รับพรมากมาย
ในการเดินทางไปและกลับจากที่ทำงานในแต่ละวัน ผมมีเวลาเหลือเฟือที่จะอ่านสติกเกอร์ที่ติดอยู่ตามท้ายรถ บางข้อความก็หยาบคาย บางข้อความก็ฉลาดดี และบางข้อความก็น่ารังเกียจ แต่เมื่อไม่นานมานี้ ผมเห็นสติกเกอร์ใบหนึ่งที่ค่อนข้างท้าทายวิธีการใช้ชีวิตของผมข้อความบอกว่า “ได้รับพรมากเกินกว่าจะบ่น”
สิ่งที่เราพูด
คุณอาจเคยได้ยินว่า “คนฉลาดคุยเรื่องความคิด คนปัญญาปานกลางคุยเรื่องเหตุการณ์ส่วนคนโง่คุยเรื่องคนอื่น” อันที่จริงการพูดถึงคนอื่นอย่างให้เกียรตินั้นมีอยู่หลายวิธี แต่คำกล่าวนี้สะท้อนว่าผู้พูดมีประสบการณ์แง่ลบในโลกนี้ที่เราสื่อสารกันผ่านสื่อทุกอย่างทั้งในสังคมทั่วไปและในหน้าที่การงาน เรามักต้องรับรู้ชีวิตของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางเรื่องไม่เหมาะที่เราจะรู้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว
สู้กับความทะนงตน
เมื่อแม่ทัพกลับจากศึกสงครามพร้อมกับชัยชนะ ชาวโรมันโบราณจะจัดขบวนแห่เพื่อต้อนรับผู้พิชิตกลับบ้าน ในขบวนนี้จะประกอบไปด้วยทหารที่ไปร่วมรบ และเชลยศึกที่ถูกกวาดต้อนมา เป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะ ในขณะที่ขบวนแห่เคลื่อนผ่านกลางเมือง ประชาชนจะพากันโห่ร้องแสดงความยินดีกับความสำเร็จของวีรบุรุษของพวกเขา
จำลองการบินเสมือนจริง
เมื่อนักบินอยู่ในช่วงฝึกบิน พวกเขาจะใช้เวลาหลายชั่วโมงกับโปรแกรมจำลองการบินเสมือนจริง โปรแกรมนี้ช่วยให้นักเรียนมีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ความท้าทายและอันตรายจากการขับเคลื่อนอากาศยานโดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิต นักบินไม่ต้องบินไปในอากาศ และหากพวกเขาทำเครื่องตกในการจำลอง ก็สามารถเดินจากไปได้อย่างสบายใจ
ไม่มีความเสี่ยง
ไม่นานมานี้ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ผมไม่คิดจะลองทำคือการกระโดดบันจีจัมพ์ ขั้นตอนที่เขาบรรยาย ทั้งน่าสนใจและน่าหวาดเสียว ผมคิดว่าไม่น่าสนุกที่จะกระโดดเอาหัวพุ่งลงจากสะพานสูงหลายร้อยฟุตโดยแขวนตัวเองไว้กับหนังยางเส้นยักษ์ แต่เขาไม่ได้กระโดดโดยไม่มีอะไรช่วย เขาอธิบายว่าต้องใช้เข็มขัดนิรภัยที่แข็งแรงถึงสองชุด เพื่อยึดเขาไว้กับเชือกที่ผูกและเพื่อความปลอดภัยเข็มขัดที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน และผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ ทำให้เขามั่นใจเมื่อกระโจนไปในอากาศ
เป็นผู้นำที่อยู่ข้างหน้า
หนังสือเรื่องเพื่อนตาย สหายศึก (Band of Brothers) ของสตีเฟน แอมโบรส เล่าถึงกองร้อยอีซี่ แห่งกองทัพสหรัฐ ตั้งแต่การฝึกที่จอร์เจียไปจนถึงการบุกนอร์มังดี ในวันดีเดย์ (6 มิถุนายน 1944) กระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงในยุโรป กองร้อยอีซี่อยู่ภายใต้การนำของริชาร์ด วินเทอร์ส นายทหารที่ยอดเยี่ยมเขาเป็นผู้นำที่อยู่ข้างหน้า เมื่ออยู่ในสนามรบวินเทอร์สมักพูดว่า “ตามผมมา!” นายทหารคนอื่นอาจพยายามอยู่ในที่ปลอดภัยด้านหลัง แต่ถ้าลูกน้องของวินเทอร์สจะต้องออกรบ วินเทอร์สจะนำพวกเขาไป
ผมเบื่อ
เมื่อลูกๆ ของเรายังเป็นวัยรุ่น เวลาที่ลูกกลับจากการพบปะกลุ่มอนุชน ผมมักจะถามลูกว่า “ประชุมอนุชนคืนนี้เป็นยังไงบ้าง” และพวกเขาจะตอบว่า “น่าเบื่อ” เป็นอย่างนี้อยู่หลายสัปดาห์ผมจึงตัดสินใจไปดูด้วยตนเอง ผมไปที่โรงยิมซึ่งเป็นสถานที่ประชุมและแอบดู ผมเห็นพวกเขามีส่วนร่วมในกิจกรรม หัวเราะ และฟังอย่างสนุกสนาน คืนนั้นระหว่างกลับบ้าน ผมถามพวกเขาถึงการประชุม และลูกๆ ก็ตอบเหมือนเคยว่า “น่าเบื่อ” ผมจึงบอกว่า “วันนี้พ่อไปที่นั่นก็เห็นลูกดูสนุกสนานดีนี่!” พวกเขาจึงตอบว่า “วันนี้อาจจะไม่ได้แย่เหมือนทุกครั้ง”
การเสียสละที่แท้จริง
เอริคเป็นคนดีคนหนึ่ง ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจเขามองว่างานของเขาคือการให้บริการชุมชนและทุ่มเททุกสิ่งในการปฏิบัติหน้าที่เห็นได้จากพระธรรมยอห์น 15:13 ซึ่งเขาติดไว้ที่ประตูล็อคเกอร์ของเขาที่สถานีตำรวจ
ในพระธรรมข้อดังกล่าว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ยน.15:13) แต่ถ้อยคำนี้ไม่ได้เป็นเพียงอุดมคติที่ยอดเยี่ยมข้อหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของเอริคในการปฏิบัติหน้าที่ตำรวจ เป็นความมุ่งมั่นที่ต้องจ่ายราคาแพงเมื่อเขาเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เป็นการแสดงถึงหัวใจแห่งการเสียสละแท้ในชีวิตจริง
พระเยซูคริสต์ก็มีชีวิตตามพระธรรมยอห์น15:13 ซึ่งเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่พระองค์ตรัสถ้อยคำนี้ พระเยซูตรัสถึงการเสียสละนี้ขณะที่อยู่ในห้องชั้นบน ตามด้วยการสนทนากับพระบิดาในสวนเกทเสมนีการถูกไต่สวนนอกกฏหมายและการถูกตรึงต่อหน้าฝูงชนที่เยาะเย้ยพระองค์
ในฐานะพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูสามารถหลีกเลี่ยงการทนทุกข์ การทรมาน และความโหดเหี้ยมได้ พระองค์ไม่มีบาปและไม่สมควรตายแม้แต่น้อย แต่ความรักซึ่งอยู่เบื้องหลังการเสียสละที่แท้จริงได้ผลักดันให้พระองค์เสด็จไปที่กางเขน เป็นเหตุให้เราทั้งหลายได้รับการยกโทษ หากเรายอมรับการสละพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ด้วยความเชื่อ คุณวางใจในพระองค์ผู้ทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อคุณแล้วหรือยัง? -BC
การต้อนรับที่แท้จริง
ในปี 1987 ครอบครัวของเราย้ายมาอยู่ที่แคลิฟอร์เนียเพื่อรับงานศิษยาภิบาลของคริสตจักรแห่งหนึ่งในเขตลอง บีช วันที่เราบินไปถึงเมืองนั้น เลขาของผมไปรับเราที่สนามบินเพื่อพาไปส่งบ้าน ขณะที่รถติด สิ่งแรกที่ผมเห็น คือ สติ๊กเกอร์ติดท้ายรถที่มีข้อความว่า “ขอต้อนรับสู่แคลิฟอร์เนีย...เชิญกลับบ้านได้!” ช่างเป็นการต้อนรับสู่แคลิฟอร์เนียตอนใต้ ดินแดนแห่งแสงแดด ที่ไม่อบอุ่นเอาซะเลย!