ไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้
งานรำลึกครบรอบ 75 ปีวันดีเดย์ในปี 2019 จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารมากกว่า 156,000 นาย ที่เข้าร่วมการบุกยึดทางทะเลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่อปลดปล่อยประเทศในยุโรปตะวันตก ในคำอธิษฐานซึ่งกระจายเสียงทางวิทยุเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 1944 ประธานาธิบดีโรสเวลต์ทูลขอการปกป้องจากพระเจ้าว่า “พวกเขาต่อสู้ไม่ใช่เพื่อความปรารถนาในชัยชนะ แต่พวกเขาต่อสู้เพื่อหยุดยั้งการเอาชนะ พวกเขาต่อสู้เพื่อปลดปล่อย”
การเต็มใจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายเพื่อจะยับยั้งความชั่วร้ายและปลดปล่อยผู้ที่ถูกข่มเหงนี้ ทำให้ฉันนึกถึงพระดำรัสของพระเยซู “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ยน.15:13) ถ้อยคำเหล่านี้มาถึงในระหว่างที่พระคริสต์กำลังสอนให้สาวกของพระองค์รักกันและกัน แต่พระองค์ต้องการให้พวกเขาเข้าใจถึงราคาที่ต้องจ่ายและความลึกซึ้งของความรักเช่นนี้ด้วย ตัวอย่างของความรักนี้คือเมื่อคนหนึ่งเต็มใจสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น การทรงเรียกของพระเยซูให้รักผู้อื่นด้วยความเสียสละเป็นรากฐานของพระบัญชาที่ให้ “รักกันและกัน” (ข้อ 17)
บางทีเราอาจสำแดงความรักที่เสียสละด้วยการใช้เวลาเพื่อดูแลความต้องการของผู้สูงอายุในครอบครัว เราอาจให้ความต้องการของพี่น้องมาก่อนด้วยการช่วยพวกเขาทำงานบ้านในระหว่างสัปดาห์ที่ต้องคร่ำเคร่งกับการเรียน เราอาจเพิ่มเวลาดูแลลูกที่ป่วยแทนคู่สมรสเพื่อให้เขาได้นอนหลับ เมื่อเรามีความรักที่เสียสละแก่ผู้อื่น เราก็ได้สำแดงถึงความรักออกมาอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด
พระองค์ทรงทราบสิ่งที่อยู่ในใจของฉัน
หลังจากลูกค้าคนก่อนหน้าผมทำการชำระเงินที่เครื่องรับชำระด้วยตัวเองของร้านค้าเสร็จ ผมจึงเดินเข้าไปเพื่อสแกนสินค้าของผมต่อ จู่ๆก็มีคนที่ดูท่าทางโกรธมากมาดักหน้าผม ซึ่งผมไม่ทันสังเกตจริงๆว่าเธอเป็นคิวถัดไป เมื่อเห็นว่าผมเป็นฝ่ายผิด ผมจึงกล่าวอย่างจริงใจว่า “ขอโทษครับ” เธอตอบกลับว่า (แม้จะไม่ได้มีเพียงคำเหล่านี้เท่านั้น) “ไม่ คุณไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ!”
คุณเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่รู้ตัวว่าทำผิดและพยายามแก้ไขให้ถูกต้องแต่กลับถูกปฏิเสธหรือไม่ เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเลยเมื่อถูกเข้าใจผิดหรือถูกตัดสินแบบผิดๆ และยิ่งคนที่เราทำผิดด้วยหรือทำผิดต่อเราเป็นคนใกล้ชิด มันก็ยิ่งเจ็บปวด เพราะเราคาดหวังว่าพวกเขาจะต้องเข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจของเรา!
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์นำเสนอภาพของผู้ปกครองที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ด้วยพระปัญญาเพื่อการพิพากษาอันสมบูรณ์แบบในอิสยาห์ 11:1-5 “ท่านจะไม่พิพากษาตามซึ่งตาท่านเห็น หรือตัดสินตามซึ่งหูท่านได้ยิน แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่งแผ่นดินโลกด้วยความเที่ยงธรรม” (ข้อ 3-4) สิ่งนี้ได้สำเร็จลงในชีวิตและพระราชกิจของพระเยซู แม้ความบาปและความอ่อนแอจะทำให้เราไม่สามารถทำสิ่งที่ถูกต้องได้เสมอไป แต่เราเชื่อมั่นได้ว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ผู้ทรงเห็นและทรงรู้ทุกสิ่ง ทรงรู้จักเราอย่างดีและทรงตัดสินเราอย่างชอบธรรม
อยู่รอดและรุ่งเรือง
เดอะครู้ดส์เป็นครอบครัวมนุษย์ถ้ำในหนังแอนิเมชั่นเรื่อง มนุษย์ถ้ำผจญภัย ที่เชื่อว่า “ทางเดียวที่จะรอดคือการที่ทุกคน [ในครอบครัวเล็กๆของพวกเขา]อยู่ด้วยกัน” พวกเขาหวาดกลัวโลกและสิ่งต่างๆ ดังนั้นเมื่อต้องหาที่อาศัยที่ปลอดภัย พวกเขากลับตกอยู่ในความกลัวเมื่อพบว่า มีครอบครัวหนึ่งที่ประหลาดตั้งรกราก อยู่ก่อนแล้วในบริเวณที่พวกเขาเลือก แต่ต่อมาพวกเขาก็เรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่างของเพื่อนบ้านใหม่ รับเอาความแข็งแกร่งจากพวกเขา และเอาชีวิตรอดไปด้วยกัน พวกเขาค้นพบความสุขในการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านและพวกเขาต้องการผู้อื่นเพื่อจะดำเนินชีวิตได้เต็มที่
การเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์อาจเป็นการเสี่ยง เพราะคนอื่นทำให้เราเจ็บปวดได้ แต่พระเจ้าทรงให้คนของพระองค์อยู่ร่วมกันในพระกายคือคริสตจักรเพื่อให้เกิดผลดี เราจะโตเป็นผู้ใหญ่ในการสามัคคีธรรมกับผู้อื่น (อฟ.4:13) เราเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระองค์ให้ช่วยเรา “มีใจถ่อมลงทุกอย่างและใจอ่อนสุภาพ” และ “อดทนนาน” (ข้อ 2) เราช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยการก่อกันขึ้น “ด้วยความรัก” (ข้อ 16) เมื่อเราอยู่ร่วมกัน เราใช้ของประทานที่มีและเรียนรู้จากการใช้ของประทานของผู้อื่น ซึ่งจะช่วยเกื้อหนุนเราในการดำเนินกับพระเจ้าและรับใช้พระองค์
เมื่อพระองค์ทรงนำ ถ้าคุณยังไม่พบที่ของคุณให้มองหาในท่ามกลางคนของพระเจ้าคุณจะทำได้มากกว่าการอยู่รอด ในการแบ่งปันความรักคุณจะได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าและเติบโตเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น และขอให้เราทุกคนพึ่งพาพระองค์ในขณะที่เราเติบโตขึ้นในความสัมพันธ์กับพระเยซูและผู้อื่น
มหาสนิทในห้วงอวกาศ
เมื่อยานอีเกิลซึ่งเป็นยานสำหรับลงจอดดวงจันทร์ลูกของยานอะพอลโล 11 ได้ลงจอดเทียบที่ทะเลแห่งความเงียบสงบบนดวงจันทร์ในวันที่ 20 กรกฎาคม 1969 นักบินอวกาศต้องใช้เวลาปรับสภาพจากการบินก่อนจะออกไปเหยียบผิวดวงจันทร์ นักบินอวกาศบัซซ์ อัลดริน ได้รับอนุญาตให้นำขนมปังกับน้ำองุ่นไปทำพิธีมหาสนิทด้วย หลังจากอ่านพระคัมภีร์ เขาได้ลิ้มรสอาหารมื้อแรกซึ่งเคยเกิดขึ้นบนดวงจันทร์ ต่อมาเขาเขียนว่า “ผมเทน้ำองุ่นลงในจอกที่โบสถ์ของผมให้มา ด้วยแรงโน้มถ่วงที่น้อยกว่าโลกหกเท่า ทำให้น้ำองุ่นค่อยๆ ม้วนตัวไปตามขอบถ้วยอย่างงดงาม” ขณะที่อัลดรินชื่นชมยินดีกับมหาสนิทในห้วงอวกาศ สิ่งที่เขาทำประกาศถึงความเชื่อในการสละพระชนม์ของพระคริสต์บนกางเขนและยืนยันถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์
อัครทูตเปาโลหนุนใจเราให้ระลึกถึงครั้งที่พระเยซูทรงร่วมโต๊ะกับเหล่าสาวก “ในคืนที่เขาอายัดพระเยซูเจ้านั้น” (1 คร.11:23) พระคริสต์ทรงเปรียบพระกายซึ่งจะถูกปลงพระชนม์ในไม่ช้ากับขนมปัง (ข้อ 24) พระองค์ตรัสว่าน้ำองุ่นเล็งถึง “พันธสัญญาใหม่” ซึ่งรับรองถึงการอภัยและความรอดโดยพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งออกบนกางเขน (ข้อ 25) ไม่ว่าเราจะรับมหาสนิทที่ใดหรือเวลาใด เราก็กำลังประกาศถึงความเชื่อวางใจในการสละพระชนม์ของพระเยซู และความหวังที่เรามีต่อพระสัญญาในการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ (ข้อ 26)
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด เราสามารถเฉลิมฉลองความเชื่อในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้ช่วยให้รอดแต่ผู้เดียวที่ทรงฟื้นคืนพระชนม์และจะเสด็จกลับมา ด้วยความมั่นใจ