พระเจ้าอยู่ไหน
หนังสือของมาร์ติน แฮนด์ฟอร์ดที่ชื่อวาลโด้อยู่ที่ไหน เป็นชุดหนังสือปริศนาสำหรับเด็กที่มีขึ้นครั้งแรกในปี 1987 ด้านในมีภาพชายสวมเสื้อเชิ้ตลายทางสีแดงสลับขาวและถุงเท้ากับหมวกที่เข้าชุดกัน เขาใส่กางเกงยีนส์สีฟ้า รองเท้าบูทสีน้ำตาลและสวมแว่น แฮนด์ฟอร์ดได้ซ่อนวาลโด้ไว้อย่างแนบเนียนในภาพประกอบที่ดูสับสนวุ่นวายเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก การมองหาวาลโด้ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป แต่ผู้เขียนสัญญาว่าผู้อ่านจะหาเขาเจอได้ ถึงแม้ว่าการมองหาพระเจ้าจะไม่เหมือนกับการมองหาวาลโด้ในหนังสือภาพปริศนา แต่องค์พระผู้สร้างของเราทรงสัญญาว่าเราจะหาพระองค์พบได้เช่นกัน
พระเจ้าทรงสอนประชากรของพระองค์ผ่านทางเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะถึงวิธีการใช้ชีวิตอย่างคนพลัดถิ่นที่ถูกเนรเทศ (ยรม.29:4-9) พระองค์ทรงสัญญาว่าจะปกป้องพวกเขาจนกว่าพระองค์จะทรงฟื้นฟูพวกเขาตามแผนการอันเลิศประเสริฐของพระองค์ (ข้อ 10-11) พระเจ้าทรงรับรองกับชนชาติอิสราเอลว่า การทำตามพระสัญญาของพระองค์จะทำให้การที่พวกเขาร้องเรียกหาพระองค์ด้วยคำอธิษฐานนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น (ข้อ 12)
ทุกวันนี้ แม้พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองผ่านเรื่องราวของพระเยซูและโดยทางพระวิญญาณ เราก็ยังถูกทำให้ไขว้เขวได้ง่ายจากความสับสนวุ่นวายในโลก เราอาจถูกทดลองให้ถามด้วยซ้ำไปว่า “พระเจ้าอยู่ไหน” อย่างไรก็ตาม องค์พระผู้สร้างและผู้ทรงค้ำจุนสรรพสิ่งทรงประกาศว่า ประชากรของพระองค์จะพบพระองค์ได้หากพวกเขาแสวงหาพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจ (ข้อ 13-14)
เราเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในชุมชนเกษตรกรเล็กๆนั้น ข่าวสารแพร่สะพัดได้อย่างรวดเร็ว หลายปีหลังจากธนาคารขายที่ดินที่ครอบครัวของเดวิดเคยเป็นเจ้าของมาหลายสิบปี เขาได้รู้ว่าจะมีการขายที่ผืนนั้นอีกครั้ง หลังจากทุ่มเทและเก็บออมอย่างหนัก เดวิดมาที่การประมูลร่วมกับกลุ่มเกษตรกรท้องถิ่นเกือบสองร้อยคน ราคาเสนอซื้อที่ต่ำของเดวิดจะเพียงพอหรือไม่ เขาเสนอราคาครั้งแรก หายใจแรงขณะที่นายประมูลถามหาราคาที่สูงกว่า ฝูงชนรอด้วยความเงียบจนพวกเขาได้ยินเสียงค้อน กลุ่มเกษตรกรคิดถึงความจำเป็นของเดวิดและครอบครัวก่อนความเติบโตทางการเงินของพวกเขาเอง
เรื่องราวการเสียสละด้วยความเมตตาของกลุ่มเกษตรกรนี้ แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่อัครทูตเปาโลกำชับเหล่าผู้ติดตามของพระคริสต์ให้ดำเนินชีวิต เปาโลเตือนเราไม่ให้ประพฤติ “ตามอย่างคนในยุคนี้” (รม.12:2) ที่ให้ความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของเราอยู่เหนือความจำเป็นของผู้อื่น และตะเกียกตะกายเพื่อเอาตัวเองให้รอด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราวางใจในพระเจ้าได้ว่าจะประทานสิ่งจำเป็นแก่เราเมื่อเรารับใช้ผู้อื่น เมื่อพระวิญญาณทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจเรา เราจะตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ด้วยความรักและแรงจูงใจที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า การคิดถึงผู้อื่นก่อนช่วยเราไม่ให้คิดถึงตัวเองมากเกินไป เพราะพระเจ้าทรงเตือนว่าเราเป็นส่วนของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือคริสตจักร (ข้อ 3-4)
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยผู้เชื่อให้เข้าใจและเชื่อฟังพระวจนะ พระองค์ทรงให้กำลังแก่เราที่จะให้และรักด้วยใจกว้างขวาง เพื่อพวกเราจะเติบโตเป็นหนึ่งเดียวกัน
มอบความรักในทุกที่ที่เราไป
ฉันนั่งอยู่ที่ท่าเรือในวันหยุดพักร้อน อ่านพระคัมภีร์และดูสามีตกปลา ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาและแนะนำให้เราใช้เหยื่อแบบอื่น เขาเหลือบมองฉันขณะขยับเท้าไปมาพลางพูดว่า “ผมเคยติดคุก” เขาชี้มาที่พระคัมภีร์ของฉันแล้วถอนหายใจ “คุณคิดว่าพระเจ้าจะสนใจคนอย่างผมหรือ”
ฉันเปิดมัทธิวบทที่ 25 แล้วอ่านสิ่งที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับผู้ติดตามพระองค์ที่ไปเยี่ยมคนที่ถูกจำคุก
“พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องคนที่ติดคุกไว้ด้วยหรือ” เขาน้ำตาคลอเมื่อฉันแบ่งปันว่า พระเจ้าทรงถือว่าการทำดีต่อบรรดาบุตรของพระองค์คือการสำแดงความรักต่อพระองค์ (ข้อ 31-40)
“ผมหวังว่าพ่อกับแม่จะให้อภัยผมด้วย” เขาก้มศีรษะลง “เดี๋ยวผมมา” เขากลับมาแล้วยื่นพระคัมภีร์สภาพยับเยินของเขาให้ฉัน “ช่วยบอกผมหน่อยว่าจะหาข้อพระคัมภีร์ตอนนั้นตรงไหน”
ฉันพยักหน้า ฉันกับสามีกอดเขาขณะที่เราอธิษฐานเผื่อเขาและพ่อแม่ เราแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อติดต่อกันและยังคงอธิษฐานเผื่อเขาต่อไป
อาจมีช่วงเวลาที่เราจะรู้สึกไม่เป็นที่รัก ไม่ได้รับการต้อนรับ ขัดสน และแม้แต่ถูกกักขังทางร่างกายหรือจิตใจ (ข้อ 35-36) เราจะต้องการสิ่งที่เตือนให้ระลึกถึงความรักเมตตาและการให้อภัยของพระเจ้า เราจะมีโอกาสเช่นกันที่จะได้ช่วยเหลือผู้ที่กำลังต่อสู้กับความรู้สึกเหล่านี้ เราเป็นส่วนหนึ่งในแผนการแห่งการทรงไถ่ของพระเจ้าได้ในขณะที่เราประกาศความจริงและความรักของพระองค์ในทุกที่ที่เราไป
ทำตามสิ่งที่คุณสอน
ฉันเริ่มอ่านพระคัมภีร์ให้พวกลูกชายของฉันฟังเมื่อตอนที่เซเวียร์ลูกคนสุดท้องเข้าเรียนชั้นอนุบาล ฉันมองหาโอกาสที่จะสอนและแบ่งปันข้อพระคำที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ และหนุนใจให้พวกเขาอธิษฐานร่วมกับฉัน เซเวียร์ท่องจำข้อพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องพยายาม เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและต้องการสติปัญญา เขามักจะโพล่งข้อพระคำที่ฉายแสงแห่งความจริงของพระเจ้า
วันหนึ่งฉันโกรธมากและพูดอย่างรุนแรงซึ่งเขามาได้ยินเข้า ลูกชายเข้ามากอดฉันและพูดว่า “ทำตามสิ่งที่แม่สอนนะครับ แม่”
คำเตือนที่อ่อนโยนของเซเวียร์สะท้อนคำแนะนำที่เต็มด้วยสติปัญญาของยากอบ เมื่อท่านพูดกับชาวยิวที่เชื่อในพระเยซูที่อยู่กระจัดกระจายในหลายประเทศ (ยก.1:1) ท่านเน้นถึงหลากหลายวิธีที่ความบาปสามารถขัดขวางการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ของเรา ยากอบหนุนใจพวกเขาให้ “น้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น” (ข้อ 21) การที่ได้ยินพระวจนะแต่ไม่เชื่อฟัง เราก็เหมือนคนที่ดูหน้าตัวเองในกระจกเงาแล้วก็ลืมว่าตัวเองเป็นอย่างไร (ข้อ 23-24) เราอาจมองไม่เห็นสิทธิพิเศษที่เราได้รับในฐานะผู้ที่ผดุงพระฉายาของพระเจ้า ที่ได้คืนดีกับพระองค์โดยพระโลหิตของพระคริสต์
ผู้เชื่อในพระเยซูทุกคนได้รับคำสั่งให้แบ่งปันพระกิตติคุณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปลี่ยนแปลงเราในขณะที่เสริมกำลังเราให้เป็นตัวแทนและผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่ดีขึ้น เมื่อการเชื่อฟังด้วยความรักของเราช่วยเราให้สะท้อนแสงสว่างแห่งความจริงและความรักของพระเจ้าในทุกแห่งที่พระเจ้าทรงใช้เราไป เราก็สามารถนำผู้อื่นมาถึงพระเยซูได้โดยการทำตามสิ่งที่เราสอน
ความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคง
เนินทรายสูงตระหง่านตามแนวชายฝั่งด้านเหนือของทะเลสาบซิลเวอร์เลค ทำให้บ้านที่อยู่ใกล้เคียงตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะจมลงไปใต้ทรายที่ขยับไปมา แม้เจ้าของบ้านจะพยายามย้ายกองทรายเพื่อป้องกันบ้านของพวกเขา แต่พวกเขาก็ได้แต่เฝ้ามองบ้านที่สร้างอย่างแข็งแรงถูกฝังต่อหน้าต่อตา ขณะที่นายอำเภอประจำท้องที่ดูแลการทำความสะอาดบ้านที่เพิ่งถูกทำลาย เขายืนยันว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถป้องกันได้ ไม่ว่าเจ้าของบ้านจะพยายามเพียงใดเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากทำนบที่ไม่มั่นคงเหล่านี้ แต่เนินทรายไม่สามารถทำให้ฐานรากมั่นคงแข็งแรงได้
พระเยซูทรงทราบถึงความไร้ประสิทธิภาพของการสร้างบ้านบนทราย หลังจากทรงเตือนเหล่าสาวกให้ระมัดระวังผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ พระองค์ทรงยืนยันกับพวกเขาว่า การเชื่อฟังด้วยความรักจะสำแดงถึงสติปัญญา (มธ.7:15-23) พระองค์ตรัสว่าทุกคนที่ได้ยินพระดำรัสของพระองค์แล้ว “ประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา” (ข้อ 24) คนที่ได้ยินพระดำรัสของพระเจ้าแต่เลือกที่จะไม่ประพฤติตาม “เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย” (ข้อ 26)
เมื่อสถานการณ์ที่ดูเหมือนทรายที่คลอนแคลนได้ฝังเราไว้ใต้แรงกดดันของความทุกข์หรือความกังวล เราสามารถหวังใจในพระคริสต์พระศิลาของเรา พระองค์จะทรงช่วยเราพัฒนาความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคงบนรากฐานที่ไม่คลอนแคลนในพระลักษณะที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของพระองค์
คุณเป็นชาวอะไร
ตอนที่ฉันเดินเข้าไปในร้านไอศกรีมพร้อมกับลูกชายวัยห้าขวบที่เป็นลูกครึ่ง ชายที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ก็จ้องมาที่ฉันและลูกแล้วถามว่า “เธอเป็นชาวอะไร” คำถามและน้ำเสียงที่กระด้างของเขากระตุ้นความโกรธและเจ็บปวดที่ฉันคุ้นเคยดีจากการเติบโตมาในฐานะชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน ซึ่งต่างไปจากกรอบความคิดในยุคนั้น ฉันดึงเซเวียร์เข้ามาใกล้และหันไปหาสามีซึ่งเป็นคนผิวสีขณะที่เขาเดินเข้ามาในร้าน พนักงานผู้นั้นหรี่ตาดูและทำตามคำสั่งของเราโดยไม่พูดอะไร
ฉันอธิษฐานเผื่อชายคนนี้เงียบๆ ขณะที่ลูกชายฉันบอกรสชาติของไอศกรีมที่เขาอยากลอง ฉันกลับใจจากความขมขื่นและขอพระเจ้าประทานจิตวิญญาณแห่งการอภัยให้กับฉัน ด้วยสีผิวที่สว่างแต่ไม่ขาวของฉัน ฉันจึงตกเป็นเป้าสายตาและต้องเจอคำถามเดียวกันนี้มาตลอดเวลาหลายปี ฉันต้องต่อสู้กับความรู้สึกไม่มั่นคงและความรู้สึกไร้ค่า จนกระทั่งฉันเริ่มเรียนรู้ที่จะยอมรับอัตลักษณ์ของฉันในฐานะบุตรสาวสุดที่รักของพระเจ้า
เปาโลประกาศว่าผู้เชื่อในพระเยซูล้วนเป็น “บุตรของพระเจ้า...โดยความเชื่อ” มีคุณค่าเท่าเทียมกันในความหลากหลายที่งดงาม เราผูกพันอย่างใกล้ชิดและถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจเพื่อทำงานร่วมกัน (กท.3:26-29) เมื่อพระเจ้าส่งพระบุตรมาไถ่เรา เราก็กลายเป็นพี่น้องกันโดยพระโลหิตที่หลั่งบนกางเขนเพื่อยกโทษบาปของเรา (4:4-7) ในฐานะที่เราเป็นผู้ผดุงพระฉายของพระเจ้า คุณค่าของเราไม่ได้ถูกกำหนดโดยความคิดเห็น ความคาดหวัง หรืออคติของผู้อื่น
เราเป็นอะไรน่ะหรือ เราเป็นบุตรของพระเจ้า
อัตลักษณ์ที่แท้จริง
เมื่อเพื่อนดูรูปที่ฉันถ่ายให้เธอ เธอพูดถึงลักษณะภายนอกที่เธอเห็นว่าบกพร่อง ฉันขอให้เธอมองลึกลงไป “ฉันเห็นลูกสาวที่งดงามและเป็นที่รักขององค์จอมกษัตริย์ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด” ฉันบอก “ฉันเห็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้าและผู้อื่น ผู้ซึ่งความเมตตา ความมีน้ำใจและความสัตย์ซื่อได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตผู้คนมากมาย” เมื่อฉันสังเกตเห็นน้ำตาที่เอ่ออยู่ในดวงตาของเธอ ฉันกล่าวว่า “ฉันคิดว่าเธอต้องมีมงกุฎ!” บ่ายวันนั้น เราเลือกได้มงกุฎที่เหมาะกับเธอเพื่อเธอจะไม่มีวันลืมอัตลักษณ์ที่แท้จริงไป
เมื่อเรามารู้จักพระเยซูเป็นการส่วนตัว พระองค์ได้ทรงสวมมงกุฎให้เราด้วยความรักและเรียกเราว่าเป็นบุตรของพระองค์ (1 ยน.3:1) พระองค์ประทานกำลังให้เรายืนหยัดในความเชื่อเพื่อ “เราจะมีใจกล้าและไม่หลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอายเมื่อพระองค์เสด็จมา” (2:28) แม้พระองค์จะทรงยอมรับเราอย่างที่เราเป็น แต่ความรักของพระองค์ก็ชำระและเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระองค์ด้วย (3:2-3) พระองค์ทรงช่วยให้รู้ว่าเราต้องการพระองค์และกลับใจใหม่ในขณะเมื่อเราชื่นชมยินดีในฤทธิ์อำนาจที่ช่วยให้หันจากบาป (ข้อ 7-9) เราสามารถมีชีวิตที่เชื่อฟังอย่างสัตย์ซื่อและด้วยความรัก (ข้อ 10) โดยมีความจริงของพระองค์อยู่ในใจและมีพระวิญญาณของพระองค์ปรากฏอยู่ในชีวิตของเรา
เพื่อนของฉันไม่จำเป็นต้องมีมงกุฎหรือเครื่องประดับใดในวันนั้น แต่เราทั้งคู่ต้องการเครื่องเตือนใจถึงคุณค่าของเราในฐานะบุตรที่รักของพระเจ้า
แบ่งปันความหวัง
ขณะที่เอ็มม่าแบ่งปันถึงการที่พระเจ้าทรงช่วยให้เธอยอมรับอัตลักษณ์ตัวตนในฐานะลูกที่รักของพระองค์ เธอโยงข้อพระคัมภีร์เข้าในการสนทนาของเรา ฉันแทบไม่สังเกตเลยว่านักเรียนมัธยมปลายคนนี้หยุดใช้ถ้อยคำของเธอและเริ่มยกพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมาตอนไหน เมื่อฉันชมว่าเธอเป็นเหมือนพระคัมภีร์เดินได้ เธอกลับขมวดคิ้ว เธอไม่ได้ตั้งใจจะท่องข้อพระคัมภีร์ แต่การอ่านพระคัมภีร์ทุกวันทำให้สติปัญญาที่พบในพระวจนะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์ที่เอ็มม่าใช้ทุกวัน เธอชื่นชมยินดีในการสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลาของพระเจ้าและในทุกโอกาสที่พระเจ้าประทานให้เธอได้แบ่งปันความจริงของพระองค์กับผู้อื่น แต่เอ็มม่าไม่ใช่คนหนุ่มสาวคนแรกที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นในการอ่าน จดจำ และนำพระวจนะไปใช้ด้วยท่าทีแห่งการอธิษฐาน
เมื่ออัครทูตเปาโลหนุนใจทิโมธีให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำ ท่านแสดงออกว่ามั่นใจในคนหนุ่มคนนี้ (1 ทธ.4:11-16) เปาโลบอกว่าทิโมธีได้รับการวางรากฐานในพระวจนะตั้งแต่เด็ก (2 ทธ.3:15) ทิโมธีเจอผู้ที่สงสัยเช่นเดียวกับเปาโล แต่ชายทั้งสองก็ยังดำเนินชีวิตเหมือนกับที่พวกเขาเชื่อว่าพระวจนะทุกตอนคือ “ลมหายใจของพระเจ้า” พวกเขายอมรับว่าพระวจนะ “เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” (ข้อ 16-17)
เมื่อเราสะสมพระปัญญาของพระเจ้าไว้ในใจ ความจริงและความรักของพระองค์จะหลั่งไหลออกมาในคำพูดของเราอย่างเป็นธรรมชาติ เราสามารถเป็นพระคัมภีร์เดินได้ที่แบ่งปันความหวังนิรันดร์ของพระเจ้าในทุกที่ที่เราไป
อยู่เพื่อรับใช้
หลังจากเชลซีวัยสิบขวบได้รับชุดอุปกรณ์ศิลปะที่ประณีต เธอค้นพบว่าพระเจ้าทรงใช้ศิลปะเพื่อช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเมื่อเธอเศร้า และเมื่อรู้ว่ามีเด็กบางคนไม่มีอุปกรณ์ศิลปะ เธอต้องการจะช่วยพวกเขา ดังนั้นเมื่อใกล้จะถึงงานวันเกิดของเธอ เธอขอให้เพื่อนๆร่วมบริจาคอุปกรณ์ศิลปะเพื่อเด็กที่ขาดแคลนโดยไม่ต้องเอาของขวัญมาให้เธอ
ต่อมาด้วยความช่วยเหลือของครอบครัว เธอได้ก่อตั้งองค์กรการกุศลเชลซี เธอขอรับบริจาคจากผู้คนมากขึ้นเพื่อที่จะช่วยเด็กได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยสอนเกร็ดความรู้ด้านศิลปะให้กับกลุ่มเด็กที่ได้รับบริจาค หลังจากผู้ประกาศข่าวท้องถิ่นได้สัมภาษณ์เชลซี มีคนร่วมบริจาคอุปกรณ์จากทั่วประเทศ ขณะที่องค์กรการกุศลเชลซียังคงส่งอุปกรณ์ศิลปะไปทั่วโลก เด็กสาวผู้นี้กำลังสำแดงถึงการที่พระเจ้าทรงสามารถใช้พวกเราเมื่อเราเต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ผู้อื่น
ความเห็นอกเห็นใจและเต็มใจที่จะแบ่งปันของเชลซีสะท้อนให้เห็นถึงหัวใจของผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ อัครทูตเปโตรหนุนใจผู้เชื่อในพระเยซูทุกคนให้เป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในขณะที่พวกเขา “รักกันฉันพี่น้อง” โดยการแบ่งปันสิ่งที่มีและของประทานที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่พวกเขา (1 ปต.4:8-11)
สิ่งเล็กๆที่เราทำด้วยความรักสามารถบันดาลใจผู้อื่นให้แบ่งปันร่วมกับเรา พระเจ้าทรงสามารถรวบรวมผู้สนับสนุนทั้งหลายให้มารับใช้เคียงข้างเรา เมื่อเราพึ่งพาในพระเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้และถวายพระเกียรติที่ทรงสมควรได้รับแด่พระเจ้าของเรา