ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย David H. Roper

เราสำคัญอะไร

ผมติดต่อกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่จริงจังกับความเชื่อมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเขียนมาว่า “เราเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวขี้ผงเล็กๆในประวัติศาสตร์เท่านั้น เราสำคัญอะไร”

โมเสสผู้พยากรณ์ของอิสราเอลเห็นด้วยว่า “ช่วงชีวิตนั้น...ไม่ช้าก็สูญไปและข้าพระองค์ก็จากไป” (สดด.90:10) เวลาอันแสนสั้นของชีวิตทำให้เรากังวลและสงสัยว่าเราสำคัญอะไร

เราสำคัญแน่นอน เพราะพระเจ้าผู้สร้างเราทรงรักเราอย่างลึกซึ้งและตลอดไป ในบทกลอนนี้โมเสสอธิษฐานว่า “ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่ม...ด้วยความรักมั่นคงของพระองค์” (ข้อ 14) เราสำคัญเพราะเรามีค่าสำหรับพระองค์

และเราสำคัญเพราะเราสามารถแสดงความรักของพระเจ้าให้กับผู้อื่น แม้ชีวิตนั้นแสนสั้นแต่ก็มีความหมายหากเราทิ้งมรดกแห่งความรักของพระเจ้าไว้ เราไม่ได้อยู่ในโลกเพื่อหาเงินและใช้ชีวิตเกษียณอย่างหรูหรา แต่เพื่อ “สำแดงพระเจ้า” ต่อผู้อื่นด้วยการแสดงความรักของพระองค์

และท้ายที่สุดแล้ว แม้ชีวิตในโลกจะเป็นสิ่งชั่วคราว แต่เราถูกสร้างมาเพื่อนิรันดร์กาล เพราะพระเยซูทรงฟื้นจากความตาย เราจึงจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป นี่คือความหมายของโมเสสเมื่อท่านย้ำว่า พระเจ้าจะ “ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่มในเวลาเช้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์” ใน “เวลาเช้า” นั้น เราจะเป็นขึ้นมาและมีชีวิตอยู่เพื่อรักและเพื่อถูกรักตลอดไป และถ้าสิ่งนี้ไม่มีความหมาย ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่มีความหมายอีกแล้ว

ผิดพลาดอีกครั้ง

สมัยที่ผมยังต้องเทศนาอยู่นั้น เช้าวันอาทิตย์บางวันผมจะรู้สึกเหมือนกับหนอนผู้ต่ำต้อย ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านั้นผมไม่ได้เป็นสามี พ่อหรือเพื่อนที่ดีที่สุด ผมรู้สึกว่าก่อนที่พระเจ้าจะทรงใช้ผมได้อีกครั้งผมต้องมีชีวิตที่ถูกต้อง ดังนั้นผมจึงปฏิญาณว่าจะเทศนาให้ดีที่สุดและพยายามดำเนินชีวิตให้ดีขึ้นในสัปดาห์ถัดไป

นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง กาลาเทีย 3 บอกเราว่าพระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณให้กับเราและทรงทำงานผ่านเราด้วยฤทธานุภาพซึ่งเป็นของประทานที่ให้เปล่า ไม่ใช่เพราะเราได้ทำอะไรหรือเพราะเราสมควรได้รับ

ชีวิตอับราฮัมเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ บางครั้งท่านก็ทำผิดพลาดในฐานะสามี ตัวอย่างเช่น ท่านเอาชีวิตนางซาราห์เข้าเสี่ยงโดยโกหกเพื่อเอาตัวรอด (ปฐก.12:10-20; 20:1-18) กระนั้นความเชื่อของท่าน “พระ​องค์​ทรง​นับว่า​เป็น​ความ​ชอบธรรม​แก่​ท่าน” (กท.3:6) อับราฮัมมอบชีวิตไว้กับพระเจ้าแม้ท่านทำผิดพลาด และพระเจ้าทรงใช้ท่านนำความรอดมาสู่โลกนี้ผ่านเชื้อสายของท่าน

ไม่ใช่ว่าการทำตัวไม่ดีนั้นไม่เป็นไร พระเยซูทรงเรียกให้เราติดตามพระองค์ด้วยความเชื่อฟังและทรงช่วยให้เราทำได้ตามนั้น ใจที่แข็งกระด้างไม่สำนึกผิดจะเป็นอุปสรรคขัดขวางพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตเราเสมอ การที่พระองค์จะใช้เราไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีรูปแบบความประพฤติที่ดีติดต่อกันมายาวนาน แต่ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะทรงทำงานผ่านเราอย่างที่เราเป็น คือ ผู้ที่ได้รับความรอดและจำเริญขึ้นด้วยพระคุณ คุณไม่ต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับพระคุณ เพราะพระคุณเป็นของฟรี

สัตย์ซื่อจนกว่าจะเก็บเกี่ยว

ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมรู้จักวางแผนจัดกิจกรรมที่สวนสาธารณะแล้วเชิญลูกของเพื่อนบ้านทุกคนมาร่วม เธอตื่นเต้นที่จะได้มีโอกาสแบ่งปันความเชื่อของเธอกับเพื่อนบ้าน

เธอเกณฑ์หลานสามคนและนักเรียนมัธยมปลายอีกสองคนมาช่วย มอบหมายงาน คิดเกมและกิจกรรมต่างๆ เตรียมอาหาร เตรียมเรื่องราวจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระเยซูเพื่อแบ่งปันแก่เด็กๆ และรอคอยพวกเขามาร่วม

ในวันแรกไม่มีเด็กมาแม้แต่คนเดียว วันที่สองและสามก็เช่นกัน ถึงอย่างนั้นเพื่อนของผมก็ยังจัดกิจกรรมร่วมกับหลานๆ และผู้ช่วยของเธอทุกวัน

ในวันที่สี่ เธอสังเกตเห็นครอบครัวหนึ่งมาปิกนิกอยู่ใกล้ๆ จึงชวนเด็กๆมาเล่นเกม เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งมา เธอได้ร่วมสนุก กินอาหารกับพวกเขาและฟังเรื่องราวของพระเยซู บางทีอีกหลายปีต่อจากนี้เธออาจจะยังจำได้ ใครจะรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในพระธรรมกาลาเทีย พระเจ้าทรงหนุนใจเราว่า “อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง” (6:9-10)

อย่ากังวลกับตัวเลขหรือการวัดปริมาณความสำเร็จที่ตามองเห็น งานของเราคือ สัตย์ซื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ให้เราทำ และมอบการเก็บเกี่ยวไว้กับพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดผลลัพธ์

ขายหน้า

วันที่ผมขายหน้าที่สุดคือวันที่ผมต้องพูดต่อหน้าคณาจารย์ นักศึกษา และผู้มาร่วมงานครบรอบ 50 ปีของโรงเรียนพระคริสตธรรม ผมเดินไปที่ธรรมมาสพร้อมกับต้นฉบับร่างคำแถลงในมือและกวาดตามองไปยังที่ประชุมซึ่งแน่นขนัด แต่สายตาของผมไปหยุดที่คณาจารย์ที่นั่งอยู่แถวหน้า ในชุดเสื้อครุยกับใบหน้าอันเคร่งเครียด ผมสติหลุดในทันที ริมฝีปากแห้งผากและไม่ทำตามที่สมองสั่งการ ผมเริ่มประโยคแรกแบบตะกุกตะกักและพูดในสิ่งที่ไม่ได้เตรียมมา จากนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดถึงไหน จึงได้แต่พลิกหน้ากระดาษคำร่างกลับไปกลับมา ในขณะที่พูดเรื่องไม่เป็นสาระที่ทำให้ทุกคนงงงวย ในที่สุดผมก็พูดจนจบ ผมค่อยๆเดินกลับไปนั่ง ตาจ้องดูที่พื้น ผมรู้สึกอยากตาย

อย่างไรก็ตาม ผมเรียนรู้ว่าความรู้สึกอับอายนี้มีข้อดีถ้าหากมันนำไปสู่ความถ่อมใจ เพราะความถ่อมใจนี้เป็นกุญแจที่เปิดหัวใจของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม” (ยก.4:6) พระองค์ทรงเทพระคุณแก่ผู้ที่ถ่อมใจ พระเจ้าตรัสว่า “แต่นี่ต่างหากที่เราจะมอง คือเขาผู้ที่ถ่อมและสำนึกผิดในใจ และตัวสั่นเพราะคำของเรา” (อสย.66:2) เมื่อเราถ่อมใจลงต่อพระเจ้า พระองค์จะยกชูเราขึ้น (ยก.4:10)

ความขายหน้าและความอับอายสามารถนำเรามาหาพระเจ้าเพื่อเราจะรับการแก้ไข เมื่อเราล้มลง เราก็ล้มอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์

ใจเย็นๆ

ผมกับพ่อเคยโค่นต้นไม้และตัดเป็นท่อนด้วยเลื่อยที่ต้องใช้สองคนตัด ผมยังหนุ่มและมีกำลังจึงพยายามออกแรงในการเลื่อย “ใจเย็นๆ” พ่อผมบอก “ให้เลื่อยทำงานของมัน”

ผมนึกถึงคำพูดของเปาโล “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน” (ฟป.2:13) ใจเย็นๆให้พระองค์ทรงกระทำกิจในการเปลี่ยนเรา

ซี.เอส.ลูอิสบอกว่า การเติบโตเป็นมากกว่าแค่การอ่านสิ่งที่พระคริสต์ตรัสแล้วทำตาม ท่านอธิบายว่า “พระคริสต์...กำลังทำบางสิ่งกับคุณ ...ค่อยๆเปลี่ยนคุณอย่างถาวรให้เป็น...พระคริสต์น้อยๆคนใหม่ เป็นผู้ที่...ได้รับกำลัง ความชื่นชมยินดี ความรู้และชีวิตนิรันดร์จากพระองค์”

พระเจ้ากำลังทำสิ่งนั้นในวันนี้ จงนั่งแทบพระบาทแล้วรับเอาสิ่งที่พระเยซูตรัส จงอธิษฐาน “จงรักษาตัวไว้ให้ดำรงในความรักของพระเจ้า” (ยด.1:21) ระลึกเสมอว่าคุณเป็นของพระองค์ พักสงบในความไว้วางใจว่า พระองค์กำลังเปลี่ยนแปลงคุณ

คุณอาจถามว่า “เราไม่ควรหิวกระหายความชอบธรรมหรือ” ลองนึกภาพเด็กน้อยที่พยายามจะหยิบของขวัญที่วางบนชั้นสูงๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย พ่อของเขารับรู้ถึงความปรารถนานั้น และหยิบของขวัญลงมาให้เขา

งานเป็นของพระเจ้า ความชื่นชมยินดีเป็นของเรา ใจเย็นๆ วันหนึ่งเราจะไปถึงที่นั่น

จะเป็นคนตัดไม้

ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ผมรับตัด เรียง ขาย และส่งฟืนอยู่หนึ่งปีซึ่งเป็นงานหนัก ผมจึงเห็นใจคนตัดไม้ผู้น่าสงสารใน 2 พงศ์กษัตริย์ 6 สถานที่ฝึกผู้เผยพระวจนะของเอลีชาเจริญขึ้นจนสถานที่เริ่มคับแคบ จึงมีคนเสนอว่าให้เข้าไปตัดไม้ในป่ามาต่อเติมที่พักอาศัย เอลีชาเห็นด้วยและไปกับพวกเขาทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี จนมีคนทำหัวขวานตกลงไปในน้ำ (ข้อ 5)

บางคนบอกว่าเอลีชาเพียงแค่ใช้ไม้เท้าควานหาในน้ำ เมื่อพบหัวขวานจึงค่อยเขี่ยมันขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่น่ากล่าวถึง แต่นี่เป็นเหตุการณ์อัศจรรย์คือ หัวขวานอยู่ในการควบคุมของพระเจ้า มันลอยขึ้นมาให้พวกเขาหยิบ (ข้อ 6-7)

การอัศจรรย์ที่เรียบง่ายยืนยันถึงความจริงอันลึกซึ้ง นั่นคือ พระเจ้าทรงใส่พระทัยเรื่องเล็กน้อยในชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นหัวขวาน กุญแจ แว่นตา หรือโทรศัพท์ที่หายไป สิ่งเล็กน้อยที่ทำให้เราเป็นทุกข์ พระองค์ไม่ได้ทำให้สิ่งที่หายกลับคืนมาเสมอไป แต่ทรงเข้าใจและปลอบประโลมเมื่อเราเป็นทุกข์

นอกจากความมั่นใจในความรอดแล้ว ความมั่นใจว่าพระองค์ทรงดูแลของพระองค์ก็จำเป็นด้วย เพราะมิเช่นนั้นเราจะรู้สึกโดดเดี่ยวในโลกนี้ ต้องเผชิญกับความกังวลมากมาย เราดีใจที่ได้รู้ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยและสะเทือนพระทัยเมื่อเราสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน เรื่องที่เรากังวลคือสิ่งที่พระองค์ใส่พระทัย

หนูคำราม

หลายปีก่อน ผมกับลูกชายได้ไปกางเต็นท์พักแรมด้วยกันสองสามวันที่ป่าเซลเวย์-บิทเทอร์รูธในรัฐไอดาโฮตอนเหนือ ที่นั่นเป็นที่อยู่ของหมีกริซลี่ แต่เราเอาสเปรย์ไล่หมีไปด้วย รวมทั้งรักษาความสะอาดบริเวณที่เรากางเต็นท์ และหวังว่าจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหมี

วันหนึ่งในช่วงกลางดึก ผมได้ยินเสียงแรน-ดี้ดิ้นและพยายามถีบตัวออกจากถุงนอน ผมคว้าไฟฉายและเปิด ผมคาดว่าจะเห็นเขาถูกหมีที่กำลังโกรธจัดตะปบเอาไว้

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ หนูป่าสูงประมาณ 4 นิ้ว นั่งยกเท้าหน้าขึ้นโบกไปมา มันงับหมวกของแรนดี้ไว้แน่น สิ่งมีชีวิตตัวเล็กกระตุกแล้วกระตุกอีกจนหมวกหลุดจากศีรษะของแรนดี้ พอผมหัวเราะ เจ้าหนูก็ทิ้งหมวกและวิ่งหนีไป เราสอดตัวกลับเข้าไปในถุงนอนของเรา แต่ผมตื่นเต้นเสียแล้วจึงไม่อาจหลับต่อได้ และผมคิดถึงนักล่าอีกรายหนึ่ง คือ มาร

เมื่อเราพิจารณาเหตุการณ์ที่มารมาทดลองพระเยซู (มธ.4:1-11) พระองค์ทรงรับมือการล่อลวงของมารโดยใช้พระวจนะของพระเจ้า พระเยซูทรงเตือนพระองค์เองในแต่ละคำตอบว่าพระเจ้าได้ตรัสถึงเรื่องนี้ไว้ ดังนั้น พระองค์จะไม่เชื่อฟังไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ มารจึงหนีไป

แม้ว่าซาตานต้องการกลืนกินเรา แต่ให้เราระลึกว่ามารเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างมาเช่นเดียวกับเจ้าหนูตัวน้อย ยอห์นกล่าวว่า “พระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก” (1 ยน.4:4) - DHR

ภาชนะดินเก่าๆ

ผมได้หม้อดินเก่ามาหลายใบในช่วงหลายปีมานี้ ใบโปรดของผมถูกขุดพบจากแหล่งที่ระบุว่าอยู่ในยุคของอับราฮัม อย่างน้อยก็เป็นของชิ้นหนึ่งในบ้านที่อายุมากกว่าผม หม้อนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก ทั้งเปื้อน ร้าว บิ่น และสมควรนำไปขัดล้าง ผมเก็บมันไว้เพื่อเตือนใจว่าผมเป็นเพียงคนที่ถูกสร้างมาจากดิน ถึงแม้จะเปราะบางและอ่อนแอ แต่ผมก็บรรจุสมบัติที่ไม่อาจประเมินค่าได้ คือองค์พระเยซู “เรามีของมีค่านี้ (พระเยซู) อยู่ในภาชนะดิน” (2 คร.4:7)

เปาโลกล่าวต่อไปว่า “เราถูกขนาบรอบข้างแต่ก็ไม่ถึงกับกระดิกไม่ไหว เราจนปัญญาแต่ก็ไม่ถึงกับหมดมานะ เราถูกข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีลงแล้วแต่ก็ไม่ถึงตาย” ถูกขนาบรอบข้าง จนปัญญา ถูกข่มเหง ถูกตีลง เป็นแรงกดดันที่ภาชนะดินต้องเจอ แต่ไม่ถึงกับกระดิกไม่ไหว ไม่หมดมานะ ไม่ถูกทอดทิ้ง ไม่ถึงตาย เหล่านี้คือผลที่เราได้รับจากกำลังของพระเยซูที่ทรงอยู่ในเรา

“เราแบกความตายของพระเยซูไว้ที่กายเราเสมอ” (ข้อ 10) นี่คือท่าทีขององค์พระเยซูผู้ทรงตายต่อพระองค์เองทุกวัน และนี่จะเป็นท่าทีของเราได้ด้วย คือการยอมตายต่อความพยายามของตนเอง และเชื่อวางใจในพระองค์ผู้ทรงเติมเต็มและทรงสถิตภายในเรา

“เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในกายของเราด้วย” (ข้อ 10) ผลลัพธ์คือ ความงามของพระเยซูจะปรากฏในภาชนะดินเก่าๆ

เป็นที่รักตลอดไป

แทบไม่มีวันใดที่เราจะไม่โดนดูถูกดูหมิ่น ถูกเพิกเฉยหรือทำให้อับอายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บางครั้งเราก็เป็นคนทำสิ่งเหล่านั้นกับตัวเอง ศัตรูของดาวิดพูดจาถากถาง ทั้งกลั่นแกล้ง ข่มขู่ และเหยียดหยาม ท่านรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าและขาดสวัสดิภาพ (สดุดี 4:1-2) ท่านทูลขอให้ได้รับการบรรเทาจาก “ความทุกข์โศก”

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา