เข้ามานมัสการ
เมื่อพวกเขาร้องเพลงสรรเสริญด้วยกันในการนมัสการที่รวมคนทุกรุ่นทุกวัย หลายคนสัมผัสถึงความยินดีและสันติสุข แต่ไม่ใช่สำหรับคุณแม่หัวฟูคนหนึ่ง เธอเขย่าลูกน้อยที่กำลังจะร้องไห้พร้อมถือหนังสือเพลงให้ลูกวัยห้าขวบขณะพยายามกันไม่ให้ลูกวัยเตาะแตะเดินหนีไป ต่อมาสุภาพบุรุษสูงวัยที่นั่งอยู่ข้างหลังอาสาพาลูกของเธอไปเดินเล่นรอบโบสถ์ และหญิงสาวอีกคนส่งสัญญาณว่าจะช่วยถือหนังสือเพลงให้ลูกคนโต ภายในสองนาที ประสบการณ์ของผู้เป็นแม่ก็เปลี่ยนไปและเธอสามารถสูดลมหายใจ หลับตาลงและนมัสการพระเจ้าได้
พระเจ้าทรงมุ่งหมายเสมอมาให้ทุกคนนมัสการพระองค์ ทั้งชายและหญิง เด็กและคนชรา ผู้เชื่อเก่าและผู้เชื่อใหม่ ขณะที่โมเสสอวยพรอิสราเอลเผ่าต่างๆก่อนเข้าดินแดนแห่งพระสัญญา ท่านหนุนใจให้ทุกคนมารวมตัวกัน “ทั้งชาย หญิง และเด็ก ทั้งคนต่างด้าวในเมืองของท่าน” เพื่อพวกเขาจะ “ได้ยินและเรียนรู้ที่จะยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน” และทำตามพระบัญญัติของพระองค์ (ฉธบ.31:12) เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าเมื่อเราทำให้คนของพระองค์นมัสการพระองค์ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงใดของชีวิต
เช้าวันนั้นในคริสตจักร ผู้เป็นแม่ สุภาพบุรุษสูงวัยและหญิงสาวต่างได้รับประสบการณ์ความรักของพระเจ้าผ่านการให้และการรับ บางทีครั้งต่อไปที่คุณอยู่ในคริสตจักร คุณเองก็อาจหยิบยื่นความรักของพระเจ้าผ่านการอาสาให้ความช่วยเหลือ หรือคุณอาจเป็นผู้ที่รับความช่วยเหลือที่มาโดยพระคุณนั้น
สถานทูตของพระเจ้า
ลุดมิลล่า หญิงม่ายวัย 82 ปีได้ประกาศให้บ้านของเธอในสาธารณรัฐเช็กเป็น “สถานทูตแห่งแผ่นดินสวรรค์” เธอกล่าวว่า “บ้านของฉันเป็นส่วนต่อขยายจากแผ่นดินของพระคริสต์” เธอต้อนรับขับสู้คนแปลกหน้าและเพื่อนที่เจ็บปวดและขัดสนด้วยความรัก บางครั้งก็จัดอาหารและที่นอนให้ เธอทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความเมตตาและด้วยใจอธิษฐานเสมอ เธอเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเธอดูแลผู้มาเยือนเหล่านี้ เธอยินดีที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพวกเขา
ลุดมิลล่ารับใช้พระเยซูโดยการเปิดบ้านและหัวใจของเธอ ตรงข้ามกับผู้นำทางศาสนาที่พระเยซูเสวยพระกระยาหารในบ้านของเขาในวันสะบาโต พระองค์ทรงบอกครูสอนศาสนานั้นว่า เขาควรเชิญ “คนจน คนพิการ คนเขยก คนตาบอด” มาที่บ้านของเขา ไม่ใช่คนที่จะสามารถตอบแทนเขาได้ (ลก.14:13) คำตรัสของพระเยซูแฝงความหมายว่าฟาริสีคนนั้นเชิญพระองค์มาด้วยใจถือดี (ข้อ 12) แต่ลุดมิลล่าเชิญคนมาที่บ้านของเธอเพื่อที่เธอจะได้เป็น “เครื่องมือแห่งความรักและพระปัญญาของพระเจ้า”
การรับใช้ผู้อื่นด้วยความถ่อมใจเป็นวิธีหนึ่งที่เราจะได้เป็น “ตัวแทนแห่งแผ่นดินสวรรค์” อย่างที่ลุดมิลล่าพูด ไม่ว่าเราจะจัดหาเตียงให้คนแปลกหน้านอนได้หรือไม่ แต่เราให้ความสำคัญกับความขัดสนของผู้อื่นก่อนตัวเราเองด้วยวิธีที่แตกต่างและสร้างสรรค์ได้ เราจะขยายแผ่นดินของพระเจ้าในที่ที่เราอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร
ท่าทางที่ถ่อมใจ
“เก็บมือไว้ข้างหลัง คุณจะรู้สึกดีขึ้น” เป็นคำแนะนำด้วยความรักที่สามีของแจนบอกเธอเสมอก่อนที่เธอจะต้องพูดกับกลุ่มคน เมื่อเธอพบว่าตัวเองกำลังพยายามทำให้ผู้คนประทับใจหรือพยายามจะควบคุมสถานการณ์ เธอจะทำท่านี้เพราะมันช่วยให้จิตใจเธอกลับเข้าสู่ภาวะที่พร้อมเรียนรู้และรับฟัง เธอใช้มันเพื่อเตือนตัวเองให้รักคนที่อยู่ตรงหน้า ให้ถ่อมใจและเชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์
ความเข้าใจเรื่องการถ่อมใจของแจนมาจากข้อสังเกตของกษัตริย์ดาวิดที่พบว่าทุกสิ่งล้วนมาจากพระเจ้า ดาวิดทูลพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ นอกเหนือพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่มีดีเลย” (สดด.16:2) พระองค์เรียนรู้ที่จะวางใจและแสวงหาคำปรึกษาจากพระเจ้า “ในกลางคืนจิตใจของข้าพเจ้าเตือนสอนข้าพเจ้า” (ข้อ 7) ดาวิดรู้พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้าง พระองค์จึงไม่หวั่นไหว (ข้อ 8) ดาวิดไม่จำเป็นต้องยกย่องตัวเอง เพราะพระองค์เชื่อว่าพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์ทรงรักพระองค์
เมื่อเรามองไปที่พระเจ้าในแต่ละวัน ทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยเมื่อเรารู้สึกผิดหวัง หรือประทานถ้อยคำในยามที่เราพูดไม่ออก เราจะเห็นพระองค์ทรงทำงานในชีวิตของเรา เราจะ “ร่วมงานกับพระเจ้า” เหมือนที่แจนบอก และเราจะตระหนักว่าถ้าเราทำได้ดี นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงช่วยเราให้เกิดผล
เราสามารถมองผู้อื่นด้วยความรัก มือของเราไขว้ไว้ข้างหลังด้วยท่าทีถ่อมใจ เพื่อเตือนเราว่าทุกสิ่งที่เรามีล้วนมาจากพระเจ้า
พระวาทะและปีใหม่
มิเชลแลนเผชิญความท้าทายขณะเติบโตในประเทศฟิลิปปินส์ แต่เธอรักและได้รับความอุ่นใจจากถ้อยคำต่างๆเสมอ วันหนึ่งขณะเรียนในมหาวิทยาลัย เธออ่านพระธรรมยอห์นบทที่ 1 และ “หัวใจหินของเธอสั่นไหว” เธอรู้สึกเหมือนใครบางคนกำลังพูดว่า “ใช่ เธอรักถ้อยคำ แล้วรู้อะไรไหม มีถ้อยคำที่ดำรงชั่วนิรันดร์ ถ้อยคำซึ่ง...สามารถฝ่าผ่านความมืดได้ในเวลานี้และตลอดไป ถ้อยคำที่ทรงรับสภาพเนื้อหนัง ถ้อยคำที่สามารถรักเธอได้”
เธอกำลังอ่านพระกิตติคุณยอห์นที่เริ่มด้วยถ้อยคำซึ่งเตือนผู้อ่านถึงข้อความเริ่มต้นในพระธรรมปฐมกาล “ในปฐมกาล...” (ปฐก.1:1) ยอห์นต้องการแสดงให้เห็นว่าพระเยซูไม่เพียงทรงอยู่กับพระเจ้าที่จุดเริ่มต้นของกาลเวลา แต่พระองค์ทรงเป็น พระเจ้า (ยน.1:1) และพระวาทะหรือถ้อยคำที่ดำรงชีวิตนี้ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ “และทรงอยู่ท่ามกลางพวกเรา” (ข้อ 14) ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ต้อนรับพระองค์และเชื่อในพระนามของพระองค์จะได้เป็นบุตรของพระเจ้า (ข้อ 12)
มิเชลแลนยอมรับความรักของพระเจ้า และได้ “เกิดจากพระเจ้า” ในวันนั้น (ข้อ 13) เธอยกย่องพระเจ้าที่ทรงช่วยเธอจากสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการเสพติดของครอบครัว และตอนนี้เธอเขียนเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซู และยินดีในการแบ่งปันถ้อยคำหรือเรื่องราวของเธอเกี่ยวกับพระวาทะที่ดำรงชีวิต
หากเราเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ เราก็สามารถแบ่งปันข่าวประเสริฐและความรักของพระเจ้าได้เช่นกัน ขณะที่เรากำลังเริ่มต้นปี 2022 นี้ มีถ้อยคำใดบ้างที่เต็มด้วยพระคุณของพระเจ้าซึ่งเราสามารถพูดได้ในปีนี้
องค์สันติราช
เมื่อไข้หวัดของจอห์นลุกลามจนปอดอักเสบ เขาจึงต้องเข้าโรงพยาบาล ในเวลาเดียวกันแม่ของเขาก็กำลังรักษาโรคมะเร็งอยู่ถัดขึ้นไปไม่กี่ชั้น เขารู้สึกกังวลใจมากเรื่องสุขภาพของแม่และตัวเอง แต่แล้วในคืนก่อนวันคริสต์มาส เมื่อรายการวิทยุเปิดเพลง “เป็นเวลาที่พระคริสต์ได้ประสูติ” จอห์นท่วมท้นไปด้วยสันติสุขอันลึกซึ้งของพระเจ้า เขาได้ยินเนื้อร้องที่ว่าคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่พระผู้ช่วยให้รอดมาประสูติ “แสงแห่งความหวังทำให้จิตวิญญาณที่อ่อนล้าเปรมปรีดิ์ และเปิดประตูให้กับเช้าวันใหม่ที่รุ่งโรจน์!” ในเวลานั้นความกังวลเกี่ยวกับตัวเขาเองและแม่ก็พลันหายไป
“พระผู้ช่วยให้รอด” ผู้เสด็จมาบังเกิดเพื่อเราคือพระเยซู ทรงเป็น “องค์สันติราช” ตามที่อิสยาห์พยากรณ์ไว้ (อสย.9:6) พระเยซูทรงทำให้คำพยากรณ์นี้สำเร็จเมื่อทรงเข้ามาในโลกในฐานะทารกน้อย ผู้นำความสว่างและความรอดมาสู่ “ผู้ที่นั่งอยู่ในแดนและเงาแห่งความตาย” (มธ.4:16; ดู อสย.9:2) พระองค์ทรงรวบรวมและมอบสันติสุขให้กับผู้ที่พระองค์ทรงรักแม้ในยามที่พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากและความตาย
ที่โรงพยาบาลแห่งนั้น จอห์นได้สัมผัสกับสันติสุขที่เกินความเข้าใจ (ฟป.4: 7) ขณะที่เขาใคร่ครวญถึงการประสูติของพระเยซู การเผชิญหน้ากับพระเจ้าครั้งนี้ทำให้ความเชื่อของเขาเข้มแข็งขึ้นและสำนึกถึงพระคุณของพระเจ้าขณะที่เขานอนอยู่ในห้องปลอดเชื้อและต้องอยู่ห่างจากครอบครัวในช่วงคริสต์มาส ขอให้เราได้รับของขวัญแห่งสันติสุขและความหวังจากพระเจ้าเช่นกัน
คนมากมาย
เรามารวมตัวกันเพื่อนมัสการที่โบสถ์ในเช้าวันอาทิตย์ด้วยความชื่นชมยินดีและความหวัง แม้เราจะเว้นระยะห่างเพราะการระบาดของไวรัสโคโรนา แต่เราก็ยินดีที่มีโอกาสร่วมฉลองงานแต่งงานของกาวินและทีจาน่า เพื่อนชาวอิหร่านผู้มีพรสวรรค์ด้านเทคโนโลยีของเราได้ถ่ายทอดสดพิธีให้กับเพื่อนและครอบครัวในหลายพื้นที่ รวมถึงสเปน โปแลนด์และเซอร์เบีย วิธีอันสร้างสรรค์นี้ช่วยให้เราก้าวข้ามข้อจำกัดต่างๆและร่วมยินดีในพันธสัญญาแห่งการแต่งงานได้ พระวิญ-ญาณของพระเจ้าทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันและประทานความชื่นชมยินดีแก่เรา
เช้าวันอาทิตย์ที่เป็นการรวมตัวอย่างอัศจรรย์ของคนจากหลายชาตินั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสง่าราศีที่จะมาถึงเมื่อผู้คนจาก “ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติทุกภาษา” จะยืนต่อหน้าพระเจ้าในสวรรค์ (วว.7:9) ยอห์นสาวกผู้เป็นที่รักได้เห็นภาพ “คนมากมาย” นี้ในนิมิตที่ท่านบรรยายในพระธรรมวิวรณ์ ที่นั่นคนเหล่านั้นจะนมัสการพระเจ้าร่วมกันกับทูตสวรรค์และผู้อาวุโสว่า “ความสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คำโมทนา พระเกียรติ อำนาจ และฤทธิ์เดชจงมีแด่พระเจ้าของเราตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน” (ข้อ 12)
การรวมตัวกันในงานสมรสของพระเยซูและเจ้าสาวจากหลายเชื้อชาติของพระองค์ใน “การมงคลสมรสของพระเมษโปดก” (19:9) จะเป็นเวลาแห่งการนมัสการและเฉลิมฉลองที่ยอดเยี่ยม ประสบการณ์ของเราที่โบสถ์ในวันอาทิตย์พร้อมกับผู้คนจากหลายเชื้อชาติชี้ไปถึงการเฉลิมฉลองนี้ที่วันหนึ่งเราจะได้ร่วมยินดี
ขณะที่เรารอคอยด้วยความหวังถึงงานแห่งความชื่นบานนั้น ให้เราฝึกซ้อมที่จะเฉลิมฉลองและชื่นบานยินดีในท่ามกลางคนของพระเจ้า
ร้องสรรเสริญแด่พระเจ้า
ความร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนในตอนกลางของภาคตะวันตกปกคลุมพวกเราตลอดสัปดาห์ของงานประชุมการสร้างสาวก แต่ในวันสุดท้ายพวกเราได้ต้อนรับอากาศที่เย็นสบาย เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับอากาศที่เย็นลงและพระราชกิจอันอัศจรรย์ที่ได้ทรงกระทำ คนนับร้อยจึงร่วมกันส่งเสียงนมัสการพระเจ้า หลายคนรู้สึกได้รับการปลดปล่อยให้ร้องเพลงอย่างสุดใจต่อพระพักตร์พระเจ้า มอบถวายหัวใจ จิตวิญญาณ ร่างกายและความคิดแด่พระองค์ หลายสิบปีต่อมาเมื่อย้อนคิดถึงวันนั้น ฉันได้รับการย้ำเตือนถึงความอัศจรรย์ใจและชื่นชมยินดีอันบริสุทธิ์ของการสรรเสริญพระเจ้า
กษัตริย์ดาวิดทรงรู้วิธีที่จะนมัสการพระเจ้าอย่างสุดใจ เมื่อหีบพันธสัญญาซึ่งแสดงถึงการทรงสถิตของพระเจ้าถูกนำกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงชื่นชมยินดีด้วยการเต้นรำ กระโดด และเฉลิมฉลอง (1 พศด.15:29) แม้เมื่อพระมเหสีมีคาลเห็นการปล่อยตัวของดาวิดและ “มีใจดูหมิ่นพระองค์” (ข้อ 29) ดาวิดไม่ทรงยอมให้คำตำหนิของพระนางหยุดยั้งการนมัสการพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ของพระองค์ แม้ว่าจะดูไร้เกียรติ แต่พระองค์ต้องการขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเลือกพระองค์ให้เป็นผู้นำประเทศ (2 ซมอ.6:21-22)
ดาวิดแต่งตั้ง “อาสาฟและพี่น้องของท่าน จงโมทนาพระคุณพระเจ้าและร้องทูลออกพระนามพระองค์ จงให้บรรดาพระราชกิจของพระองค์แจ้งแก่ชนชาติทั้งหลาย จงร้องเพลงถวายพระองค์ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ จงเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์” (1 พศด.16:7-9) ขอให้เรามอบตัวเองเพื่อนมัสการพระเจ้าโดยสรรเสริญและยกย่องพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจ
แผนการของพระเจ้าที่มีให้คุณ
เป็นเวลา 6 ปีที่แอ็กเนสพยายามทำให้ตัวเองเป็น “ภรรยาผู้รับใช้ที่สมบูรณ์แบบ” ด้วยการทำตามแม่สามีที่เธอชื่นชม (และเป็นภรรยาศิษยาภิบาลด้วย) เธอคิดว่าด้วยบทบาทนี้ทำให้เธอไม่อาจเป็นนักเขียนและนักวาดรูปไปด้วยได้ แต่การเก็บซ่อนความคิดสร้างสรรค์ที่มีทำให้เธอกลายเป็นโรคซึมเศร้าและคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ด้วยความช่วยเหลือของศิษยาภิบาลที่บ้านอยู่ใกล้เคียง เขาพาเธอออกจากความมืดขณะที่อธิษฐานกับเธอ และมอบหมายให้เธอใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการเขียนทุกเช้า สิ่งนี้ปลุกเธอให้ตื่นขึ้นสู่การทรงเรียกที่เธอเรียกว่าเป็น “คำสั่งปิดผนึก” ที่พระเจ้ามอบให้กับเธอ เธอเขียนว่า “สำหรับฉัน การเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง คือ...ทุกกระแสของความคิดสร้างสรรค์ที่พระเจ้ามอบให้ ฉันจะหาทุกช่องทางที่จะแสดงมันออกมา”
ต่อมาเธอได้พูดถึงบทเพลงของดาวิด ที่บรรยายถึงการที่เธอค้นพบการทรงเรียกนั้น “จงปีติยินดีในพระเจ้า และพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของท่าน” (สดด.37:4) เมื่อเธอมอบทางของเธอไว้กับพระเจ้า วางใจให้พระองค์ทรงนำและชี้ทาง (ข้อ 5) พระองค์ได้จัดเตรียมหนทางให้เธอ ไม่เพียงแค่การเขียนและวาดรูปเท่านั้น แต่ในการช่วยผู้อื่นให้สื่อสารแสดงความรู้สึกกับพระองค์ได้ดีขึ้นด้วย
พระเจ้าทรงจัดเตรียม “คำสั่งปิดผนึก” ให้เราแต่ละคน ไม่เพียงแค่ได้รู้ว่าเราเป็นลูกที่รักของพระองค์เท่านั้น แต่เราจะเข้าใจวิธีการพิเศษในการที่เราจะรับใช้พระองค์ผ่านของประทานและสิ่งที่เราชื่นชอบ พระองค์จะทรงนำเราเมื่อเราวางใจและปีติยินดีในพระองค์
อาศัยอย่างปลอดภัยกับพระเจ้า
ฉันเขียนจดหมายถึงลูกๆแต่ละคนเมื่อพวกเขาเริ่มเป็นวัยรุ่น ในจดหมายฉบับหนึ่งฉันพูดเรื่องอัตลักษณ์ของเราในพระคริสต์ จำได้ว่าตอนฉันเป็นวัยรุ่น ฉันรู้สึกไม่แน่ใจกับตัวเองและขาดความมั่นใจ ฉันต้องเรียนรู้ว่าฉันเป็นที่รักของพระเจ้า เป็นบุตรของพระองค์ ฉันบอกในจดหมายว่า “การจะรู้ว่าลูกคือใครนั้นเริ่มจากการได้รู้ว่าลูกเป็นของใคร” เพราะเมื่อเราเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสร้างเรา และเราตัดสินใจติดตามพระองค์ เราก็มั่นใจในตัวตนที่พระองค์ทรงสร้างให้เราเป็น และเราก็รู้ด้วยเช่นกันว่าพระองค์ทรงเปลี่ยนเราให้เป็นเหมือนพระองค์ในแต่ละวัน
เนื้อหาที่เป็นรากฐานจากพระคัมภีร์ในเรื่องอัตลักษณ์ตัวตนของเราในฐานะบุตรของพระเจ้านั้นอยู่ในเฉลยธรรมบัญญัติ 33:12 “คนที่พระเจ้าทรงรักจะอาศัยอยู่กับพระองค์อย่างปลอดภัย พระองค์ทรงปกเขาไว้วันยังค่ำ และทรงประทับอยู่ระหว่างบ่าของเขา” ก่อนที่โมเสสจะเสียชีวิต ท่านประกาศการอวยพรนี้เหนือเผ่าเบนยามินเมื่อคนของพระเจ้าเตรียมตัวเข้าสู่ดินแดนแห่งพระสัญญา พระเจ้าต้องการให้พวกเขาจดจำไว้เสมอว่าพวกเขาเป็นที่รักและให้มั่นใจในอัตลักษณ์ตัวตนของพวกเขาในฐานะบุตรของพระองค์
การรู้จักอัตลักษณ์ของเราในฐานะบุตรของพระเจ้าสำคัญต่อทุกคน ทั้งวัยรุ่น วัยกลางคน และคนที่ใช้ชีวิตมายาวนาน เมื่อเราเข้าใจว่าพระเจ้าทรงสร้างเราและทรงเฝ้าดูเราอยู่ เราก็จะได้พบความปลอดภัย ความหวัง และความรัก