วิถีชีวิตที่สรรเสริญ
แม่ของวอลเลซ สเต็กเนอร์เสียชีวิตตอนอายุ 50 ปี เมื่อวอลเลซอายุ 80 ปีเขาจึงได้เขียน “จดหมายที่สายเกินไป” ถึงท่าน ซึ่งยกย่องคุณความดีของสตรีคนหนึ่งที่เติบโต แต่งงาน และเลี้ยงลูกชายสองคนในยุคเริ่มต้นของอเมริกาตะวันตกอันยากลำบาก ท่านเป็นภรรยาและแม่ผู้ให้กำลังใจ แม้กระทั่งกับคนที่ไม่มีใครต้องการ วอลเลซยังจดจำความเข้มแข็งของแม่ที่รับรู้ได้จากน้ำเสียงของท่าน เขาเขียนว่า “แม่ไม่เคยพลาดโอกาสร้องเพลง” แม่ของสเต็กเนอร์ร้องเพลงด้วยใจขอบพระคุณสำหรับพระพรทั้งน้อยใหญ่ตลอดชีวิตของท่าน
ผู้เขียนสดุดีฉวยโอกาสร้องเพลงเช่นกัน ท่านร้องเพลงทั้งในวันที่ดีและไม่ค่อยดี ไม่ใช่เพลงที่ถูกบังคับหรือข่มขู่ให้ร้อง แต่เป็นการตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติต่อ “ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” (146:6) และการที่พระองค์ “ประทานอาหารแก่คนที่หิว” (ข้อ 7) และ “ทรงเบิกตาของคนตาบอด” (ข้อ 8) และ “ทรงชูลูกกำพร้าพ่อและหญิงม่าย” (ข้อ 9) นี่เป็นวิถีชีวิตการขับร้องที่แท้จริง ซึ่งสร้างความแข็งแกร่งเหนือกาลเวลา ความวางใจในแต่ละวันอยู่ใน “พระเจ้าของยาโคบ” ผู้ “รักษาความสัตย์สุจริตไว้เป็นนิตย์” (ข้อ 5-6)
สิ่งสำคัญไม่ใช่คุณภาพเสียงของเรา แต่คือการตอบสนองของเราต่อความดีอันยั่งยืนของพระเจ้าด้วยการมีวิถีชีวิตที่สรรเสริญ เช่นที่บทเพลงนมัสการเก่าแก่บอกไว้ว่า “มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน”
อย่าลืมพระผู้ประทานให้
ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนคริสต์มาส ลูกๆของเธอกำลังมีปัญหาเรื่องการรู้จักขอบคุณ เธอรู้ว่าความคิดแบบนี้เกิดขึ้นได้ง่าย แต่เธออยากมอบสิ่งที่ดีกว่าให้กับจิตใจของลูกๆ เธอจึงติดโบว์สีแดงไว้ทั่วบ้าน คือที่สวิตซ์ไฟ ตู้กับข้าว ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า และก๊อกน้ำ มีข้อความผูกอยู่ที่โบว์เขียนว่า “เรามักมองข้ามของขวัญบางอย่างที่พระเจ้าให้ แม่เลยติดโบว์ที่สิ่งเหล่านั้น พระองค์ทรงแสนดีต่อครอบครัวเรา อย่าลืมว่าของขวัญเหล่านี้มาจากไหน”
ในเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 6 เราเห็นว่าอนาคตของชนชาติอิสราเอลขึ้นอยู่กับการยึดแผ่นดินที่มีอยู่แล้ว เพื่อพวกเขาจะได้ย้ายเข้าสู่เมืองใหญ่โตและดีซึ่งเขาไม่ได้สร้าง (ข้อ 10) และเรือนที่มีของดีเต็ม ซึ่งพวกเขามิได้สะสม และบ่อขังน้ำที่มิได้ขุดและสวนองุ่นกับสวนมะกอกเทศซึ่งเขามิได้ปลูกไว้ (ข้อ 11) พระพรทั้งหมดนี้ล้วนมาจากแหล่งเดียว คือ “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่าน” (ข้อ 10) และขณะที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้และอีกมากมายให้ด้วยความรัก โมเสสไม่ต้องการให้ประชาชนลืม (ข้อ 12)
ในบางช่วงของชีวิต เราหลงลืมได้ง่าย แต่อย่าละสายตาจากความดีของพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งพระพรของเรา
ค้นพบชีวิตที่สงบ
"โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร” เราทุกคนเคยได้ยินคำถามนี้ตอนเป็นเด็กและแม้แต่ตอนที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นคำถามที่เกิดจากความสนใจใคร่รู้และคำตอบบ่งบอกความมุ่งหมาย คำตอบของผมเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในช่วงหลายปี เริ่มจากโคบาล เป็นคนขับรถบรรทุก ตามด้วยทหารแล้วผมก็เข้ามหาวิทยาลัยโดยมีเป้าหมายที่จะเป็นแพทย์ แต่ไม่มีแม้สักครั้งที่มีคนแนะนำผมให้ใฝ่หา “ชีวิตที่สงบ” และผมก็นึกไม่ออกว่ามีใครใฝ่หาชีวิตเช่นนั้น
เหตุผลที่จะร้องเพลง
จะว่าไปแล้ว ถ้าเป็นคนที่เคร่งครัดในระเบียบวินัย ก็จะรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ผมทำอะไรหรือ คือผมเผลอหลับไป เวลาลูกๆ ออกไปข้างนอกตอนเย็น พวกเขาต้องกลับบ้านภายในเวลาที่กำหนด ลูกๆ เป็นเด็กดี แต่ผมเคยชินที่ต้องรอจนกว่าจะได้ยินเสียงลูกบิดประตู ผมต้องการแน่ใจว่าลูกๆ กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย ผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แต่ผมอยากทำ คืนหนึ่งผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นตอนที่ลูกสาวพูดกับผมยิ้มๆ ว่า “พ่อคะ หนูปลอดภัยดี พ่อไปนอนเถอะ” ถึงแม้จะตั้งใจแน่วแน่ แต่คนที่เป็นพ่อก็เผลอหลับระหว่างปฎิบัติหน้าที่ ซึ่งทำให้เราต้องถ่อมใจและเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
มีเรื่องให้โอ้อวด
การสำแดงตัวตนแท้คืออะไร นั่นคือคำถามใหญ่ที่มีคำตอบในหนังสือเด็กเล่มเล็กๆ ชื่อกระต่ายกำมะหยี่เทียม ซึ่งเป็นเรื่องราวของของเล่นในสถานเลี้ยงเด็กกับการเดินทางของกระต่ายกำมะหยี่ตัวหนึ่ง ที่จะได้กลายเป็นกระต่ายจริงเมื่อมีเด็กคนหนึ่งรักมัน ของเล่นอีกชิ้นหนึ่งคือม้าล้อลากทำด้วยหนังซึ่งสูงอายุและฉลาด มัน “ได้เห็นของเล่นที่มีกลไกรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่มาแล้วก็โอ้อวดและคุยโว แล้วค่อยๆ พังและจากไป” ของเล่นเหล่านั้นมีหน้าตาและเสียงน่าประทับใจ แต่การโอ้อวดของพวกมันในที่สุดแล้วไม่มีความหมายใดๆ เมื่อพูดถึงแง่ของความรัก
ปฏิบัติสิ่งที่ตนสอน
ยูจีน ปีเตอร์สัน ศิษยาภิบาลและนักเขียน ได้ฟังการบรรยายของพอล ตูนีเยร์ นายแพทย์ชาวสวิสและผู้ให้คำปรึกษาแบบอภิบาลที่ได้รับความนับถืออย่างสูง ปีเตอร์สัน เคยอ่านงานของเขาและชื่นชมแนวทางการรักษาของเขา ปีเตอร์สันประทับใจการบรรยายอย่างยิ่ง ขณะที่ฟัง เขารู้สึกว่าตูนีเยร์ดำเนินชีวิตตามสิ่งที่พูดและพูดสิ่งที่เขาทำ ปีเตอร์สันเลือกคำมาบรรยายประสบการณ์นั้น “สอดคล้อง เป็นคำที่เหมาะที่สุดที่ผมนึกออก”
ส่งจดหมาย
รูบี้เป็นเหมือนเด็กวัยสี่ขวบทั่วไป เธอชอบวิ่ง ร้องเพลง เต้นรำ และเล่น เมื่อเธอเริ่มบ่นว่าเจ็บหัวเข่า พ่อแม่พาเธอไปตรวจ ผลออกมาน่าตกใจเพราะเธอเป็นมะเร็งระยะที่ 4 ที่ระบบเนื้อเยื่อประสาท รูบี้ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลทันที
พระเยซูอยู่ข้างหลังคุณ
ลูกสาวของผมพร้อมไปโรงเรียนเช้ากว่าปกติเล็กน้อย เธอจึงถามว่าเราแวะร้านกาแฟระหว่างทางได้ไหม ผมตอบตกลง ขณะที่เราขับเข้าใกล้จุดสั่งอาหาร ผมถามว่า “เช้านี้รู้สึกอยากแบ่งปันความสุขไหม” เธอตอบว่า “แน่นอนค่ะ”
เป็นการดีที่จะถาม
พ่อของผมรับรู้เรื่องทิศทางดีอยู่เสมอจนผมยังอิจฉา ท่านรู้เสมอว่าทางไหนคือทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตกราวกับเกิดมาพร้อมความสามารถนี้ ท่านบอกทิศทางถูกต้องเสมอจนกระทั่งคืนวันนั้น ในคืนนั้นพ่อหลงทาง