ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Arthur Jackson

พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า

ราเล่ย์ เพื่อนของผมกำลังพุ่งทะยานเข้าสู่วันครบรอบวันเกิดปีที่แปดสิบห้า! เขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผมตั้งแต่เราได้คุยกันครั้งแรกเมื่อกว่าสามสิบห้าปีก่อน เมื่อเร็วๆนี้เขาเล่าว่าตั้งแต่เกษียณ เขาเขียนต้นฉบับหนังสือเสร็จหนึ่งเล่ม และเริ่มต้นงานพันธกิจอื่นอีก ผมรู้สึกทึ่งแต่ไม่แปลกใจ

ในพระคัมภีร์ คาเลบในวัยแปดสิบห้าก็ยังไม่พร้อมที่จะหยุดเช่นกัน ความเชื่อและการอุทิศตนต่อพระเจ้าค้ำจุนท่านตลอดหลายสิบปีของการใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดาร และในการสู้รบเพื่อรักษามรดกที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับอิสราเอล ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ายังมีกำลังแข็งแรง เช่นเดียวกับวันที่โมเสสใช้ให้ข้าพเจ้าไป กำลังของข้าพเจ้าในการทำศึกสงคราม หรือออกไปและเข้ามาเดี๋ยวนี้ก็เป็นเหมือนครั้งนั้น” (ยชว.14:11) ท่านจะเอาชนะด้วยวิธีใด คาเลบประกาศว่า “พระเจ้าจะทรงสถิตกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขับไล่เขาออกไปได้ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว” (ข้อ 12)

พระเจ้าจะทรงช่วยเหลือทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์อย่างสุดใจโดยไม่เกี่ยงเรื่องอายุ สถานะในชีวิต หรือสถานการณ์ เราเห็นพระเจ้าได้ในองค์พระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดของเรา หนังสือพระกิตติคุณทำให้เราเกิดความเชื่อในพระเจ้าผ่านสิ่งที่เรามองเห็นในพระคริสต์ พระเยซูทรงสำแดงความห่วงใยและพระเมตตาของพระเจ้าต่อทุกคนที่ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ดังที่ผู้เขียนฮีบรูยอมรับว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว” (ฮบ.13:6) ไม่ว่าเราจะเป็นเด็กหรือคนชรา คนอ่อนแอหรือแข็งแรง ถูกพันธนาการหรือเป็นอิสระ กระฉับกระเฉงหรือเดินกะเผลก แล้วจะมีอะไรที่ขัดขวางไม่ให้เราขอความช่วยเหลือจากพระองค์ในวันนี้ได้

การเลือกนั้นสำคัญ

ศิษยาภิบาลดาเมียนวางแผนที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมผู้ป่วยหนักสองคนซึ่งเลือกเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน ที่โรงพยาบาลแห่งแรกเป็นผู้หญิงซึ่งได้รับความรักจากครอบครัว การบริการชุมชนอย่างไม่เห็นแก่ตัวทำให้เธอเป็นที่รักของคนมากมาย ผู้เชื่อในพระเยซูคนอื่นๆพากันมาอยู่รายล้อมเธอ และนมัสการ อธิษฐาน และห้องนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ญาติของสมาชิกในคริสตจักรของดาเมียนก็กำลังจะเสียชีวิตเช่นกัน จิตใจที่แข็งกระด้างของเขาทำให้เขามีชีวิตที่ยากลำบาก และครอบครัวที่ยุ่งเหยิงของเขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับผลจากการตัดสินใจที่แย่และการกระทำที่ไม่ถูกต้องของเขา ความแตกต่างในบรรยากาศทั้งสองแบบสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในการใช้ชีวิตของคนทั้งสอง

ผู้ที่ไม่ได้พิจารณาว่าชีวิตของตนกำลังมุ่งหน้าไปทางไหนมักจะพบว่าพวกเขาติดอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัด ไม่พึงประสงค์ และโดดเดี่ยว สุภาษิต 14:12 บันทึกไว้ว่า “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราดูเหมือนถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา” ไม่ว่าเด็กหรือคนชรา คนป่วยหรือสุขภาพดี คนรวยหรือยากจน ล้วนยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนการดำเนินชีวิตของเราใหม่ เส้นทางนี้จะนำเราไปสู่ที่ใด พระเจ้าทรงได้รับเกียรติหรือไม่ คนอื่นได้รับการช่วยเหลือหรือได้รับความวุ่นวาย เป็นเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้เชื่อในพระเยซูหรือไม่

การเลือกมีความสำคัญ และพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงช่วยเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อเราหันไปหาพระองค์ผ่านทางองค์พระบุตร คือพระเยซูผู้ตรัสว่า “จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ.11:28)

ทำดีเพื่อพระเจ้า

แม้ว่าปกติแพทริคจะไม่ค่อยพกเงินติดตัว แต่เขาสัมผัสได้ว่าพระเจ้าทรงนำให้เขาหยิบแบงค์ห้าดอลล่าร์ใส่กระเป๋าก่อนออกจากบ้าน ในช่วงพักรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนซึ่งเขาทำงานอยู่ เขาจึงเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเตรียมเขาเพื่อตอบสนองความต้องการที่จำเป็นเร่งด่วนอย่างไร ท่ามกลางเสียงอื้ออึงภายในโรงอาหาร เขาได้ยินคำพูดที่บอกว่า “สก๊อตตี้ [เด็กยากจนคนหนึ่ง] ต้องการเงินห้าดอลล่าร์เข้าบัญชี เขาจะมีอาหารกลางวันรับประทานตลอดสัปดาห์นี้” ลองนึกหน้าแพทริคขณะที่เขาให้เงินช่วยเหลือสก๊อตตี้ดูสิว่าจะมีความสุขเพียงใด!

ในพระธรรมทิตัส เปาโลเตือนผู้เชื่อพระเยซูว่า พวกเขาไม่ได้รับความรอด “ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของ[พวกเขา]เอง” (3:5) แต่พวกเขาควร “อุตส่าห์กระทำการดี” (ข้อ 8; ดูข้อ 14) ชีวิตอาจเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย เราอาจใส่ใจกับความเป็นอยู่ที่ดีของเรามากจนเกินไป แต่ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราต้อง “พร้อมที่จะกระทำการดี” แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เราไม่มีและทำไม่ได้ ให้เราคิดถึงสิ่งที่เรามีและสามารถทำได้

โดยความช่วยเหลือของพระเจ้า เมื่อเราคิดเช่นนั้น เราจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นในยามที่พวกเขาต้องการ และพระเจ้าก็ได้รับเกียรติ “จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีทีของท่านและสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มธ.5:16)

พร้อมแล้วสำหรับการฟื้นฟูจากพระเจ้า

ภาพต่างๆที่ส่งมาจากข้อความของเพื่อนนั้นน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ภาพที่เขามอบของขวัญเซอร์ไพรส์ให้ภรรยาเป็นรถฟอร์ดมัสแตงปี 1965 ซึ่งได้รับการฟื้นฟูสภาพใหม่ ภายนอกเป็นสีน้ำเงินเข้มสดใส ขอบโครเมี่ยมแวววาวส่วนภายในหุ้มเบาะใหม่สีดำ และเครื่องยนต์ที่เข้ากันได้กับชิ้นส่วนใหม่อื่นๆ และยังมีภาพรถ “ก่อน” การซ่อมที่เป็นสีเหลืองเก่าๆ ทรุดโทรมและไม่น่าประทับใจ แม้จะนึกภาพย้อนไปได้ยาก แต่ดูเหมือนตอนที่รถคันนี้ถูกผลิตและปล่อยออกจากโรงงาน ก็น่าจะดึงดูดสายตาของผู้คนเช่นกัน แต่กาลเวลา การสึกหรอ และปัจจัยอื่นๆทำให้มันพร้อมแล้วที่จะได้รับการฟื้นฟูสภาพขึ้นใหม่

พร้อมแล้วสำหรับการฟื้นฟู! นี่คือสภาพประชากรของพระเจ้าในสดุดี 80 และคำอธิษฐานซ้ำๆว่า “ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้กลับสู่สภาพดี ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสง เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอด” (ข้อ 3, ดูข้อ 7,19) แม้ประวัติศาสตร์ของพวกเขาจะมีทั้งการช่วยกู้จากอียิปต์และการมีถิ่นที่อยู่ใหม่ในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ (ข้อ 8-11) แต่เวลาดีๆเหล่านั้นได้จากไปแล้ว เนื่องจากการกบฎ พวกเขาจึงพบกับพระหัตถ์แห่งการพิพากษาของพระเจ้า (ข้อ 12-13) ดังนั้นพวกเขาจึงร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ขอทรงหันกลับเถิดพระเจ้าข้า ขอทรงมองจาก ฟ้าสวรรค์และทรงเห็น” (ข้อ 14)

คุณเคยรู้สึกเบื่อหน่าย ห่างเหินหรือถูกตัดขาดจากพระเจ้าไหม ความชื่นบานอิ่มเอมในจิตใจขาดหายไปหรือไม่ เป็นเพราะเราไม่ได้เข้าส่วนกับพระเยซูและพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่ พระเจ้าทรงสดับฟังคำทูลขอการฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพดีของเรา (ข้อ 1) แล้วจะมีสิ่งใดที่ทำให้คุณไม่ทูลขอต่อพระองค์

จิตใจเป็นทุกข์ คำอธิษฐานที่ซื่อตรง

สามวันก่อนจะมีการระเบิดที่บ้านของเขาในเดือนมกราคม ค.ศ.1957 ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ได้พบกับประสบการณ์ที่ประทับในใจเขาไปตลอดชีวิต หลังจากได้รับโทรศัพท์ข่มขู่ คิงจึงครุ่นคิดถึงวิธีที่จะออกจากขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง แล้วคำอธิษฐานก็หลั่งไหลออกมาจากใจของเขา “ผมอยู่ที่นี่เพื่อยืนหยัดในสิ่งที่ผมเชื่อว่าถูกต้อง แต่เวลานี้ผมกลัว ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ผมมาถึงจุดที่ผมเผชิญคนเดียวไม่ได้” เมื่ออธิษฐานจบ คิงมีความรู้สึกมั่นใจอย่างเงียบๆ เขาบันทึกว่า “ความกลัวของผมเริ่มหมดไปเกือบจะในทันที ความไม่แน่ใจของผมหายไป ผมพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่ง”

ในพระธรรมยอห์นบทที่ 12 พระเยซูทรงรู้ว่า “จิตใจของเราเป็นทุกข์” (ข้อ 27) พระองค์ทรงเปิดเผยอย่างซื่อตรงถึงความรู้สึกภายในของพระองค์ และยังทรงมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในคำอธิษฐานของพระองค์ “ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์จงได้รับเกียรติ” (ข้อ 28) คำอธิษฐานของพระเยซูเป็นการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้า

แล้วเราผู้เป็นมนุษย์เล่าจะรู้สึกเจ็บปวดจากความกลัวและความรู้สึกยากลำบากสักเพียงใด เมื่อเราต้องเจอกับทางเลือกว่าจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่ คือเมื่อเราต้องการสติปัญญาเพื่อตัดสินใจในเรื่องที่ยากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ อุปนิสัยความเคยชินหรือแบบแผนอื่นๆ(ดีและไม่ดี) ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับสิ่งใด เมื่อเราอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยใจกล้า พระองค์จะประทานกำลังให้เราเอาชนะความกลัว ความรู้สึกยากลำบากและทำสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เพื่อเป็นผลดีต่อตัวเราและต่อผู้อื่น

เล่าถึงความดีของพระเจ้า

ในการนมัสการของคริสตจักรเรานั้นจะมีช่วงเวลาสำหรับให้สมาชิกได้เล่าคำพยานว่าพระเจ้าทรงทำอะไรในชีวิตของพวกเขาบ้าง เป็นที่รู้กันดีว่าป้าแลงฟอร์ดมีเรื่องขอบพระคุณพระเจ้ามากมายในคำพยานของเธอ เมื่อใดก็ตามที่ป้าเล่าถึงการที่เธอกลับใจมาเชื่อพระเจ้า เรารู้ว่าจะกินเวลาการนมัสการไปค่อนข้างมาก คำสรรเสริญแด่พระเจ้าผู้ทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธออย่างงดงามนั้นพรั่งพรูออกมาจากใจ

ในทำนองเดียวกันคำพยานของผู้เขียนสดุดีบทที่ 66 ก็อัดแน่นไปด้วยการสรรเสริญ เมื่อท่านเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อประชากรของพระองค์ว่า “จงมาดูสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ พระราชกิจของพระองค์น่าครั่นคร้ามท่ามกลางมนุษย์” (ข้อ 5) พระราชกิจของพระองค์ได้แก่ การช่วยกู้อย่างมหัศจรรย์ (ข้อ 6) การปกปักษ์รักษา (ข้อ 9) การทดลองและการฝึกที่ส่งผลให้ประชากรของพระองค์ถูกพาไปยังที่ที่ดีกว่า (ข้อ 10-12)

แม้เราจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับพระเจ้าที่เหมือนกับของผู้เชื่อในพระเยซูคนอื่นๆ แต่ก็มีบางสิ่งที่แตกต่างและเฉพาะเจาะจงในการเดินทางของเราแต่ละคน เคยมีช่วงเวลาใดในชีวิตที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองให้คุณรู้จักอย่างเฉพาะเจาะจงไหม ช่วงเวลาเหล่านั้นสมควรถูกเล่าให้แก่ผู้ที่จำเป็นต้องได้ยินว่าพระเจ้าทรงกระทำกิจของพระองค์อย่างไรในชีวิตของคุณ “บรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า ขอเชิญมาฟัง และข้าพเจ้าจะบอกถึงว่าพระองค์ได้ทรงกระทำอะไรแก่ข้าพเจ้าบ้าง” (ข้อ 16)

ประตูเดียวสำหรับทุกคน

ระเบียบปฏิบัติของร้านอาหารในละแวกบ้านของผมในวัยเด็กนั้น เป็นไปตามแบบแผนทางสังคมและเชื้อชาติของช่วงปลายทศวรรษ 1950 และต้นทศวรรษ 1960 พวกผู้ช่วยในครัว ได้แก่ แมรี่แม่ครัวและเด็กล้างจานอย่างตัวผมต่างก็เป็นคนผิวดำ แต่ลูกค้าในร้านอาหารเป็นคนผิวขาว ลูกค้าผิวดำสั่งอาหารได้แต่ต้องไปรับที่ประตูหลัง นโยบายดังกล่าวตอกย้ำการปฏิบัติต่อคนผิวดำอย่างไม่เท่าเทียมในยุคนั้น แม้ว่านับจากนั้นเราจะมาไกลแล้ว แต่เรายังมีช่องว่างเรื่องการเติบโตในความสัมพันธ์ต่อกันและกันในฐานะมนุษย์ที่ได้รับการสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า

ข้อความตอนต่างๆในพระคัมภีร์ เช่น โรม 10:8-13 ช่วยให้เราเห็นว่าทุกคนได้รับการต้อนรับสู่ครอบครัวของพระเจ้า ไม่มีประตูหลัง ทุกคนเข้าทางเดียวกัน คือโดยทางความเชื่อในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเพื่อการชำระและการอภัย คำศัพท์ของพระคัมภีร์สำหรับประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงนี้คือคำว่า ช่วยให้รอด (ข้อ 9, 13) สภาพการณ์ทางสังคมหรือสถานะทางเชื้อชาติของคุณหรือของผู้อื่นไม่ได้รวมอยู่ในสมการนี้ “เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย เพราะว่าพวกยิวและพวกต่างชาตินั้นไม่ทรงถือว่าต่างกัน ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงโปรดอย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งปวงที่ทูลขอต่อพระองค์” (ข้อ 11-12) ใจของคุณเชื่อข้อความในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงพระเยซูไหม ยินดีต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวของพระองค์!

ความเมตตาอย่างล้นเหลือ

เควิน ฟอร์ดพนักงานร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดไม่เคยขาดงานเลยในตลอดยี่สิบเจ็ดปี เมื่อวิดีโอที่เขาแสดงความรู้สึกขอบคุณอย่างนอบน้อมสำหรับของขวัญ
เล็กๆ น้อยๆ ที่ตนได้รับเป็นที่ระลึกจากการให้บริการหลายสิบปีถูกเปิดเผย ผู้คนหลายพันร่วมกันแสดงความเมตตาต่อเขา “มันเหมือนความฝัน ฝันที่เป็นจริง” เขากล่าวเมื่อความพยายามในการระดมทุนมียอดเงิน 250,000 ดอลล่าร์ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เศษ

เยโฮยาคีนกษัตริย์ยูดาห์ผู้ถูกเนรเทศก็เป็นผู้ที่ได้รับความเมตตาอย่างล้นเหลือเช่นกัน พระองค์ถูกจองจำเป็นเวลาสามสิบเจ็ดปีก่อนที่ความเมตตากรุณาของกษัตริย์บาบิโลนจะส่งผลให้พระองค์ได้รับการปล่อยตัว “[กษัตริย์] ได้นำท่านออกมาจากคุก พระองค์ตรัสอย่างเมตตาต่อท่าน และให้นั่งบนที่นั่งเหนือกว่าบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ในบาบิโลน” (ยรม.52:31-32) เยโฮยาคีนได้รับฐานะใหม่ เครื่องแต่งกายใหม่และที่อยู่อาศัยใหม่ ชีวิตใหม่ของพระองค์ได้รับการจัดหาอย่างเต็มที่จากกษัตริย์

เรื่องนี้แสดงถึงภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นในฝ่ายวิญญาณ เมื่อผู้ที่เชื่อในการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระเยซูได้รับการช่วยกู้จากการที่พวกเขาเหินห่างจากพระเจ้า โดยที่พวกเขาเองและคนอื่นๆไม่ได้มีส่วนใดๆ พวกเขาถูกนำออกจากความมืดและความตายไปสู่ความสว่างและชีวิต พวกเขาถูกนำเข้ามาสู่ครอบครัวของพระเจ้าเพราะพระเมตตาอย่างเหลือล้นของพระองค์

ถ่อมใจแต่มีความหวัง

ลาทรีซเดินออกไปด้านหน้า ตามคำเชิญของศิษยาภิบาลหลังเลิกการนมัสการเมื่อเธอได้รับเชิญให้ทักทายที่ประชุมนั้น ไม่มีใครทันตั้งตัวว่าเธอจะกล่าวถ้อยคำที่ลึกซึ้งและยอดเยี่ยม เธอย้ายไปจากเคนตั๊กกี้หลังจากพายุทอร์นาโดครั้งรุนแรงได้คร่าชีวิตสมาชิกเจ็ดคนในครอบครัวของเธอเมื่อเดือนธันวาคม 2021 “ฉันยังคงยิ้มได้เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับฉัน” เธอกล่าว แม้จะชอกช้ำจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น แต่คำพยานของเธอเป็นคำหนุนน้ำใจอันทรงพลังสำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก

ถ้อยคำของดาวิดในสดุดี 22 (ซึ่งชี้ถึงการทนทุกข์ของพระเยซู) เป็นคำพูดของผู้บอบช้ำที่รู้สึกว่าถูกพระเจ้าทอดทิ้ง (ข้อ 1) ถูกเหยียดหยามและดูหมิ่น (ข้อ 6-8) ถูกล้อมไว้โดยผู้ล่า (ข้อ 12-13) ท่านรู้สึกอ่อนแอและหมดกำลัง (ข้อ 14-18) แต่ท่านมิได้สิ้นหวัง “ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์อย่าทรงห่างไกลเลย ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงอุปถัมภ์ ขอทรงเร่งรีบมาช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด” (ข้อ 19) ความท้าทายที่คุณมีในขณะนี้ แม้จะไม่เหมือนของดาวิดหรือลาทรีซ แต่มันสร้างปัญหาให้คุณจริง และคำพูดในข้อ 24 ก็มีความหมายต่อคุณจริง คือ “เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียน ต่อความทุกข์ยากของผู้ที่ทุกข์ใจ...เมื่อเขาร้องทูลพระองค์ทรงฟัง” และเมื่อเราได้มีประสบการณ์ในการทรงช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอให้เราบอกเล่าถึงความประเสริฐของพระองค์เพื่อผู้อื่นจะได้รู้ (ข้อ 22)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา