝ้าพระเยซูที่เบธเลเฮมในเวลาเดียวกับคนเลี้ยงแกะ แต่ตามพระกิตติคุณมัทธิว ซึ่งเป็นพระธรรมเล่มเดียวที่บันทึกเรื่องราวของพวกเขา เหล่าโหราจารย์มาถึงภายหลัง พระเยซูไม่ได้ประทับในรางหญ้าในคอกสัตว์ของโรงแรมแล้ว แต่ประทับในเรือน มัทธิว 2:11 บอกเราว่า “ครั้นเข้าไปในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกมาถวายแก่กุมารเป็นเครื่องบรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ”

การตระหนักว่าโหราจารย์มาเยือนช้ากว่าที่เราคิด เป็นสิ่งเตือนใจที่ดีขณะที่เราเริ่มต้นปีใหม่ พระเยซูทรงสมควรจะรับการนมัสการอยู่เสมอ เมื่อวันหยุดผ่านไปและเรากลับสู่ชีวิตประจำวันตามปกติ เราก็ยังมีผู้ที่ต้องสรรเสริญ

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา” (มธ.1:23) ในทุกเทศกาล พระองค์ทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเรา “เสมอไป” (มธ.28:20) เพราะพระองค์สถิตกับเราเสมอ เราจึงนมัสการพระองค์ในใจของเราทุกวันได้ และวางใจว่าพระองค์จะทรงสำแดงความสัตย์ซื่อของพระองค์ในปีที่จะมาถึง เช่นเดียวกับที่โหราจารย์แสวงหาพระองค์ ขอให้เราแสวงหาพระองค์เช่นกัน และนมัสการพระองค์ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด

อยากกลับบ้าน

ภรรยาเดินเข้ามาเห็นผมกำลังยื่นหน้าเข้าไปในตู้นาฬิกาโบราณ “ทำอะไรอยู่” เธอถาม ผมตอบอายๆ พร้อมปิดประตูตู้ว่า “นาฬิกานี้กลิ่นเหมือนบ้านพ่อแม่ผมเลย คุณอาจจะพูดว่าเหมือนผมได้กลับไปบ้านครู่หนึ่งก็ได้”

กลิ่นมีพลังปลุกความทรงจำเก่าๆ ได้ เราย้ายนาฬิกาเรือนนั้นข้ามประเทศจากบ้านพ่อแม่ผมมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่กลิ่นไม้ข้างในยังคงทำให้ผมหวนกลับไปในวัยเด็ก

ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูพูดถึงคนที่ปรารถนาจะกลับบ้านในอีกแบบหนึ่ง แทนที่จะมองย้อนกลับไป พวกเขามองไปข้างหน้ายังบ้านในสวรรค์ด้วยความเชื่อ แม้สิ่งที่พวกเขาหวัง ดูจะอยู่ไกลแสนไกล แต่พวกเขาก็วางใจว่าพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อจะทรงรักษาพระสัญญาที่จะนำพวกเขาไปยังที่ซึ่งจะได้อยู่กับพระองค์ตลอดไป (ฮบ.11:13-16)

ฟีลิปปี 3:20 เตือนเราว่า “บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์” และเราต้อง “รอคอยผู้ช่วยให้รอด ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้า” การตั้งตารอคอยพระเยซูและรับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ผ่านทางพระองค์ จะช่วยให้เราจดจ่อถูกที่ ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันก็ไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้า

รักที่ไม่สิ้นสุด

เมื่อไม่นานมานี้ การลงจอดของเที่ยวบินหนึ่งมีความขลุกขลักอยู่บ้าง เรากระดอนซ้ายทีขวาทีบนทางวิ่งของเครื่องบิน ผู้โดยสารบางคนรู้สึกกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ความเครียดหมดไปเมื่อเด็กหญิงสองคนด้านหลังผมร้องเชียร์ “เย้ เอาอีก”

เด็กเปิดรับการผจญภัยใหม่ๆ และมองชีวิตอย่างถ่อมใจด้วยตาที่เบิกกว้าง นี่อาจเป็นสิ่งที่พระเยซูนึกถึง เมื่อพระองค์ตรัสว่าเราต้อง “รับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ” (มาระโก 10:15)

ชีวิตมักมีอุปสรรคและความปวดร้าวใจ เยเรมีย์เข้าใจเรื่องนี้ดี ท่านถูกขนานนามว่า “ผู้เผยพระวจนะเจ้าน้ำตา” แต่ท่ามกลางปัญหา พระเจ้าทรงหนุนใจท่านด้วยความจริงอันอัศจรรย์ว่า “ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง และพระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด เป็นของใหม่ทุกเวลาเช้า ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก” (เพลงคร่ำครวญ 3:22-23)

พระเมตตาสดใหม่ของพระเจ้าเข้ามาสัมผัสชีวิตเราได้ทุกขณะ พระเมตตาอยู่กับเราเสมอ และจะมองเห็นได้เมื่อเราดำเนินชีวิตด้วยความคาดหวังแบบเด็กๆ ด้วยการเฝ้าดูและรอคอยสิ่งซึ่งพระองค์เท่านั้นทำได้ เยเรมีย์รู้ว่าความดีของพระเจ้าไม่ได้ถูกนิยามจากสถานการณ์ปัจจุบันของเราและความสัตย์ซื่อของพระองค์ก็ใหญ่กว่าพื้นที่ขรุขระในชีวิต วันนี้จงมองหาพระเมตตาสดใหม่ของพระเจ้า

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา