ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kenneth Petersen

ความรักพระเจ้า

ในปี 1917 เฟรเดอริค ลีห์แมน นักธุรกิจจากแคลิฟอร์เนียซึ่งประสบกับวิกฤตด้านการเงินได้แต่งเนื้อเพลงนมัสการ “ความรักพระเจ้า” แรงบันดาลใจที่มีทำให้เขาเขียนสองท่อนแรกได้อย่างรวดเร็วแต่กลับติดขัดในท่อนที่สาม เขานึกถึงบทกวีที่ถูกค้นพบบนผนังคุกแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน นักโทษคนหนึ่งสลักมันไว้บนหิน บรรยายถึงการรับรู้อย่างลึกซึ้งถึงความรักของพระเจ้า กวีบทนี้มีความยาวพอดีกับเพลงนมัสการของลีห์แมน เขาจึงใช้มันในท่อนที่สาม

มีหลายครั้งที่เราต้องเผชิญกับวิกฤตที่ยากลำบากเช่นเดียวกับลีห์แมนและนักกวีในคุกคนนั้น ในเวลาแห่งความสิ้นหวัง เราควรสะท้อนถ้อยคำของดาวิดผู้เขียนสดุดีและ “ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของ[พระเจ้า]” (สดด.57:1) เป็นการดีที่จะ “ร้องทูลต่อพระเจ้า” ถึงปัญหาของเรา (ข้อ 2) ทูลพระองค์ถึงความทุกข์ที่เรากำลังเผชิญและความกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อเรา “อยู่ท่ามกลางเหล่าสีหราช” (ข้อ 4) ในไม่ช้าเราจะระลึกถึงการทรงจัดเตรียมของพระเจ้าในอดีต และร่วมกล่าวไปพร้อมกับดาวิดว่า “ข้าพระองค์จะร้องเพลง ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดี...ข้าพเจ้าจะปลุกอรุณ” (ข้อ 7-8)

เพลงนมัสการบทนี้ประกาศว่า “ความรักพระเจ้ากว้างใหญ่ไพศาล” ตามด้วย “รักนั้นสูงเหนือดาวเดือนตะวัน” ในเวลาที่เราลำบากยากเข็ญที่สุด เราจะยิ่งเห็นว่าความรักของพระเจ้านั้นใหญ่ยิ่ง “ถึงฟ้าสวรรค์” (ข้อ 10) เพียงใด

อายุขัย

ในปี ค.ศ.1990 นักวิจัยชาวฝรั่งเศสพบปัญหาทางคอมพิวเตอร์ มีข้อผิดพลาดทางข้อมูลขณะกำลังประมวลผลอายุของฌาน กาลม็อง เธออายุ 115 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่อยู่นอกการคำนวณของโปรแกรม ผู้เขียนโปรแกรมสันนิษฐานว่าไม่มีใครจะมีชีวิตยืนยาวขนาดนั้น! จริงๆแล้วฌานมีชีวิตจนถึงอายุ 122 ปี

ผู้เขียนสดุดีเขียนว่า “กำหนดปีของข้าพระองค์คือเจ็ดสิบ หรือสุดแต่เรื่องกำลังก็ถึงแปดสิบ” (สดด.90:10) นี่เป็นการพูดเปรียบเทียบว่าไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อไหร่ แม้จะอายุเท่ากับฌาน กาลม็องก็ตาม ชีวิตของเราบนโลกนี้ก็มีขีดจำกัด เวลาชีวิตของเราอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก (ข้อ 5) แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เราถูกเตือนว่า “เวลาของพระเจ้า” ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร “เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์เป็นเหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว” (ข้อ 4)

และโดยพระเยซูคริสต์ “อายุขัย” ได้ถูกนิยามความหมายใหม่ “ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์” (ยน.3:36) คำว่า “มี” คำนี้อยู่ในรูปกาลปัจจุบัน หมายถึง ณ เวลานี้ ในช่วงเวลาขณะที่เรามีความทุกข์ยากและน้ำตา อนาคตของเราได้รับการอวยพร และเวลาชีวิตของเราไม่มีที่สิ้นสุด

เราชื่นชมยินดีในเรื่องนี้และอธิษฐานร่วมกับผู้เขียนพระธรรมสดุดีว่า “ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่มในเวลาเช้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เปรมปรีดิ์และยินดีตลอดวันเวลาของข้าพระองค์” (สดด.90:14)

เมล็ดพันธุ์แห่งกาลเวลา

ในปี 1879 คนที่เห็นวิลเลียม บีลมักจะคิดว่าเขาเป็นคนโง่ พวกเขาจะได้เห็นศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์บรรจุเมล็ดพืชต่างๆลงไปในขวด 20 ขวด แล้วฝังลึกลงไปใต้ดิน สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ บีลกำลังทำการทดลองเรื่องความอยู่รอดของเมล็ดพืชซึ่งจะกินเวลาหลายศตวรรษ ทุกๆ 20 ปีจะมีการขุดขึ้นมาหนึ่งขวดเพื่อนำเมล็ดในนั้นมาเพาะและรอดูว่าเมล็ดใดจะงอกขึ้นมาบ้าง

พระเยซูตรัสเรื่องการหว่านเมล็ดไว้หลายครั้ง โดยบ่อยครั้งทรงเปรียบการหว่านเมล็ดกับการหว่าน “พระวจนะ” (มก.4:15) พระองค์สอนว่าเมล็ดพืชบางชนิดถูกซาตานแย่งชิงไป ขณะที่บางเมล็ดไม่มีรากฐานและไม่หยั่งรากลึก และบางเมล็ดก็หยุดการเติบโตจากสภาวะแวดล้อมและตายไปในที่สุด (ข้อ 15-19) เมื่อเราเผยแพร่ข่าวประเสริฐ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราว่าเมล็ดพันธุ์ใดจะรอด เรามีหน้าที่แค่หว่านพระกิตติคุณโดยบอกคนอื่นเรื่องพระเยซู “จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” (16:15)

ในปี 2021 ได้มีการขุดขวดของบีลขึ้นมาอีกขวดหนึ่ง นักวิจัยได้เพาะเมล็ดพืชเหล่านั้นและบางต้นก็งอกขึ้นโดยอยู่รอดมากว่า 142 ปี เมื่อพระเจ้าทำงานผ่านเราและเราแบ่งปันความเชื่อของเรากับผู้อื่น เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าพระวจนะที่เราหว่านออกไปนั้นจะหยั่งรากและเกิดผลเมื่อใด แต่เราได้รับการหนุนใจว่า ข่าวประเสริฐที่เราหว่านออกไปนั้นอาจจะมีบางคนที่ “รับไว้ จึงเกิดผล” (4:20) แม้จะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม

ความเมตตาเดินทาง

คุณอาจเริ่มต้นการเดินทางจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาในเมืองที่เต็มไปด้วยฝุ่นที่ชื่อ Why (ทำไม) ในรัฐแอริโซน่า การเดินทางข้ามประเทศจะนำคุณผ่านเมือง Uncertain (ไม่แน่ใจ) รัฐเท็กซัส ขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือคุณจะได้หยุดพักที่เมือง Dismal (จืดชืด) รัฐเทนเนสซี ในที่สุดคุณจะถึงจุดหมายที่เมือง Panic (ตื่นตระหนก) รัฐเพนซิลเวเนีย เหล่านี้คือสถานที่จริงของอเมริกา แม้จะไม่น่าเป็นการเดินทางที่คุณอยากจะไป

บางครั้งการเดินทางของชีวิตก็เป็นเช่นนี้ เราเข้าใจได้โดยง่ายถึงชีวิตที่ทุกข์ยากของชนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร (ฉธบ.2:7) ชีวิตอาจจะยาก แต่เรามองเห็นเส้นขนานอีกเส้นหนึ่งไหม เรากำหนดแผนการเดินทางของเราเองโดยหันไปจากทางของพระเจ้า (1:42-43) เราทำเหมือนชนชาติอิสราเอลที่มักจะบ่นเรื่องความต้องการของตนเอง (กดว.14:2) ความหงุดหงิดในแต่ละวันทำให้เราสงสัยในพระประสงค์ของพระเจ้า (ข้อ 11) เรื่องราวของชนชาติอิสราเอลเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชีวิตของเรา

พระเจ้าทรงรับรองกับเราว่าถ้าเราเดินตามทางของพระองค์ พระองค์จะทรงนำเราไปถึงสถานที่ที่ดีกว่าเมืองอันจืดชืด พระองค์จะทรงจัดเตรียมให้ และเราจะไม่ขัดสนสิ่งใดเลย (ฉธบ.2:7; ฟป.4:19) แต่แม้เราจะรู้ข้อนี้ดี เราก็มักจะไม่ทำตาม เราจำเป็นต้องทำตามแผนการของพระเจ้า

ถ้าขับรถยนต์ต่อไปอีกสักหน่อยประมาณหกชั่วโมง คุณจะได้ออกจากเมือง Panic (ตื่นตระหนก) ไปยังเมือง Assurance (ความมั่นใจ) รัฐเวสต์เวอร์จิเนียถ้าเรายอมให้พระเจ้าทรงนำทางเดินของเรา (สดด.119:35) เราจะได้เดินทางด้วยความชื่นชมยินดีโดยมีพระองค์เป็นผู้ควบคุมดูแล ช่างเป็นความมั่นใจอันแน่นอนจริงๆ!

การดี

เมื่อเป็นวัยรุ่น ชาร์ลส์ สเปอร์เจียนปล้ำสู้กับพระเจ้า เขาเติบโตมากับการไปโบสถ์ แต่คำเทศนาดูจืดชืดและไร้ความหมาย เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเชื่อในพระเจ้า “ดื้อรั้นและขัดขืน” คือคำที่เขาใช้พูดถึงตัวเอง คืนหนึ่งพายุหิมะที่รุนแรงบังคับให้ตัวเขาในวัยสิบหกต้องหาที่หลบในคริสตจักรเมธอดิสต์เล็กๆ คำเทศนาของศิษยาภิบาลดูเหมือนพุ่งเป้ามาที่เขาโดยตรง ในชั่วขณะนั้นพระเจ้าทรงมีชัยในการปล้ำสู้ และเขาได้มอบหัวใจให้พระเยซู 

เขาเขียนในเวลาต่อมาว่า “ก่อนที่ผมจะเริ่มต้นกับพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นในชีวิตผมมานานแล้ว” อันที่จริงชีวิตของเรากับพระเจ้าไม่ได้เริ่มต้นในวินาทีที่รับความรอด ผู้เขียนเพลงสดุดีบันทึกว่าพระเจ้า “ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์” ทรงถักทอเราเข้าด้วยกันในครรภ์มารดา (สดด.139:13) อัครทูตเปาโลเขียนว่า “พระเจ้าทรงเลือกข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่กำเนิด และทรงเรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์” (กท.1:15 TNCV) และพระเจ้าไม่ได้ทรงหยุดกระทำกิจในชีวิตของเราเมื่อเราได้รับความรอด “พระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จ” (ฟป.1:6)

เราทุกคนเป็นผลงานที่ก้าวหน้าในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงรัก พระองค์ทรงนำเราผ่านการต่อสู้ขัดขืนและเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของพระองค์ แต่พระประสงค์ต่อเราในเวลานั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟป.2:13) จงวางใจเถิด เราเป็นผลงานที่ดีเยี่ยมของพระองค์ ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่หรืออยู่ในช่วงใดของชีวิต

สร้างร่วมกันเพื่อการรับใช้

ในวิถีชีวิตชนบทของชาวอามิช การสร้างโรงนาเป็นกิจกรรมทางสังคม ต้องใช้เวลาหลายเดือนสำหรับชาวนาและครอบครัวของเขาในการสร้างโรงนา แต่ชาวอามิชร่วมมือกันจึงจัดการได้อย่างรวดเร็ว มีการสะสมไม้ท่อนไว้ล่วงหน้า เครื่องมือถูกเตรียมไว้ในวันที่กำหนด ชาวอามิชทุกคนจะมารวมตัวกันแต่เช้า แบ่งหน้าที่และเริ่มลงแรงกันสร้างโรงนา ซึ่งบางครั้งเสร็จภายในวันเดียว

นี่เป็นภาพที่ถูกต้องของนิมิตที่พระเจ้าทรงมีต่อคริสตจักรและบทบาทของเรา พระคัมภีร์กล่าวว่า “ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น” (1 คร.12:27) พระเจ้าทรงฝึกเราแต่ละคนมาแตกต่างกัน และทรงแบ่งงานที่เราแต่ละคนจะ “ทำงานตามความเหมาะสม” ในฐานะอวัยวะของร่างกายที่ “ติดต่อสนิทและประสานกัน” (อฟ.4:16) ภายในชุมชนนั้น เราได้รับการชูใจให้ “ช่วยรับภาระของกันและกัน” (กท.6:2)

แต่บ่อยครั้งที่เรามักเผชิญโดยลำพัง เราเก็บความต้องการของเราเอาไว้ เพื่อต้องการที่จะควบคุมสถานการณ์ของเราเอง หรือเราล้มเหลวในการเอื้อมมือออกไปช่วยแบกรับความต้องการของคนอื่น แต่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราเชื่อมสัมพันธ์กับคนอื่น พระองค์ทรงรู้ว่าสิ่งงดงามจะเกิดขึ้นเมื่อเราขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นและอธิษฐานเพื่อความต้องการของพวกเขา

ด้วยการพึ่งพากันและกันเท่านั้นเราจึงจะได้ประสบกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้เรา และบรรลุตามแผนงานอันน่าทึ่งที่พระองค์ทรงมีสำหรับชีวิตเรา นี่จะเป็นเหมือนกับการสร้างโรงนาในหนึ่งวัน

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา