ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kirsten Holmberg

ให้จากความรัก

ทุกวันเกล็นจะซื้อกาแฟยามเช้าที่จุดไดร์ฟทรูใกล้ๆ และทุกวันเขาจะจ่ายเงินให้กับคำสั่งซื้อของคนในรถคันหลังที่ตามมาด้วย และขอให้แคชเชียร์อวยพรให้คนนั้นมีความสุข เกล็นไม่รู้จักพวกเขา และไม่รู้ถึงปฏิกิริยาของคนเหล่านั้น เขาเพียงเชื่อว่าการแสดงออกเล็กน้อยนี้เป็น “สิ่งที่อย่างน้อยที่สุดเขาทำได้” แต่มีครั้งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้ถึงอิทธิพลจากการกระทำนี้ เมื่อเขาได้อ่านจดหมายนิรนามที่ส่งถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เขาพบว่าของขวัญที่เป็นน้ำใจจากเขาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2017 ทำให้คนที่อยู่ในรถคันหลังซึ่งวางแผนจะจบชีวิตตัวเองในวันนั้น ได้กลับมาคิดทบทวนใหม่

เกล็นหยิบยื่นให้กับผู้คนในรถคันหลังทุกวันโดยไม่ได้รับคำยกย่องชมเชย มีเพียงครั้งเดียวนี้เองที่เขาได้เห็นถึงอิทธิพลจากของขวัญเล็กน้อยของตน เมื่อพระเยซูตรัสว่า “อย่าให้มือซ้าย[ของเรา]รู้การซึ่งมือขวา [ของเรา]กระทำนั้น” (มธ.6:3) พระองค์ทรงหนุนใจเราที่จะให้เหมือนที่เกล็นทำ โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นรับรู้

เมื่อเราได้หยิบยื่นให้จากความรักที่เรามีต่อพระเจ้า โดยไม่กังวลกับการได้รับคำชมจากผู้อื่น เราก็วางใจได้ว่าของขวัญของเราไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กนั้น พระองค์จะทรงใช้เพื่อตอบสนองตามความจำเป็นของผู้ที่ได้รับ

จงเกิดความสว่าง

ตอนที่ลูกสาวของฉันยังเล็กมากๆ ฉันจะคอยบอกคำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆที่เธอพบเห็น โดยฉันจะพูดคำนั้น หรือปล่อยให้เธอได้สัมผัสกับสิ่งที่เธอไม่คุ้นเคยแล้วจึงพูดคำนั้นให้เธอฟัง เพื่อให้เธอเข้าใจและรู้คำศัพท์ในโลกกว้างใหญ่ที่เธอกำลังสำรวจ แม้จะเป็นเรื่องปกติที่ฉันกับสามีอาจคาดหมาย (หรือหวัง) ว่าคำแรกที่เธอพูดจะเป็นคำว่าแม่ หรือพ่อ แต่เราต้องประหลาดใจกับคำพูดแรกที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง ปากน้อยๆของเธอพึมพำคำว่าฉว่าง โดยพยายามจะออกเสียงคำว่า สว่าง ที่ฉันเพิ่งจะพูดให้เธอฟัง

ความสว่างเป็นหนึ่งในคำตรัสแรกของพระเจ้าที่บันทึกให้เราเห็นในพระคัมภีร์ ขณะที่พระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือโลกที่มืดมิด ว่างเปล่า และไร้รูปร่าง พระองค์ทรงสร้างแสงสว่างขึ้นโดยตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” (ปฐก. 1:3) พระองค์ตรัสว่าความสว่างนั้นดีและพระวจนะทั้งเล่มก็ยืนยันเช่นนั้น ดังที่ผู้เขียนสดุดีอธิบายว่า พระวจนะของพระเจ้าให้ความสว่างแก่ความเข้าใจของเรา (สดด.119:130) และพระเยซูทรงเรียกพระองค์เองว่า “ความสว่างของโลก” ผู้ประทานแสงสว่างแห่งชีวิต (ยน.8:12)

คำตรัสแรกของพระเจ้าในการทรงเนรมิตสร้างโลกคือการให้เกิดความสว่าง ไม่ใช่เพราะพระองค์จำเป็นต้องมีความสว่างเพื่อจะทำงานได้ แต่ทรงสร้างความสว่างนั้นเพื่อเรา ความสว่างทำให้เรามองเห็นพระองค์และเห็นถึงฝีพระหัตถ์ของพระองค์ในสรรพสิ่งที่ทรงสร้างไว้รอบตัวเรา ให้เราสามารถแยกแยะสิ่งดีออกจากสิ่งไม่ดี และติดตามพระเยซูไปทีละก้าวในโลกที่กว้างใหญ่นี้

อะไรที่สำคัญ

เพื่อนฉันเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่ถูกเพื่อนร่วมงานคริสเตียนคนหนึ่งจี้ถามว่าเธอสังกัดพรรคการเมืองใด จุดประสงค์ของเขาดูเหมือนต้องการจะคาดการณ์ว่าเขากับเธอมีมุมมองเหมือนกันในเรื่องใดบ้างที่ตอนนี้กำลังเป็นประเด็นทำให้ชุมชนแตกแยก เธอพยายามจะหาจุดร่วม จึงตอบเพียงว่า “เราเป็นคริสเตียนเหมือนกัน ฉันขอเน้นที่ความเป็นหนึ่งเดียวกันของเราในพระคริสต์ดีกว่า”

ผู้คนในสมัยเปาโลก็มีความแตกแยก แม้จะเป็นเรื่องที่แตกต่างจากปัจจุบัน ปัญหาเช่น อาหารอะไรที่กินได้และวันใดถือเป็นวันบริสุทธิ์ ทำให้เกิดความไม่ลงรอยกันท่ามกลางคริสเตียนในกรุงโรม แม้จะ “​มี​ความ​แน่ใจ​ใน​ความ​คิดเห็น​ของ​ตน​” ไม่ว่าจะเป็นความเห็นฝ่ายใด เปาโลก็ย้ำเตือนจุดร่วมของพวกเขาคือ การมีชีวิตเพื่อพระเยซู (รม.14:5-9) แทนที่จะตัดสินผู้อื่น ท่านหนุนใจให้พวกเขา “มุ่ง​ประพฤติใน​สิ่ง​ซึ่ง​ทำ​ให้​เกิด​ความ​สงบ​สุข​แก่​กัน​และ​กัน และ​ทำ​ให้​เกิด​ความ​เจริญ​แก่​กัน​และ​กัน” (ข้อ 19)

ในยุคที่หลายประเทศ หลายคริสตจักร และหลายชุมชนแตกแยกกันเพราะเรื่องน้อยใหญ่ เราสามารถชี้ชวนกันและกันให้มองไปยังความจริงหนึ่งเดียวคือพันธกิจของพระคริสต์ที่บนกางเขนเพื่อให้เรามีชีวิตนิรันดร์กับพระองค์ คำเตือนของเปาโลที่ว่า “อย่าทำลาย​งาน​ของ​พระ​เจ้า” (ข้อ 20) ด้วยจุดยืนของตัวเองยังคงใช้ได้ทุกวันนี้เช่นเดียวกับเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แทนที่จะตัดสินผู้อื่น เราสามารถสำแดงความรักและใช้ชีวิตอย่างให้เกียรติพี่น้องคริสเตียนของเรา

เหมือนเรา เพื่อเรา

เดเร็กสังเกตว่าลูกชายของเขาไม่อยากถอดเสื้อเพื่อว่ายน้ำ เพราะเขาอายรอยปานที่อยู่บนหน้าอก ที่ท้อง และแขนซ้าย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยลูกชาย เดเร็กยอมผ่านขั้นตอนการสักที่ยาวนานและเจ็บปวด เพื่อสร้างปานที่เหมือนของลูกชายบนตัวเขา

ความรักของเดเร็กที่มีต่อลูกชายสะท้อนถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อบุตรชายบุตรสาวของพระองค์ เพราะเราที่เป็นบุตรของพระองค์นั้น “มีเลือดและเนื้อ” (ฮบ.2:14 TNCV) พระเยซูทรงยอมเป็นเหมือนพวกเรา ยอมรับสภาพมนุษย์และ “ร่วมในความเป็นมนุษย์” เพื่อปลดปล่อยเราจากอำนาจของความตาย (ข้อ 14 TNCV) “เหตุฉะนั้นพระองค์จึงทรงต้องเป็นเหมือนกับ[เรา]ทุกอย่าง” (ข้อ 17) เพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้องต่อพระเจ้าเพื่อพวกเรา

เดเร็กต้องการจะช่วยลูกชายเอาชนะความอาย เขาจึงยอมทำตัวเองให้ “เหมือน” ลูกชายของเขา พระเยซูทรงช่วยเราเอาชนะปัญหาของเราที่ใหญ่กว่านั้นมาก ซึ่งก็คือการเป็นทาสของความบาป พระองค์ทรงเอาชนะมันเพื่อเราโดยการทำพระองค์เองให้เหมือนพวกเรา ทรงแบกรับโทษบาปของเราโดยการยอมสิ้นพระชนม์แทนเรา

ความเต็มพระทัยของพระเยซูที่จะมีส่วนร่วมในความเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรานั้น ไม่เพียงรักษาสิทธิ์ที่เราจะมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า แต่ยังทำให้เราสามารถวางใจในพระองค์ในยามที่เรามีปัญหาได้ เมื่อเราเผชิญการทดลองและความยากลำบาก เราสามารถพึ่งพิงในพระองค์เพื่อรับกำลังและการช่วยเหลือ เพราะว่า “พระองค์จึงทรงสามารถช่วย...ได้” (ข้อ 18) เช่นเดียวกับพ่อที่เปี่ยมด้วยความรัก พระองค์ทรงเข้าใจและห่วงใย

ที่อยู่ถาวร

เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหลังเดิม ถึงแม้จะอยู่ใกล้กันเรายังจำเป็นต้องขนของทั้งหมดของเราไปไว้ในรถขนย้ายเพราะเรื่องของธุรกรรมทางการเงิน ระหว่างรอการซื้อขาย ข้าวของของเราอยู่บนรถบรรทุก และครอบครัวของเราต้องหาที่พักชั่วคราว ในช่วงเวลานั้นฉันประหลาดใจที่รู้สึกเหมือนได้ “อยู่บ้าน” แม้จะไม่ใช่บ้านของเราจริงๆ นั่นเพราะว่าฉันได้อยู่กับคนที่ฉันรักมากที่สุดซึ่งก็คือครอบครัวของฉัน

ในบางช่วงของชีวิตนั้นดาวิดไม่มีบ้าน ท่านใช้ชีวิตที่ต้องคอยหลบหนีจากกษัตริย์ซาอูล ในฐานะคนที่พระเจ้าทรงเจิมให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ซาอูลมองว่าดาวิดเป็นภัยคุกคามและหาทางฆ่าท่าน ดาวิดหนีออกจากบ้านและนอนในที่ที่พอจะหลบภัยได้ แม้ว่าท่านจะมีผู้ร่วมทาง แต่สิ่งที่ดาวิดปรารถนามากที่สุดคือ “ได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า” เพื่อจะชื่นชมยินดีในการร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์อย่างถาวร (สดด.27:4)

พระเยซูทรงเป็นเพื่อนที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ เป็นความรู้สึกของการที่เราได้ “อยู่บ้าน” ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม พระองค์ทรงอยู่กับเราในเวลานี้ที่เรามีปัญหา และได้ทรงจัดเตรียมที่สำหรับเราเพื่อจะอยู่ร่วมกับพระองค์ชั่วนิรันดร์ (ยน.14:3) แม้เราจะต้องประสบกับความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงในฐานะประชากรของโลกนี้ เราก็สามารถมีชีวิตอยู่อย่างถาวรในสามัคคีธรรมกับพระองค์ได้ทุกวันและในทุกแห่งหน

กาวที่ดีของพระเจ้า

เมื่อเร็วๆนี้นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตทได้ออกแบบกาวชนิดใหม่ที่ทั้งแข็งแรงอย่างมากและสามารถลอกออกได้ การออกแบบของพวกเขาได้แรงบันดาลใจมาจากหอยทากที่เมือกของมันจะแข็งตัวเมื่อแห้งและกลับคืนตัวได้อีกเมื่อเปียกชื้น ธรรมชาติของเมือกหอยทากที่คืนตัวได้ทำให้มันสามารถเคลื่อนตัวไปได้อย่างอิสระในสภาพที่มีความชื้นสูง ซึ่งปลอดภัยสำหรับตัวหอยทากเอง ในขณะที่สามารถติดแน่นอยู่กับที่ได้เมื่อการเคลื่อนที่อาจทำให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต

แนวทางของนักวิจัยที่เลียนแบบการยึดเกาะที่พบในธรรมชาตินี้ทำให้นึกถึงนักวิทยาศาสตร์ โจฮานเนส เคปเลอร์ ที่อธิบายเกี่ยวกับการค้นพบของเขาว่า “แค่คิดตามพระดำริของพระเจ้า” พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งที่อยู่ในนั้น ทั้งพืชผักบนดิน (ปฐก.1:12) “สัตว์ทะเล” และ “นกต่างๆ” (ข้อ 21) “สัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” (ข้อ 25) และ “มนุษย์...ตามพระฉายาของพระองค์” (ข้อ 27) เมื่อมนุษย์ค้นพบหรือรู้จักลักษณะพิเศษของพืชหรือสัตว์ เรากำลังเดินตามรอยพระบาทอันสร้างสรรค์ของพระเจ้า และได้เปิดตาของเรามองดูวิธีการที่พระองค์ออกแบบสิ่งเหล่านั้น

เมื่อสิ้นสุดแต่ละวันแห่งการทรงสร้าง พระเจ้าทรงสำรวจผลงานของพระองค์และตรัสว่า “ดี” ในขณะที่เราได้เรียนรู้และค้นพบเกี่ยวกับการทรงสร้างของพระเจ้ามากขึ้น ขอให้เราตระหนักในพระราชกิจอันเลิศประเสริฐของพระองค์ ดูแลสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างดี และประกาศว่าพวกมันดีเลิศ!

เท้าที่งดงาม

จอห์น แนช ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1994 สำหรับการบุกเบิกงานด้านคณิตศาสตร์ สมการของเขาถูกนำไปใช้โดยธุรกิจทั่วโลกในการทำความเข้าใจพลวัตของการต่อสู้และการแข่งขัน หนังสือและหนังยาวเรื่องหนึ่งได้บันทึกเรื่องราวชีวิตของเขา โดยพูดถึงเขาว่ามี “ความคิดที่งดงาม” ไม่ใช่เพราะสมองของเขามีความงดงามที่น่าดึงดูดเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะสิ่งที่สมองทำต่างหาก

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ในพันธสัญญาเดิมใช้คำว่า งาม เพื่อบรรยายถึงเท้า ไม่ใช่เพราะลักษณะทางกายภาพที่มองเห็นได้ แต่เพราะท่านเห็นความงามในสิ่งที่เท้านั้นทำ “เท้าของผู้นำข่าวดีมา ก็งามสักเท่าใดที่บนภูเขา” (อสย.52:7) หลังจาก 70 ปีของการตกไปเป็นเชลยในกรุงบาบิโลนอันเนื่องมาจากความไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ผู้ส่งสารก็มาพร้อมกับถ้อยคำหนุนใจว่าอีกไม่นานประชากรของพระเจ้าจะได้กลับบ้าน เพราะ “พระเจ้า...ทรงไถ่เยรูซาเล็มแล้ว” (ข้อ 9)

ข่าวดีนี้ไม่ได้เกิดจากกำลังทหารของชนอิสราเอลหรือความพยายามใดๆ ของมนุษย์ แต่เป็น “พระกรอันบริสุทธิ์” ของพระเจ้าที่กระทำการแทนพวกเขา (ข้อ 10) เช่นเดียวกับในทุกวันนี้ เรามีชัยชนะเหนือศัตรูฝ่ายวิญญาณผ่านการสละพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อเรา และเราตอบสนองโดยการเป็นผู้ส่งข่าวดี ผู้ประกาศสันติภาพ ข่าวประเสริฐ และความรอดแก่คนรอบข้าง และเราทำเช่นนั้นด้วยเท้าที่งดงาม

อัศจรรย์แห่งการทรงสร้าง

ขณะที่ทิมกำลังเดินอยู่บนธารน้ำแข็งรูทในอลาสก้า เขาเจอบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ทิมจะศึกษาเรื่องธารน้ำแข็งมาอย่างเชี่ยวชาญ แต่เขากลับไม่คุ้นเคยกับลูกบอลเล็กๆจำนวนมากที่ปกคลุมด้วยมอสนี้เลย หลังจากติดตามลูกบอลสีเขียวสดใสเหล่านี้เป็นเวลาหลายปี ทิมและเพื่อนร่วมงานพบว่ามันไม่เหมือนมอสที่ขึ้นบนต้นไม้ พวก “หนูธารน้ำแข็ง” นี้ไม่ติดอยู่กับที่ ที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นคือมันเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันเหมือนฝูงสัตว์ ในตอนแรกทิมและเพื่อนร่วมงานสงสัยว่าพวกมันถูกลมพัดหรือกลิ้งลงเนิน แต่การศึกษาวิจัยของพวกเขาทำให้สมมติฐานเหล่านั้นตกไป

พวกเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าลูกบอลมอสเคลื่อนที่ได้อย่างไร ความลึกลับเช่นนี้เน้นย้ำถึงความสร้างสรรค์ของพระเจ้า ในการทรงสร้างนั้น พระเจ้าตรัสสั่งแผ่นดินให้ “เกิดพืช” ในรูปของผักหญ้าและต้นไม้ (ปฐก.1:11) การออกแบบของพระองค์รวมถึงหนูธารน้ำแข็งด้วย แม้พวกเราส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นมันกับตา หากไม่ได้ไปที่ธารน้ำแข็งซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับพวกมัน

หนูธารน้ำแข็งดึงดูดนักวิทยาศาสตร์ด้วยปุยสีเขียวนับตั้งแต่ถูกค้นพบในช่วงทศวรรษ 1950 เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรพืชที่ทรงสร้าง พระองค์ “ทรงเห็นว่าดี” (ข้อ 12) รอบตัวเราเต็มไปด้วยพืชพันธุ์ที่พระเจ้าทรงออกแบบ แต่ละชนิดแสดงถึงฤทธิ์เดชแห่งการสร้างสรรค์ของพระองค์และเชื้อเชิญให้เรานมัสการพระองค์ เราสามารถชื่นชมยินดีในต้นไม้และผักหญ้าทุกต้นที่พระองค์ทรงสร้าง เพราะพวกมันถูกสร้างมาอย่างดี!

ซ่อนตัวจากพระเจ้า

ฉันหลับตาปี๋และเริ่มนับเสียงดัง เพื่อนร่วมชั้นป. 3 ของฉันวิ่งแยกย้ายออกจากห้องอย่างรวดเร็วเพื่อหาที่ซ่อน หลังจากหาตามตู้ใส่ของ หีบ และตู้เสื้อผ้าทุกหลังอยู่นาน ฉันก็ยังหาเพื่อนไม่พบสักคน ฉันรู้สึกขบขันเมื่อในที่สุดฉันก็มองเห็นเพื่อนคนหนึ่งหลังแผงเฟิร์นกระถางที่ห้อยลงมาจากเพดาน มีเพียงศีรษะของเธอที่ถูกเฟิร์นบังไว้บางส่วน แต่มองเห็นลำตัวส่วนที่เหลือของเธอได้อย่างชัดเจน!

เพราะพระเจ้าทรงสัพพัญญู เมื่ออาดัมและเอวา “หลบไปซ่อนตัว” (ปฐก.3:8) อยู่ในสวนเอเดน พระองค์ก็ทรง “มองเห็น” พวกเขาตลอดเวลา แต่พวกเขาไม่ได้กำลังเล่นเกมแบบเด็กๆ พวกเขากำลังเผชิญกับการรู้สำนึกดีชั่วและความละอายจากการทำผิดของพวกเขาโดยการกินผลจากต้นไม้ที่พระเจ้าห้ามไว้

อาดัมและเอวาหันไปจากพระเจ้าและการจัดเตรียมอันเปี่ยมด้วยความรักของพระองค์ เมื่อพวกเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ แต่แทนที่พระเจ้าจะทรงพิโรธและเลิกยุ่งกับพวกเขา พระองค์กลับตามหา ตรัสถามว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน”
(ข้อ 9) ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่ทรงต้องการให้เขารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นห่วงและสงสารพวกเขา

ฉันไม่เห็นเพื่อนที่ซ่อนตัวอยู่ แต่พระเจ้าทรงมองเห็นและรู้จักเราเสมอ สำหรับพระองค์แล้วทรงมองเห็นเราอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงตามหาอาดัมและเอวา พระเยซูก็ทรงตามหาเราในขณะที่ “ยังเป็นคนบาป” และได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อสำแดงถึงความรักที่ทรงมีต่อเรา (รม.5:8) เราไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา