ของขวัญคริสต์มาสมือสอง
คุณแม่คนหนึ่งรู้สึกว่าตนใช้เงินซื้อของขวัญคริสต์มาสสำหรับครอบครัวมากเกินไป พอมาปีหนึ่งเธอจึงลองวิธีใหม่ หลายเดือนก่อนเทศกาล เธอไปตามบ้านที่เปิดขายของมือสองเพื่อหาซื้อของใช้แล้วที่ราคาย่อมเยา เธอซื้อมากกว่าปกติแต่จ่ายน้อยกว่ามาก ในคืนก่อนวันคริสต์มาส ลูกๆของเธอแกะของขวัญอย่างตื่นเต้นกล่องแล้วกล่องเล่า เช้าวันต่อมาก็มีของขวัญอีก! คุณแม่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ซื้อของใหม่ จึงมีของขวัญให้มากเป็นพิเศษในเช้าวันคริสต์มาส เด็กๆแกะห่อของขวัญพลางบ่นอุบว่า “พวกเราแกะของขวัญจนเหนื่อยแล้ว! แม่ให้ของขวัญพวกเรามากเหลือเกิน!” นี่ไม่ใช่คำพูดปกติของเด็กในเช้าวันคริสต์มาสเลย!
พระเจ้าทรงประทานพรแก่เรามากมาย แต่ดูเหมือนเรายังแสวงหามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังใหญ่ขึ้น รถที่ดีขึ้น เงินเก็บที่มากขึ้น ฯลฯ เปาโลหนุนใจทิโมธีให้เตือนสติคนในคริสตจักรของเขาว่า “เราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้าก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด” (1 ทธ.6:7-8)
นอกจากการทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นให้เราแล้ว พระเจ้ายังทรงประทานลมหายใจและชีวิตให้แก่เราด้วย น่าชื่นใจสักเท่าใดที่เราจะชื่นชมและพอใจกับของประทานจากพระเจ้าและพูดว่า พระองค์ประทานให้เรามากมายเหลือเกิน เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว “เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้าพร้อมทั้งความสุขใจ” (ข้อ 6)
รักทรหด
ไฮดี้และเจฟกลับจากการไปทำงานในประเทศเขตร้อน และมาอาศัยอยู่ใกล้กับครอบครัวเป็นเวลาหลายเดือนในรัฐมิชิแกนจนถึงฤดูหนาว นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกๆหลายคนจากทั้งหมดสิบคนของพวกเขาจะได้เห็นความงามของหิมะ
แต่สภาพอากาศในฤดูหนาวที่มิชิแกนทำให้ต้องสวมเสื้อกันหนาวหลายตัว ทั้งเสื้อนอก ถุงมือ และรองเท้าบูท สำหรับครอบครัวใหญ่แล้ว การเตรียมเสื้อผ้าเพื่อรับมือกับอากาศเย็นยะเยือกนานหลายเดือนนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง แต่พระเจ้าทรงจัดเตรียม เริ่มด้วยเพื่อนบ้านคนหนึ่งนำรองเท้ามาให้ จากนั้นก็มีกางเกงกันหิมะ หมวก และถุงมือ ต่อมาเพื่อนคนหนึ่งชักชวนคนที่โบสถ์ให้รวบรวมเสื้อผ้ากันหนาวทั้งสิบสองขนาดมาให้แต่ละคนในครอบครัวนี้ เมื่อถึงเวลาที่หิมะตก ทั้งครอบครัวก็มีสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างเพียงพอ
หนึ่งในหลายวิธีที่เรารับใช้พระเจ้าคือการรับใช้ผู้ที่ขัดสน 1 ยอห์น 3:16-18 หนุนใจเราให้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยสิ่งที่เรามีอย่างมากมาย การรับใช้ช่วยเราให้เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นเมื่อเราเริ่มรักและมองคนอื่นอย่างที่พระองค์ทรงทำ
พระเจ้ามักจะใช้ลูกๆของพระองค์ในการตอบสนองความขัดสนและตอบคำอธิษฐาน และเมื่อเรารับใช้ผู้อื่น หัวใจของเราจะได้รับการหนุนใจเช่นเดียวกับที่เราได้หนุนใจคนเหล่านั้น ผลก็คือความเชื่อของเราจะเติบโตในขณะที่พระเจ้าทรงเตรียมเราให้รับใช้ในหนทางใหม่ๆ (ข้อ 18)
สิทธิพิเศษแห่งคำอธิษฐาน
บทเพลงจากชีวิตของนักร้องคริส สเตเปิลตัน ชื่อ “พ่อไม่อธิษฐานอีกแล้ว” ได้รับแรงบันดาลใจจากคำอธิษฐานของพ่อที่อธิษฐานเผื่อเขา เนื้อเพลงพูดถึงสาเหตุที่คำอธิษฐานของพ่อต้องสิ้นสุดลง ไม่ใช่เพราะท้อแท้หรืออ่อนระอา แต่เพราะท่านเสียชีวิต สเตเปิลตันจินตนาการว่า ณ เวลานี้แทนที่พ่อของเขาจะพูดกับพระเยซูผ่านคำอธิษฐาน แต่ท่านคงกำลังเดินคุยกับพระองค์หน้าต่อหน้า
ความทรงจำของสเตเปิลตันเรื่องคำอธิษฐานของพ่อทำให้คิดถึงพ่อคนหนึ่งในพระคัมภีร์ที่อธิษฐานเผื่อลูกของตน เมื่อกษัตริย์ดาวิดเริ่มชราแล้ว พระองค์ได้ทรงตระเตรียมเพื่อโอรสคือซาโลมอนจะมาเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล
หลังจากเรียกประชาชนมาชุมนุมกันเพื่อเจิมตั้งซาโลมอน ดาวิดนำประชาชนให้อธิษฐานเช่นที่ได้เคยทำมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง ขณะที่ดาวิดบรรยายถึงความสัตย์ซื่อที่พระเจ้ามีต่ออิสราเอล พระองค์ทูลขอให้ประชาชนยังคงจงรักภักดีต่อพระเจ้า จากนั้นทรงทูลขอในเรื่องส่วนตัวเจาะจงถึงโอรสของพระองค์ ขอให้พระเจ้า “ทรงโปรดซาโลมอนบุตรของข้าพระองค์ให้มีจิตใจจริงที่จะรักษาบรรดาพระบัญญัติของพระองค์ พระโอวาทของพระองค์ และกฎเกณฑ์ของพระองค์” (1 พศด.29:19)
พวกเราก็มีสิทธิพิเศษที่จะทูลขอเพื่อคนที่พระเจ้าวางไว้ในชีวิตของเราเช่นกัน แบบอย่างความสัตย์ซื่อของเราสามารถสร้างผลกระทบที่จะคงอยู่แม้หลังเราจากไป เช่นเดียวกับที่พระเจ้ายังทรงตอบคำอธิษฐานเพื่อซาโลมอนและอิสราเอลแม้หลังจากที่ดาวิดเสียชีวิตแล้ว ผลแห่งคำอธิษฐานของเราก็จะคงอยู่ยาวนานกว่าชีวิตของเราเช่นกัน
คริสต์มาสอยู่กับเรา
“ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียง เมื่อพระองค์เสด็จมา คนผิดคนบาปที่สารภาพ พระองค์จะทรงเมตตา” เนื้อร้องจากบทเพลงสรรเสริญอันเป็นที่รักของคนทั่วโลกโดยฟิลิปส์ บรู๊คที่ชื่อว่า “มีบ้านหมู่น้อยชื่อเบธเลเฮม” บอกถึงหัวใจของคริสต์มาส พระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกที่แตกสลายเพื่อช่วยกู้เราจากความผิดบาป และประทานให้ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ได้มีความสัมพันธ์แห่งชีวิตใหม่กับพระบิดา
หลายสิบปีหลังจากเขียนเพลงนี้ บรู๊คเขียนจดหมายถึงเพื่อนบรรยายผลลัพธ์ของความสัมพันธ์นี้ในชีวิตของเขาว่า “ผมบอกคุณไม่ได้ว่าความสัมพันธ์นี้เติบโตขึ้นในตัวผมอย่างไร พระองค์ทรงอยู่ที่นี่ ทรงรู้จักผมและผมรู้จักพระองค์ นี่ไม่ใช่คำพูดลอยๆ แต่เป็นเรื่องจริงที่สุดในโลก และเป็นจริงยิ่งขึ้นทุกวัน และเป็นความพิศวงอันน่ายินดีว่าความสัมพันธ์นี้จะเติบโตไปเป็นแบบใดเมื่อเวลาผ่านไป”
ความเชื่อมั่นในการสถิตอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของบรู๊คสะท้อนถึงพระนามหนึ่งของพระเยซูตามที่อิสยาห์ได้พยากรณ์ไว้ว่า “หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งและเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล” (อสย. 7:14) พระกิตติคุณมัทธิวได้ให้ความหมายชื่อภาษาฮีบรูนี้ไว้ว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา” (1:23)
พระเจ้าเสด็จมาใกล้เราโดยทางพระเยซูเพื่อเราจะรู้จักกับพระองค์เป็นการส่วนตัว และอยู่กับพระองค์ตลอดไป การทรงสถิตอยู่กับเราด้วยความรักเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
อยู่ด้วยกัน
เมื่อเจนพนักงานของสวนสนุกมองเห็นราล์ฟทรุดตัวลงบนพื้นทั้งน้ำตา เธอรีบเข้าไปช่วย ราล์ฟซึ่งเป็นเด็กชายออทิสติกสะอื้นไห้เพราะเครื่องเล่นที่เขารอเล่นมาทั้งวันนั้นเกิดเสีย แทนที่เจนจะเร่งให้เขาลุกขึ้นยืนหรือปลอบใจให้รู้สึกดีขึ้น เธอนั่งลงไปบนพื้นกับราล์ฟ ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเขาและปล่อยให้เขาได้ร้องไห้
การกระทำของเจนเป็นตัวอย่างอันงดงามของการอยู่เคียงข้างผู้ที่กำลังโศกเศร้าหรือทนทุกข์ พระคัมภีร์พูดถึงความทุกข์ระทมของโยบ หลังจากที่ท่านต้องสูญเสียบ้าน ฝูงสัตว์(รายได้) สุขภาพ และลูกทั้งสิบคนของท่านที่เสียชีวิตพร้อมกัน เมื่อเพื่อนของโยบรู้ถึงความทุกข์ใจของท่าน พวกเขา “ต่างก็มาจากที่ของตน...เพื่อ...เล้าโลมใจท่าน” โยบนั่งคร่ำครวญอยู่บนพื้นดิน เมื่อเพื่อนๆ มาถึง พวกเขานั่งลงด้วยกันกับโยบถึงเจ็ดวันโดยไม่พูดอะไรเพราะพวกเขาเห็นถึงความระทมทุกข์อย่างที่สุดของโยบ
แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ เพื่อนของโยบได้ให้คำแนะนำที่ทำลายกำลังใจของเขาในเวลาต่อมา ซึ่งต่างจากเจ็ดวันแรกที่พวกเขามอบของขวัญแห่งความใส่ใจห่วงใยให้โยบด้วยการอยู่เป็นเพื่อนโดยไม่พูดอะไรเลย เราอาจไม่เข้าใจในความทุกข์ของคนอื่นแต่เราสามารถรักเขาได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ขอเพียงอยู่ด้วยกันกับพวกเขาก็พอ