พบชีวิต
สำหรับเบร็ทแล้วการก้าวเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยคริสเตียนและศึกษาด้านพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะตลอดทั้งชีวิตเขาได้คลุกคลีอยู่กับคนที่รู้จักพระเยซู ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่คริสตจักร และเขาเองได้เตรียมตัวกระทั่งว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อมุ่งประกอบอาชีพที่เป็น “งานคริสเตียน”
แต่เมื่ออายุได้ยี่สิบเอ็ดปี ขณะที่เขานั่งอยู่ในที่ประชุมเล็กๆในคริสตจักรชนบทเก่าแก่แห่งหนึ่งและฟังศิษยาภิบาลเทศนาจากพระธรรม 1 ยอห์น เขาได้พบสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจว่า ที่ผ่านมาเขาพึ่งพาความรู้และองค์ประกอบภายนอกของศาสนาแต่เขาไม่เคยได้รับความรอดในพระเยซูอย่างแท้จริง เขารู้สึกว่าวันนั้นพระคริสต์ทรงเร้าใจเขาด้วยข้อความที่จริงจังว่า “เจ้าไม่รู้จักเรา!”
ข้อความของยอห์นนั้นชัดเจนว่า “ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็เกิดจากพระเจ้า” (1ยน.5:1) เรา “มีชัยเหนือโลกนี้” ได้ (ข้อ 4) ด้วยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น ไม่ใช่เพราะความรู้เกี่ยวกับพระองค์ แต่เป็นความเชื่อวางใจอันลึกซึ้งด้วยใจจริงซึ่งแสดงออกเป็นความเชื่อในสิ่งที่พระองค์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน วันนั้นเบร็ทได้มอบความเชื่อวางใจไว้ในพระคริสต์ผู้เดียว
วันนี้ ความรักอันลึกซึ้งของเบร็ทที่มีต่อพระเยซูและความรอดในพระองค์ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความลับ แต่ส่งเสียงดังและชัดเจนทุกครั้งที่เขาก้าวไปที่ธรรมมาสน์และเทศนาในฐานะศิษยาภิบาลคนหนึ่ง เขาคือศิษยาภิบาลของผม
“พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต” (ข้อ 11-12) สำหรับทุกคนที่พบชีวิตในพระเยซู นี่เป็นคำย้ำเตือนที่ทำให้อบอุ่นใจเหลือเกิน!
ผมเห็นพ่อแล้ว!
นักทัศนมาตรได้ช่วยหนูน้อยแอนเดรียสวัยสามขวบปรับแว่นตาคู่แรกของเขา เธอบอกแอนเดรียสว่า “ส่องกระจกสิคะ” แอนเดรียสมองไปที่เงาสะท้อนของตนในกระจก จากนั้นเขาหันไปหาพ่อด้วยรอยยิ้มแห่งความรักและความดีใจ แล้วพ่อของแอนเดรียสก็ค่อยๆเช็ดน้ำตาที่แก้มของลูกชายและถามว่า “ร้องไห้ทำไมลูก” แอนเดรียสโอบแขนรอบคอของพ่อ “ผมเห็นพ่อแล้ว” เขาถอยออกมา เอียงคอและจ้องไปที่ตาพ่อ “ผมเห็นพ่อแล้ว!”
ขณะที่เราศึกษาพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานดวงตาที่เราจะมองเห็นพระเยซูผู้ “ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า” (คส.1:15) อย่างไรก็ตาม แม้การมองเห็นของเราจะชัดเจนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ขณะที่เราเติบโตในความรู้ผ่านทางพระคัมภีร์ เรายังคงเห็นได้เพียงชั่วขณะเดียวของความยิ่งใหญ่อันไร้ขีดจำกัดของพระเจ้าก่อนที่จะถึงนิรันดร์กาล เมื่อเวลาในโลกนี้ของเราสิ้นสุดลงหรือเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาตามพระสัญญา เราจะเห็นพระองค์อย่างชัดเจน (1 คร.13:12)
เราจะไม่ต้องใช้แว่นตาพิเศษในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีนั้น เมื่อเราเห็นพระคริสต์หน้าต่อหน้าและรู้จักพระองค์เหมือนที่ทรงรู้จักเราแต่ละคน ผู้เป็นสมาชิกในพระกายของพระคริสต์ที่พระองค์ทรงรัก คือคริสตจักร พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเติมเราด้วยความเชื่อ ความหวัง และความรักที่เราจำเป็นต้องมี เพื่อที่จะยืนหยัดอย่างมั่นคงจนกว่าเราจะได้จ้องมองไปที่องค์พระผู้ช่วยให้รอดที่รักและทรงพระชนม์อยู่ และกล่าวว่า “ข้าพระองค์เห็นพระองค์แล้ว พระเยซูเจ้าข้า ข้าพระองค์เห็นแล้ว!”
ผลงานชิ้นเอกที่ถูกบดบัง
ในหนังสือ ดิ แอตแลนติก อาเธอร์ ซี. บรูคส์ ผู้เขียนได้เล่าถึงการไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กงในประเทศไต้หวัน ที่มีการรวบรวมศิลปะจีนไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มัคคุเทศก์ประจำพิพิธภัณฑ์ได้ถามว่า “คุณคิดถึงอะไรเมื่อผมขอให้คุณลองจินตนาการถึงงานศิลปะขึ้นมาอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้เริ่ม” บรูคส์ตอบว่า “น่าจะเป็นผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า” มัคคุเทศก์คนนั้นตอบว่า “มีวิธีมองอีกแบบหนึ่ง คืองานศิลปะนั้นมีอยู่แล้ว และหน้าที่ของศิลปินคือเพียงแค่เปิดเผยมันออกมา”
ในเอเฟซัส 2:10 คำว่าฝีพระหัตถ์ บางครั้งแปลว่า “ฝีมือช่างผู้ชำนาญ” หรือ “ผลงานชิ้นเอก” มาจากคำภาษากรีกคือ โพเอมา ซึ่งกลายมาเป็นคำว่าโพเอทรี ในภาษาอังกฤษที่แปลว่าบทกลอน พระเจ้าทรงสร้างเราให้เป็นงานศิลปะคือบทกวีที่มีชีวิต ถึงกระนั้นศิลปะของเราได้ถูกบดบังเอาไว้ ตามที่กล่าวไว้ว่า “ท่านตายแล้วโดยการละเมิด และการบาป” (ข้อ 1) คำพูดของมัคคุเทศก์คนนั้นแปลความได้ว่า “ศิลปะ (แห่งชีวิตเรา)นั้นมีอยู่แล้ว และเป็นหน้าที่ของพระเจ้าองค์อัครศิลปินที่จะเปิดเผยมันออกมา” แท้จริงแล้ว พระเจ้าทรงกำลังรื้อฟื้นให้เราคืนสู่สภาพเดิมที่เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ “พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วย
พระกรุณา...ทรงกระทำให้เรามีชีวิต” (ข้อ 4-5)
เมื่อเราเผชิญปัญหาและความยากลำบาก เรายังคงอุ่นใจได้ที่รู้ว่าพระเจ้าผู้เป็นองค์อัครศิลปินกำลังทำหน้าที่อยู่ “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟป.2:13) ขอให้รู้ว่าพระเจ้ากำลังกระทำกิจอยู่ภายในเราเพื่อจะเปิดเผยผลงานชิ้นเอกของพระองค์
การออกแบบอันงดงาม
ทีมนักวิจัยนานาชาติได้สร้างโดรนปีกกระพือที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของนกชนิดหนึ่ง นั่นคือนกแอ่น ซึ่งเป็นนกที่สามารถบินได้เร็วถึง 144 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถบินโฉบเฉี่ยว พุ่งตัวลง หักเลี้ยว และหยุดอย่างกะทันหันได้ แต่โดรนติดปีกออร์นิทอปเตอร์นี้ยังทำได้ไม่เท่ากับนก นักวิจัยท่านหนึ่งกล่าวว่า นก “มีกล้ามเนื้อหลายชุดที่ทำให้พวกมันบินได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ ทั้งการพับปีก การบิดปีก การเปิดช่องปีกและการลดพลังงาน เขายอมรับว่าความพยายามของทีมยังคงเลียนแบบได้เพียงแค่ “10 เปอร์เซ็นต์ของการบินแบบธรรมชาติ”
พระเจ้าทรงประทานความสามารถอันน่าทึ่งให้สัตว์ทั้งหลายในโลกของเรา การสังเกตและใคร่ครวญความเชี่ยวชาญในสัตว์เหล่านั้นอาจเป็นที่มาของสติปัญญาให้กับเราได้ พวกมดสอนเราเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมอาหาร ตัวกระจงผาทำให้เราเห็นถึงคุณค่าของที่กำบังที่มั่นคง และตั๊กแตนสอนเราถึงพลังของการรวมตัวกัน (สภษ.30:25-27)
พระคัมภีร์บอกเราว่า “[พระเจ้า]ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยสติปัญญาของพระองค์” (ยรม.10:12) และตอนท้ายของทุกขั้นตอนในกระบวนการทรงสร้างนั้น พระองค์ทรงรับรองว่าสิ่งที่ทรงทำเสร็จแล้วนั้น “ดี” (ปฐก.1:4, 10, 12, 18, 21, 25, 31) พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ผู้ทรงสร้างนกที่ “บินไปมาข้ามฟ้าเหนือแผ่นดิน” (ข้อ 20) เป็นผู้ประทานความสามารถให้เรานำสติปัญญาของพระองค์มาประกอบกับการใช้เหตุผลของเราเอง วันนี้ให้คุณใคร่ครวญว่าคุณจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง จากการออกแบบอันงดงามของพระองค์ในโลกแห่งธรรมชาตินี้