รับใช้พระคริสต์
ฉันเป็นเลขานุการ” เพื่อนของฉันเล่าให้ฟัง “บางครั้งเวลาฉันบอกคนอื่นอย่างนี้ พวกเขาจะมองฉันอย่างเห็นใจ แต่พอรู้ว่าฉันเป็นเลขาของใคร พวกเขาก็ตาโตด้วยความชื่นชม” อาจกล่าวได้ว่า สังคมมักมองว่างานบางอย่างมีความสำคัญน้อยกว่างานอื่น เว้นแต่ว่างานนั้นเกี่ยวข้องกับคนมีฐานะ หรือมีชื่อเสียง
แต่สำหรับลูกของพระเจ้า เราสามารถภาคภูมิใจได้ ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใดหรือเป็นลูกจ้างของใคร เพราะเรารับใช้พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า
ในเอเฟซัส 6 เปาโลกล่าวกับทาสและ เจ้านาย ท่านเตือนคนทั้งสองกลุ่มว่า เรารับใช้เจ้านายองค์เดียวผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ดังนั้นเราจำเป็นต้องทำทุกสิ่งด้วยความจริงใจ สัตย์ซื่อและยำเกรง เพราะเรากำลังรับใช้และทำงานเพื่อพระคริสต์ เช่นเดียวกับที่อัครทูตเปาโลเตือนเราว่า “จงปรนนิบัตินายด้วยจิตใจชื่นบาน เหมือนกับปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ปรนนิบัติมนุษย์” (เอเฟซัส 6:7)
ถือเป็นสิทธิพิเศษที่ได้รับใช้พระเจ้าในทุกสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นงานรับโทรศัพท์ ขับรถ ทำงานบ้านหรือทำธุรกิจ ขอให้วันนี้เราทำงานด้วยรอยยิ้มและระลึกเสมอว่า ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด เรากำลังรับใช้พระเจ้าอยู่
น้ำตาและเสียงหัวเราะ
ในค่ายรีทรีตปีที่แล้ว ฉันได้พบกับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานาน เราหัวเราะด้วยกัน แต่ก็ร้องไห้ด้วย เพราะที่ผ่านมาฉันคิดถึงพวกเขามากเหลือเกิน
ในวันสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน เราฉลองพระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู ซึ่งมีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ฉันยินดีในพระคุณของพระเจ้าผู้ประทานชีวิตนิรันดร์และวันแห่งความสุขกับเพื่อนๆ ให้ และฉันร้องไห้เมื่อคิดถึงสิ่งที่พระเยซูต้องเสียสละเพื่อไถ่ฉันจากความบาป
ฉันคิดถึงเอสราและวันแห่งความชื่นชมยินดีในกรุงเยรูซาเล็ม ผู้พลัดถิ่นได้กลับจากการเป็นเชลยและวางรากฐานของพระนิเวศแห่งพระเจ้าสำเร็จ ผู้คนร้องเพลงด้วยความยินดี แต่ปุโรหิตแก่เฒ่าบางคนร้องไห้ (อสร.3:10-12) พวกเขาอาจยังจำพระวิหารของซาโลมอนและความรุ่งเรืองในสมัยก่อนได้ หรือพวกเขาอาจกำลังเศร้าโศกกับความบาปที่เป็นเหตุให้ถูกจับไปเป็นเชลย
บางครั้งเมื่อเราเห็นพระเจ้ากระทำกิจ เราอาจมีความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งชื่นชมยินดีเมื่อเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้า และเศร้าเสียใจเมื่อคิดถึงความบาปที่ทำให้พระเยซูต้องสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
คนอิสราเอลร้องเพลงและร้องไห้ เสียงนั้นได้ยินไปไกล (อสร.3:13) ขอให้อารมณ์ของเราเป็นการแสดงความรักและนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า และสัมผัสใจคนรอบข้างเรา
ทำไมต้องเป็นฉัน
รูธเป็นคนต่างชาติ เธอเป็นหม้ายและยากจน ในหลายแห่งทั่วโลกนี้ เธอคงถูกมองว่าไม่สำคัญ เป็นคนที่ไม่มีอนาคตไร้ซึ่งความหวังใดๆ แต่รูธได้รับความชื่นชมจากญาติของสามีผู้ล่วงลับ เขาเป็นคนมั่งมีและเป็นเจ้าของทุ่งนาที่เธอขอเข้าไปเก็บเมล็ดข้าวตก เมื่อได้รับความเมตตานั้น รูธถามว่า “ดิฉันเป็นแต่เพียงคนต่างด้าว ทำไมท่านจึงมองดิฉันด้วยความเอาใจใส่” (นางรูธ 2:10)
โบอาส ชายผู้ชอบธรรมที่สำแดงความเมตตาแก่นางรูธ ตอบเธออย่างตรงไปตรงมาว่า เขาได้ยินถึงสิ่งที่เธอปฏิบัติต่อนาโอมีผู้เป็นแม่สามี และที่เธอเลือกที่จะจากชนชาติของตนมาติดตามพระเจ้าของนาโอมี โบอาสขอพระเจ้าทรงตอบแทนความดีของเธอ ผู้ที่เข้ามาพึ่งใต้ร่มบารมีของพระองค์ (นางรูธ 1:16; 2:11-12; ดู สดุดี 91:4) เพราะโบอาสเป็นญาติสนิทถัดมา (นางรูธ 3:9) เขาจึงรับรูธมาเป็นภรรยา ได้กลายเป็นผู้ปกป้องและเป็นส่วนหนึ่งของคำอธิษฐานนั้น
เราก็เหมือนนางรูธ คือเป็นคนต่างชาติและห่างไกลจากพระเจ้า เราอาจสงสัยว่าทำไมพระเจ้าจึงเลือกที่จะรักเราทั้งที่เราไม่คู่ควร คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา แต่อยู่ที่พระเจ้า “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (โรม 5:8) พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ไถ่เรา เมื่อเราเข้ามาหาพระองค์ในความรอด เราก็อยู่ภายใต้ปีกแห่งการคุ้มครองของพระองค์
ส่องสว่าง
เด็กหญิงคนหนึ่งสงสัยว่านักบุญเป็นอย่างไร วันหนึ่งแม่จึงพาเธอไปมหาวิหารเพื่อดูหน้าต่างกระจกสีอันสวยงามที่บอกเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์ เมื่อเห็นความงดงามนั้น เธอร้องเสียงดังว่า “หนูรู้แล้วว่านักบุญคือใคร นักบุญคือคนที่ยอมให้แสงส่องผ่าน”
เราบางคนอาจคิดว่า นักบุญคือบุคคลในอดีตที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบและทำการอัศจรรย์แบบพระเยซู แต่พระคัมภีร์แปลคำว่านักบุญ(ธรรมิกชน) ว่าหมายถึงทุกคนที่เป็นของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระคริสต์ พูดอีกนัยหนึ่ง คือ ธรรมิกชนคือพวกเราที่พระเจ้าทรงเรียกเป็นพิเศษให้รับใช้ ในขณะเดียวกันก็สะท้อนความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ในทุกที่ที่เราอยู่และในทุกสิ่งที่เราทำ ด้วยเหตุนี้อัครทูตเปาโลจึงอธิษฐานให้ตาใจของผู้อ่านเปิดออก เพื่อจะได้รู้ว่าพวกเขาเป็นมรดกอันล้ำค่าของพระคริสต์และเป็นธรรมิกชนของพระเจ้า (เอเฟซัส 1:18)
แล้วเราเห็นอะไรในกระจกเงา ไม่ใช่รัศมีหรือกระจกสี แต่ถ้าเราทำตามการทรงเรียกที่มี เราจะเป็นเหมือนคนที่ยอมให้แสงสีอันงดงามของความรักความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตนของพระเจ้าส่องผ่านโดยไม่รู้ตัว
พระเจ้าผู้ทรงแต่งแต้ม
เนซาวัลคาโยตี (Nezahualcoyotl) (1402-1472) เป็นชื่อที่มีความหมายว่า “สุนัขป่าผู้หิวโหย” และข้อเขียนต่างๆ ของชายผู้นี้บ่งชี้ถึงความหิวโหยฝ่ายวิญญาณ เขาเป็นกวีและผู้ปกครองเมืองในเม็กซิโกก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้าถึง เขาเขียนไว้ว่า “แท้จริงแล้วบรรดาพระที่ข้าพเจ้านมัสการ เป็นเพียงรูปเคารพหินซึ่งไม่อาจพูดหรือรู้สึกได้... แต่มีพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งมีฤทธิ์อำนาจมาก ปิดซ่อนและไม่เป็นที่รู้จัก เป็นผู้สร้างจักรวาลทั้งหมด พระองค์เป็นผู้เดียวที่สามารถปลอบประโลมความเจ็บปวด และช่วยเหลือยามทุกข์ใจ ข้าพเจ้าต้องการให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยและผู้คุ้มครองข้าพเจ้า”
เราไม่อาจทราบได้ว่าเนซาวัลคาโยตีได้พบพระเจ้าผู้ประทานชีวิตหรือไม่ แต่ในช่วงที่เขาปกครองอยู่นั้น เขาได้สร้างพีระมิดให้แก่ “พระเจ้าผู้ทรงแต่งแต้มสิ่งสารพัดด้วยความงาม” และเขาสั่งห้ามการบูชายัญมนุษย์อีกด้วย
ผู้เขียนสดุดี 42 ร้องคร่ำครวญว่า “จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระเจ้า หาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” (สดุดี 42:2) มนุษย์ทุกคนต้องการพระเจ้าเที่ยงแท้ เหมือนกับ “กวางกระเสือกกระสนหาลำธารที่มีน้ำไหล” (สดุดี 42:1)
ทุกวันนี้มีสุนัขป่าผู้หิวโหยมากมาย ซึ่งรู้ว่าชื่อเสียง เงินทอง และความสัมพันธ์อันเป็นเสมือนรูปเคารพ ไม่อาจเติมเต็มช่องว่างในจิตวิญญาณได้ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ทรงเปิดเผยพระองค์เองผ่านทางพระเยซู พระองค์ผู้เดียวสามารถเติมเต็มและทำให้ชีวิตมีความหมาย นี่เป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่กระหายหาพระเจ้าผู้ทรงแต่งแต้มสิ่งสารพัดด้วยความงาม
จัดเตรียมอย่างบริบูรณ์
เรามีที่ให้อาหารนกฮัมมิ่งเบิร์ดในสวน และเราชอบดูนกตัวน้อยมาดูดน้ำหวาน แต่ไม่นานมานี้ เราต้องเดินทางและลืมเติมน้ำหวานไว้ เมื่อเรากลับมา มันแห้งสนิท ฉันรู้สึกสงสารนกพวกนั้น ความขี้ลืมของฉันทำให้มันไม่ได้รับอาหาร แล้วฉันก็นึกได้ว่าฉันไม่ใช่ผู้ที่เลี้ยงดูนก แต่เป็นพระเจ้าต่างหาก
บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าภาระต่างๆ ในชีวิตทำให้เราหมดกำลังและไม่มีใครมาเติมให้เต็ม แต่คนอื่นๆ ไม่ใช่ผู้ที่เลี้ยงดูจิตใจของเรา แต่เป็นพระเจ้า
ในสดุดี 36 เราได้อ่านเรื่องความรักเมตตาของพระเจ้า คนที่วางใจในพระองค์จะได้อิ่มอย่างบริบูรณ์ พระเจ้าประทานน้ำจาก “แม่น้ำแห่งความสุขเกษม” (สดุดี 36:8) พระองค์ทรงเป็นน้ำพุแห่งชีวิต
เราสามารถเข้าหาพระเจ้าทุกวันเพื่อเติมเต็มสิ่งที่เราขาด ดังที่ชาร์ลส์สเปอร์เจียนเขียนไว้ว่า “น้ำพุแห่งความเชื่อและพระคุณ น้ำพุแห่งชีวิตและความสุข น้ำพุแห่งกิจการงานและการทำสิ่งถูกต้อง น้ำพุแห่งความหวัง และการรอคอยแผ่นดินสวรรค์ ทั้งสิ้นอยู่ในพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์”
ขอให้เราอิ่มเอมด้วยการจัดเตรียมอย่างบริบูรณ์ของพระองค์ น้ำพุของพระองค์จะไม่มีวันเหือดแห้ง
โลหิตแห่งชีวิต
แมรี่ แอน เชื่อพระเจ้าและพระเยซูพระบุตร แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพระเยซูต้องทรงหลั่งโลหิตเพื่อไถ่บาป มีหรือที่จะชำระอะไรด้วยโลหิตได้ แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะบริสุทธิ์เพราะโลหิต” (ฮบ.9:22 TNCV) ซึ่งสำหรับแมรี่ แอนเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
แล้ววันหนึ่งเธอต้องเข้าโรงพยาบาล เธอมีโรคทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน หมอเริ่มตระหนก เมื่อโรคนี้เริ่มโจมตีระบบไหลเวียนโลหิต ขณะที่เธออยู่ในห้องฉุกเฉิน เธอคิดว่า ถ้าฉันเสียเลือด ฉันจะตาย แต่พระเยซูทรงหลั่งโลหิต ฉันจึงมีชีวิต
ทันใดนั้น ทุกอย่างเริ่มสมเหตุสมผล ท่ามกลางความเจ็บปวด แมรี่ แอน รู้สึกชื่นชมยินดีและมีสันติสุข เธอเข้าใจแล้วว่าเลือดคือชีวิต และชีวิตที่บริสุทธิ์เป็นสิ่งจำเป็นในการคืนดีกับพระเจ้า ทุกวันนี้เธอสบายดี เธอขอบคุณพระเจ้าสำหรับสุขภาพและการที่พระเยซูสิ้นพระชนม์แทนเธอ
ฮีบรูบทที่ 9 อธิบายความหมายของพิธีกรรม โลหิตในพันธสัญญาเดิม (ฮบ.9:16-22) และการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ซึ่งทำให้การถวายสัตวบูชาสิ้นสุดลง (ฮบ.9:23-26) พระองค์ทรงยอมแบกบาปของเรา ยอมตายและหลั่งพระโลหิตเพื่อเป็นเครื่องบูชำแทนเรา เราจึงมีใจกล้ำที่จะเข้าสู่พระพักตร์พระเจ้า เราจะขอบคุณพระเยซูอย่างไรให้สมกับการที่พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาเพื่อเรา ชีวิตของพระองค์เพื่อชีวิตของเรา พระบิดาของพระองค์เป็นพระบิดาของเรา
ฝึกฝนตลอดชีวิต
เมื่อไม่นานนี้ฉันได้พบผู้หญิงคนหนึ่งที่ทุ่มเทใจและกายอย่างเต็มที่ เธอปีนเขาเผชิญความตายและทำลายสถิติโลก ตอนนี้เธอกำลังเผชิญความท้าทายอีกอย่างหนึ่ง คือการเลี้ยงลูกที่เป็นเด็กพิเศษ เธอใช้ความกล้าหาญและศรัทธาเมื่อยามปีนเขา แปรเปลี่ยนสู่ความเป็นแม่
ใน 1 โครินธ์ เปาโลพูดถึงนักกีฬาที่วิ่งแข่งกัน หลังจากหนุนใจคริสตจักรที่รักสิทธิเสรีภาพให้ทำอะไรโดยเห็นแก่ผู้อื่น (1 โครินธ์ 8) เปาโลเปรียบเทียบความรักและการอุทิศชีวิตเหมือนกับการวิ่งแข่งมาราธอน (1 โครินธ์ 9) ในฐานะที่เป็นสาวกของพระคริสต์ พวกเขาต้องละทิ้งสิทธิของตัวเองเพื่อเชื่อฟังพระองค์
เช่นเดียวกับนักกีฬาที่ฝึกฝนร่างกายเพื่อให้ได้มงกุฎ เราเองก็ฝึกฝนร่างกายและจิตใจเพื่อให้จิตวิญญาณเข้มแข็ง เมื่อเราขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เปลี่ยนแปลงเรา เราก็กำลังทิ้งตัวเก่าของเราไปทีละน้อยๆ ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เราหยุดพูดถ้อยคำโหดร้าย เราละอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และใช้เวลากับเพื่อนตรงหน้า เราไม่จำเป็นต้องเถียงชนะเสมอ
เมื่อเราฝึกฝนเพื่อวิ่งในพระวิญญาณของพระคริสต์ในวันนี้ พระเจ้าจะทรงต้องการหล่อหลอมชีวิตของเราอย่างไร
ก่อนมีโทรศัพท์
ในฐานะที่เป็นแม่ที่มีลูกเล็ก บางครั้งฉันก็มักตื่นตระหนก ปฏิกิริยาแรกของฉันคือโทรศัพท์หาแม่และถามว่าจะทำอย่างไรกับอาการแพ้ของลูกชายหรืออาการไอของลูกสาว