ฟังพระคริสต์ ไม่ใช่ความวุ่นวาย
หลังดูข่าวโทรทัศน์เป็นเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวัน ชายชราเริ่มวิตกกังวลและหวาดระแวงว่าโลกกำลังจะล่มสลายและจะทำให้เขาจากไปด้วย “ปิดมันเถอะค่ะ” ลูกสาวที่โตแล้วขอร้องเขา “แค่หยุดฟังมัน” แต่ชายชรายังคงใช้เวลามากมายไปกับสื่อออนไลน์และแหล่งข่าวต่างๆ
สิ่งที่เราฟังนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เราได้เห็นสิ่งนี้จากการเผชิญหน้ากันของพระเยซูและปอนทิอัสปีลาต เมื่อต้องตัดสินข้อกล่าวหาที่พวกผู้นำศาสนาฟ้องพระเยซู ปีลาตจึงเรียกพระเยซูมาและทูลถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ” (ยน.18:33) พระเยซูตรัสตอบด้วยคำถามสะดุดใจว่า “ท่านถามอย่างนั้นตามความเข้าใจของท่านเองหรือ หรือว่าคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” (ข้อ 34)
คำถามเดียวกันนี้ทดสอบเราด้วย ในโลกที่ตื่นตระหนก เราฟังเสียงความวุ่นวายหรือเสียงของพระคริสต์ แน่นอนว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา” พระองค์ตรัส “เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นตามเรา” (10:27) พระเยซูตรัส “คำเปรียบนั้น” (ข้อ 6) เพื่ออธิบายถึงพระองค์เองแก่พวกผู้นำศาสนาที่สงสัย ในฐานะผู้เลี้ยงแกะที่ดีพระองค์ตรัสว่า “แกะก็ตามท่านไป เพราะรู้จักเสียงของท่าน ส่วนผู้อื่นแกะจะไม่ตามเลย แต่จะหนีไปจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของผู้อื่น” (ข้อ 4-5)
ในฐานะองค์พระผู้เลี้ยงที่ดีของเรา พระเยซูทรงเชื้อเชิญให้เราฟังพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด ขอให้เราตั้งใจฟังและพบสันติสุขของพระองค์
ยึดพระวจนะของพระเจ้า
ห่วงเหล็กหล่อหยาบๆซึ่งแขวนติดกับขอบประตูบ้านไร่เก่าๆของคุณตาผม ยังคงยึดแน่นต้านทานฤดูหนาวอันโหดร้ายของมินนิโซตา ห่างออกไปกว่า 30 เมตร มีห่วงอีกอันยึดติดกับประตูโรงรีดนม เมื่อเกิดพายุหิมะ คุณตาจะผูกเชือกระหว่างห่วงทั้งสองเพื่อจะหาทางจากบ้านไปโรงรีดนมได้ การจับเชือกให้แน่นช่วยให้ท่านไม่หลงทางในหิมะอันหนาทึบ
การใช้เชือกนิรภัยในพายุหิมะของคุณตาทำให้ผมนึกถึงวิธีที่ดาวิดใช้บทกวีฮีบรูเพื่อตามรอยว่า พระปัญญาของพระเจ้านำทางชีวิตเราให้ผ่านพ้นและปกป้องเราจากความบาปและความผิดพลาดได้อย่างไร “กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริงและชอบธรรมทั้งสิ้น น่าปรารถนามากกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองนพคุณมากนัก หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงจากรวง อนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นที่ตักเตือนผู้รับใช้ของพระองค์ การที่จะรักษาข้อความเหล่านั้นก็ได้บำเหน็จอันใหญ่ยิ่ง” (สดด.19:9-11)
การยึดมั่นความจริงจากพระวจนะที่องค์พระวิญญาณผู้ซึ่งทำงานในจิตใจของเราได้ทรงบอกไว้ จะปกป้องเราไม่ให้หลงทางและช่วยให้เราเลือกทำสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าและผู้อื่น พระคัมภีร์เตือนเราไม่ให้หลงไปจากพระเจ้าและสำแดงถึงหนทางที่เราจะกลับมาบ้าน ทั้งยังบอกเราถึงความรักอันประเมินค่ามิได้ขององค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา และพระพรที่รอคอยทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ พระคัมภีร์คือเชือกนำทาง! ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เรายึดมันไว้เสมอ
เติบโตไปด้วยกัน
มารีเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทำงาน เธอแทบไม่เคยขาดการไปคริสตจักรหรือศึกษาพระคัมภีร์ ทุกอาทิตย์เธอจะนั่งรถประจำทางไปกลับคริสตจักรกับลูกทั้งห้าคน ทั้งยังช่วยจัดเตรียมและทำความสะอาดสถานที่
ในวันอาทิตย์หนึ่ง ศิษยาภิบาลบอกมารีว่ามีสมาชิกบางคนได้ถวายของขวัญเพื่อครอบครัวของเธอ สามีภรรยาคู่หนึ่งจัดเตรียมบ้านโดยลดค่าเช่าให้ อีกคู่หนึ่งเสนองานพร้อมสวัสดิการที่ร้านกาแฟของพวกเขา ชายหนุ่มอีกคนมอบรถคันเก่าที่เขาซ่อมขึ้นใหม่และสัญญาว่าจะเป็นช่างซ่อมรถประจำตัวให้เธอ มารีขอบคุณพระเจ้าสำหรับความชื่นชมยินดีที่ได้อยู่ในชุมชนที่อุทิศตนในการรับใช้พระเจ้าและรับใช้ซึ่งกันและกัน
แม้เราทุกคนจะไม่สามารถหยิบยื่นน้ำใจได้เท่าครอบครัวคริสตจักรของมารี แต่ประชากรของพระเจ้าถูกกำหนดให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ลูกาผู้เขียนพระกิตติคุณบรรยายถึงผู้เชื่อในพระเยซูว่า “ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม” (กจ.2:42) เมื่อนำสิ่งต่างๆที่มีมารวมกัน เราก็ร่วมกันช่วยเหลือผู้คนที่ขัดสนเหมือนที่ผู้เชื่อพระเยซูในยุคแรกทำ (ข้อ 44-45) เราดูแลซึ่งกันและกันได้เมื่อเรายิ่งติดสนิทกับพระเจ้าและสนิทสนมกับผู้อื่น การได้เห็นความรักของพระเจ้าสำแดงผ่านสิ่งที่ประชากรของพระองค์ทำนั้นจะนำผู้อื่นมาถึงความสัมพันธ์แห่งความรอดในพระเยซู (ข้อ 46-47)
เรารับใช้ผู้อื่นได้ด้วยรอยยิ้มและการทำดี เรามอบความช่วยเหลือทางการเงินและคำอธิษฐานได้ ขณะที่พระเจ้าทรงทำงานภายในเราและผ่านทางเรา เราก็จะเติบโตไปด้วยกัน