พระเยซูประทับอยู่ภายใน
เมื่อพายุหิมะพัดถล่มรัฐที่ฉันอาศัยอยู่ทางภาคตะวันตกของสหรัฐ แม่ของฉันซึ่งเป็นหม้ายตัดสินใจมาอยู่กับครอบครัวของเราเพื่อ “ฝ่าฟัน” พายุ แต่หลังจากพายุหิมะสงบลงเธอก็ไม่กลับไปยังบ้านของเธออีกเลย เธอย้ายมาอยู่กับเราจนวันสุดท้ายของชีวิต การเข้ามาของเธอทำให้ครอบครัวของเราเปลี่ยนไปในทางที่ดี เธอพร้อมเสมอที่จะสอนสติปัญญา ให้คำแนะนำแก่ลูกหลาน และเล่าเรื่องของปู่ย่าตายายให้ฟัง เธอและสามีของฉันกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งคู่มีอารมณ์ขันและชอบกีฬาเหมือนกัน เธอไม่ใช่แขกอีกต่อไปแต่เป็นบุคคลสำคัญที่เข้ามาอาศัยอยู่กับเราอย่างถาวร และได้เปลี่ยนแปลงหัวใจของเราไปตลอดกาลแม้กระทั่งหลังจากที่พระเจ้าทรงรับเธอไปแล้ว
ประสบการณ์นี้ทำให้นึกถึงคำที่ยอห์นบรรยายถึงพระเยซูว่า พระองค์ทรง “อยู่ท่ามกลางเรา” (ยน.1:14) เป็นคำบรรยายที่กินใจเพราะคำว่า อยู่ ในภาษากรีก หมายถึง “การกางเต็นท์” และอีกคำแปลหนึ่งหมายความว่า พระองค์ “ทรงประทับอยู่ท่ามกลางเรา”
โดยความเชื่อ เรายังได้ต้อนรับพระเยซูในฐานะผู้ประทับในใจของเราอีกด้วย ดังที่เปาโลเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าทูลขอให้ประทานความเข้มแข็งภายในจิตใจด้วยฤทธานุภาพที่มาทางพระวิญญาณของพระองค์แก่พวกท่าน ตามพระสิริอันอุดมของพระองค์ ให้พระคริสต์ประทับในใจของท่านโดยทางความเชื่อ ให้ท่านได้หยั่งรากและตั้งมั่นอยู่ในความรัก” (อฟ.3:16-17 THSV 11)
พระเยซูไม่ใช่แขกผู้มาเยือน แต่ทรงเป็นผู้อาศัยถาวรซึ่งประทานกำลังเรี่ยวแรงให้แก่ทุกคนที่ติดตามพระองค์ ขอให้เราเปิดประตูใจให้กว้างและต้อนรับพระองค์เถิด
หัวใจเพื่อพระคริสต์
ตราบใดที่เธอยังคงปิดปากเงียบ ฉันบอกตัวเอง เธอก็จะไม่ทำอะไรผิด ฉันพยายามไม่แสดงความรู้สึกโกรธที่มีต่อเพื่อนร่วมงานออกมาหลังจากที่ตีความสิ่งที่เธอพูดผิดไป เนื่องจากเราต้องเจอกันทุกวัน ฉันจึงตัดสินใจสื่อสารกับเธอเฉพาะเรื่องที่จำเป็น (และตอบโต้เธอด้วยความเงียบ) การที่เราเงียบนั้นผิดตรงไหนล่ะ
พระเยซูตรัสว่าความบาปเริ่มต้นที่ใจ (มธ.15:18-20) การที่ฉันเงียบอาจหลอกให้คนเชื่อว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ฉันหลอกพระเจ้าไม่ได้ พระองค์รู้ว่าฉันปิดบังความโกรธไว้ในใจ ฉันเป็นเหมือนพวกฟาริสีที่ให้เกียรติพระเจ้าแต่ปาก แต่จิตใจนั้นห่างไกลจากพระองค์ (ข้อ 8) แม้ภายนอกฉันจะไม่ได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น ฉันไม่เหลือความชื่นชมยินดีและความรู้สึกใกล้ชิดที่เคยมีกับพระบิดาในสวรรค์เมื่อฉันบ่มเพาะและปิดบังความบาปเอาไว้
แต่โดยพระคุณพระเจ้า ฉันสารภาพกับเพื่อนร่วมงานคนนั้นว่าฉันรู้สึกอย่างไรและขอโทษเธอ เธอยกโทษให้ฉัน และในที่สุดเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พระเยซูตรัสว่า “ความคิดชั่วร้าย...ก็ออกมาจากใจ” (ข้อ 19) สภาพของหัวใจเรานั้นสำคัญเพราะเป็นที่ซึ่งความชั่วร้ายอาศัยอยู่และสามารถไหลบ่าเข้ามาในชีวิตของเราได้ ดังนั้น สถานภาพทั้งภายนอกและภายในของเราจึงสำคัญอย่างมาก
พูดตามที่พระเจ้าทรงช่วยเรา
โดยปกติแล้วไม่มีใครคิดว่าผีเสื้อเป็นสัตว์ที่มีเสียงดัง เสียงกระพือปีกของผีเสื้อจักรพรรดิตัวเดียวนั้นเบาจนเราแทบจะไม่ได้ยิน แต่ในป่าฝนของเม็กซิโกซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดนั้นเสียงกระพือปีกของพวกมันดังจนน่าประหลาดใจ เมื่อผีเสื้อจักรพรรดินับล้านตัวกระพือปีกพร้อมกัน เสียงจะดังราวกับน้ำตกที่ไหลเชี่ยว
ภาพเดียวกันนี้เกิดขึ้นเมื่อสัตว์ปีกที่แตกต่างกันสี่ตัวปรากฏขึ้นในนิมิตของเอเสเคียล แม้พวกมันจะมีจำนวนน้อยกว่าผีเสื้อ แต่ท่านเปรียบเสียงกระพือปีกของพวกมันเหมือน “เสียงของน้ำมากหลาย” (อสค.1:24) เมื่อสัตว์เหล่านั้นหยุดนิ่งและหุบปีกลง เอเสเคียลได้ยินเสียงของพระเจ้าบอกให้ท่าน “กล่าวถ้อยคำ [ของพระเจ้า ] ให้ [ชนอิสราเอล] ฟัง” (2:7)
เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมคนอื่นๆ เอเสเคียลได้รับหน้าที่ให้พูดความจริงกับประชากรของพระเจ้า ในวันนี้พระเจ้าขอให้เราทุกคนแบ่งปันความจริงถึงพระราชกิจอันดีที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรากับผู้คนที่พระองค์ทรงวางไว้รอบตัวเรา (1 ปต.3:15) บางครั้งจะมีคนตั้งคำถามกับเรา ซึ่งเป็นเหมือนคำเชิญให้แบ่งปันคำพยานด้วยเสียงที่ “ดัง” ราวกับเสียงน้ำตก แต่บางครั้งคำเชื้อเชิญนั้นอาจเป็นแค่เสียงกระซิบเบาๆ เช่น การที่เราเห็นว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือโดยที่ไม่ได้พูดออกมา ไม่ว่าคำเชื้อเชิญให้แบ่งปันความรักของพระเจ้าจะดังราวกับเสียงของผีเสื้อนับล้านตัว หรือเบาราวกับผีเสื้อเพียงตัวเดียว เราต้องทำเช่นเดียวกับเอเสเคียล คือเงี่ยหูฟังสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราพูด
เป็นเจ้าของหรือผู้อารักขา
“ผมเป็นเจ้าของหรือผู้อารักขากันแน่” ซีอีโอของบริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์ถามตัวเองในขณะที่เขาชั่งน้ำหนักว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวของเขา เขากังวลถึงการล่อลวงที่อาจมาพร้อมกับความมั่งคั่งและไม่อยากให้ทายาทของเขาต้องเผชิญกับความท้าทายนั้น ดังนั้น เขาจึงยอมสละความเป็นเจ้าของในบริษัทของตัวเองและมอบหุ้นที่เขามีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมดให้บริษัทซื้อขายหลักทรัพย์ดูแล การตระหนักว่าทุกสิ่งที่เขาครอบครองเป็นของพระเจ้าช่วยให้เขาตัดสินใจที่จะให้ครอบครัวของเขาทำงานหาเลี้ยงชีพ ในขณะเดียวกันก็ถวายผลกำไรจากหุ้นที่จะได้รับให้กับพันธกิจของคริสเตียน
ในสดุดี 50:10 พระเจ้าตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า “สัตว์ทุกตัวในป่าเป็นของเรา ทั้งสัตว์เลี้ยงบนภูเขาตั้งพันยอด” ในฐานะพระผู้สร้างทุกสิ่ง พระเจ้าไม่ได้เป็นหนี้อะไรเราและไม่ต้องการอะไรจากเรา พระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่รับวัวผู้จากเรือนของเจ้า หรือแพะผู้จากคอกของเจ้า” (ข้อ 9) พระองค์ทรงประทานทุกสิ่งที่เรามีและใช้อยู่นั้นด้วยพระทัยอันกว้างขวาง ตลอดจนประทานกำลังความสามารถในการหาเลี้ยงชีพให้กับเรา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงสมควรได้รับการนมัสการจากใจของเรา ดังที่เราเห็นในบทเพลงสดุดี
พระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่ง แต่เพราะความดีของพระองค์ พระองค์จึงเลือกที่จะมอบพระองค์เอง เข้าสู่ความสัมพันธ์กับใครก็ตามที่หันกลับมาหาพระองค์ พระเยซู “มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก” (มก.10:45) เมื่อเราให้คุณค่ากับพระองค์ผู้ทรงประทานให้มากกว่าสิ่งของที่ได้รับมาและใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อรับใช้พระองค์ เราจะได้รับพรให้มีความชื่นชมยินดีในพระองค์ตลอดไป