ความฝันครั้งวัยเยาว์
เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยให้นักเรียนชั้นประถมปีที่ 5 เขียนคำถามที่จะถามพระเยซูหากพระองค์มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา และได้ให้ผู้ใหญ่เขียนด้วย ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างน่าตกใจ คำถามของเด็กมีตั้งแต่น่าเอ็นดูไปจนถึงน่าตี เช่น “พวกเราจะต้องสวมเสื้อคลุม นั่งล้อมวงร้องเพลงในสวรรค์ทั้งวันหรือ? ลูกหมาของผมจะได้ไปสวรรค์ไหม? ปลาวาฬได้เข้าไปในเรือของโนอาห์หรือเปล่า? คุณตาของผมที่อยู่บนสวรรค์กับพระองค์สบายดีไหม?” แต่คำถามเกือบทั้งหมดนั้น ผู้ถามมั่นใจว่าสวรรค์มีอยู่จริงและพระเจ้าทรงกระทำสิ่งอัศจรรย์ได้
ของขวัญคือการอยู่ด้วย
เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ผมเพิ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลในบริษัทแห่งหนึ่ง ผมได้ไปร่วมงานศพและเยี่ยมครอบครัวของพนักงานเก่าแก่ที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน พนักงานคนนี้เป็นช่างก่ออิฐเขาเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน แต่มีไม่กี่คนที่มาเยี่ยมภรรยาหม้ายของเขา ผมได้ยินคนหนึ่งพยายามพูดปลอบใจเธอว่า ที่คนอื่นๆ ไม่ได้มาเพราะกลัวว่าจะพูดหรือทำอะไรผิด และทำให้ครอบครัวยิ่งรู้สึกแย่
ที่อยู่ยาก
เมื่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างฉับพลันทำให้งานของนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งล้าสมัยไป เขาจึงต้องไปทำงานในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด คืนหนึ่งหลังจากศึกษาพระคัมภีร์เสร็จแล้ว เขาเล่าให้กลุ่มฟังว่า สถานการณ์นี้ยาก และทำให้เขาถ่อมใจ เขากล่าวว่า“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมพูดได้ว่าดีคือ คนหนุ่มสาวที่นั่นสนใจเรื่องความเชื่อของผมมาก” สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มกล่าวว่า “ผมชื่นชมที่คุณเป็นคนถ่อม ผมรู้ว่าต้องเป็นเพราะความเชื่อของคุณแน่ๆ”
พนักงานเชิญถ้วยเสวย
เนหะมีย์ 1-2 เป็นพระคัมภีร์ตอนโปรดตอนหนึ่งที่ผมนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน เนหะมีย์ซึ่งเป็นข้าราชสำนักของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส เป็นแบบอย่างของคนงานที่แม้แต่พระราชาก็ทรงให้เกียรติเขาโดยการช่วยเหลือเขา เมื่อท่านโศกเศร้าเพราะเยรูซาเล็มยังคงพังทลาย พระองค์ถามเนหะมีย์ว่า “ทำไมหน้าของเจ้าเศร้าโศก...เจ้าปรารถนาจะขออะไร” (นหม.2:2,4)ท่านไม่ใช่พนักงานทั่วไป แต่เป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยที่ต้องชิมเครื่องดื่มของพระราชาเพื่อปกป้องไม่ให้พระองค์ถูกวางยาพิษ ท่านมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เพราะท่านทำงานหนักและถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสิ่งที่ทำ และพระราชาได้ประทานตามที่ท่านร้องขอ
ของขวัญแห่งความทรงจำ
สมัยที่ผมเรียนที่โรงเรียนพระคริสตธรรมผมได้ไปทำงานที่บ้านพักคนชรา ขณะที่ผมใช้เวลาพูดคุยกับคุณตาคุณยายที่นั่นถึงจุดหนึ่ง เกือบทุกคนจะคร่ำครวญถึงชีวิตที่โดดเดี่ยวของตนและรู้ว่าพวกเขามีชีวิตยืนยาวกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน และเกือบทุกคนจะสงสัยว่าถ้าพวกเขาจากโลกนี้ไปแล้ว จะมีใครจดจำพวกเขาได้ไหม
ส่งต่อ
ผมสังเกตมาหลายปีว่าคนที่เคยทุกข์จะไวในการปลอบประโลมผู้ที่มีความทุกข์ด้วยกันเมื่อสามีภรรยาที่อายุยังน้อยต้องสูญเสียลูก สามีภรรยาที่เคยสูญเสียลูกมาก่อน ถามว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง หากสามีภรรยาอีกคู่หนึ่งต้องสูญเสียรายได้หลัก อีกคู่หนึ่งจะเข้ามาเสนอความช่วยเหลือทันที เพราะหลายปีก่อนพวกเขาเคยถูกยึดทรัพย์สินไปเนื่องจากไม่มีเงินชำระค่างวด เราเห็นพระกายของพระคริสต์ช่วยเหลือเกื้อกูลและหนุนใจกันและกันเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าคริสเตียนเหล่านี้ได้เรียนรู้ว่าพวกเขาสามารถใช้ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบเดียวกันได้
อ่านตอนจบก่อน
ผมยอมรับว่าบางครั้งผมก็อ่านตอนท้ายของหนังสือ ก่อนที่จะอ่านตอนเริ่มต้น ผมจะได้รู้ว่าตัวละครตัวไหนจะอยู่หรือตาย เมื่อรู้ตอนจบแล้ว ผมจะได้ผ่อนคลายและสนุกเพลิดเพลินไปกับเนื้อเรื่องและตัวละครได้
ต้อนรับผู้มาทีหลัง
เมื่อผมไปเยี่ยมสถานดูแลผู้สูงอายุในคืนหนึ่งชายคนหนึ่งชื่อทอมซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น รีบออกจากห้องของเขาและตามมาเพื่อจะพูดคุยกับผมเมื่อเราคุยไปได้พักหนึ่ง เขาก็ถามว่า “พระเจ้าจะไม่ทรงถูกดูหมิ่นหรือ ถ้าผมจะมาเป็นคริสเตียนในช่วงบั้นปลายชีวิตแบบนี้” คำถามของทอมไม่ได้ทำให้ผมประหลาดใจ เพราะผมเป็นอนุศาสกจึงมักจะได้ยินคำถามนี้ในรูปแบบต่างๆ จากผู้สูงอายุ จากผู้ที่ติดสิ่งเสพติด และจากผู้ที่เคยเป็นผู้ต้องขัง พวกเขาคิดว่าสมเหตุสมผลที่จะเชื่อว่าสายเกินไปที่พวกเขาจะมารู้จักพระเจ้า หรือให้พระองค์ทรงใช้
ปกป้องหัวใจ
ผมสอนชั้นเรียนศึกษาพระคัมภีร์ผู้ใหญ่ในคริสตจักรท้องถิ่นเป็นเวลาหลายปี และต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากในการใคร่ครวญพระวจนะอย่างละเอียดก่อนตอบคำถามในชั้นเรียน ต่อมา ระหว่างที่ผมเรียนเทอมแรกในโรงเรียนพระคริสตธรรม เมื่ออายุ 40 ปี ผมถึงได้รู้ว่า ผมเคยให้คำตอบที่ไม่ถูกต้องกับผู้หญิงคนหนึ่งในชั้นเรียนพระคัมภีร์ที่ผมสอน ผมแน่ใจว่าคำตอบของผมทำให้เธอต้องโศกเศร้ามานานกว่า 2 ปี ตั้งแต่ครั้งที่ผมพบเธอ และผมก็ร้อนใจที่จะแก้ไขเรื่องนี้ เพื่อเห็นแก่เธอ