ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Xochitl Dixon

ทำตามสิ่งที่คุณสอน

ฉันเริ่มอ่านพระคัมภีร์ให้พวกลูกชายของฉันฟังเมื่อตอนที่เซเวียร์ลูกคนสุดท้องเข้าเรียนชั้นอนุบาล ฉันมองหาโอกาสที่จะสอนและแบ่งปันข้อพระคำที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ และหนุนใจให้พวกเขาอธิษฐานร่วมกับฉัน เซเวียร์ท่องจำข้อพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องพยายาม เมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและต้องการสติปัญญา เขามักจะโพล่งข้อพระคำที่ฉายแสงแห่งความจริงของพระเจ้า

วันหนึ่งฉันโกรธมากและพูดอย่างรุนแรงซึ่งเขามาได้ยินเข้า ลูกชายเข้ามากอดฉันและพูดว่า “ทำตามสิ่งที่แม่สอนนะครับ แม่”

คำเตือนที่อ่อนโยนของเซเวียร์สะท้อนคำแนะนำที่เต็มด้วยสติปัญญาของยากอบ เมื่อท่านพูดกับชาวยิวที่เชื่อในพระเยซูที่อยู่กระจัดกระจายในหลายประเทศ (ยก.1:1) ท่านเน้นถึงหลากหลายวิธีที่ความบาปสามารถขัดขวางการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ของเรา ยากอบหนุนใจพวกเขาให้ “น้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น” (ข้อ 21) การที่ได้ยินพระวจนะแต่ไม่เชื่อฟัง เราก็เหมือนคนที่ดูหน้าตัวเองในกระจกเงาแล้วก็ลืมว่าตัวเองเป็นอย่างไร (ข้อ 23-24) เราอาจมองไม่เห็นสิทธิพิเศษที่เราได้รับในฐานะผู้ที่ผดุงพระฉายาของพระเจ้า ที่ได้คืนดีกับพระองค์โดยพระโลหิตของพระคริสต์

ผู้เชื่อในพระเยซูทุกคนได้รับคำสั่งให้แบ่งปันพระกิตติคุณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปลี่ยนแปลงเราในขณะที่เสริมกำลังเราให้เป็นตัวแทนและผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่ดีขึ้น เมื่อการเชื่อฟังด้วยความรักของเราช่วยเราให้สะท้อนแสงสว่างแห่งความจริงและความรักของพระเจ้าในทุกแห่งที่พระเจ้าทรงใช้เราไป เราก็สามารถนำผู้อื่นมาถึงพระเยซูได้โดยการทำตามสิ่งที่เราสอน

ความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคง

เนินทรายสูงตระหง่านตามแนวชายฝั่งด้านเหนือของทะเลสาบซิลเวอร์เลค ทำให้บ้านที่อยู่ใกล้เคียงตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะจมลงไปใต้ทรายที่ขยับไปมา แม้เจ้าของบ้านจะพยายามย้ายกองทรายเพื่อป้องกันบ้านของพวกเขา แต่พวกเขาก็ได้แต่เฝ้ามองบ้านที่สร้างอย่างแข็งแรงถูกฝังต่อหน้าต่อตา ขณะที่นายอำเภอประจำท้องที่ดูแลการทำความสะอาดบ้านที่เพิ่งถูกทำลาย เขายืนยันว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถป้องกันได้ ไม่ว่าเจ้าของบ้านจะพยายามเพียงใดเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากทำนบที่ไม่มั่นคงเหล่านี้ แต่เนินทรายไม่สามารถทำให้ฐานรากมั่นคงแข็งแรงได้

พระเยซูทรงทราบถึงความไร้ประสิทธิภาพของการสร้างบ้านบนทราย หลังจากทรงเตือนเหล่าสาวกให้ระมัดระวังผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ พระองค์ทรงยืนยันกับพวกเขาว่า การเชื่อฟังด้วยความรักจะสำแดงถึงสติปัญญา (มธ.7:15-23) พระองค์ตรัสว่าทุกคนที่ได้ยินพระดำรัสของพระองค์แล้ว “ประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา” (ข้อ 24) คนที่ได้ยินพระดำรัสของพระเจ้าแต่เลือกที่จะไม่ประพฤติตาม “เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย” (ข้อ 26)

เมื่อสถานการณ์ที่ดูเหมือนทรายที่คลอนแคลนได้ฝังเราไว้ใต้แรงกดดันของความทุกข์หรือความกังวล เราสามารถหวังใจในพระคริสต์พระศิลาของเรา พระองค์จะทรงช่วยเราพัฒนาความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคงบนรากฐานที่ไม่คลอนแคลนในพระลักษณะที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของพระองค์

คุณเป็นชาวอะไร

ตอนที่ฉันเดินเข้าไปในร้านไอศกรีมพร้อมกับลูกชายวัยห้าขวบที่เป็นลูกครึ่ง ชายที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ก็จ้องมาที่ฉันและลูกแล้วถามว่า “เธอเป็นชาวอะไร” คำถามและน้ำเสียงที่กระด้างของเขากระตุ้นความโกรธและเจ็บปวดที่ฉันคุ้นเคยดีจากการเติบโตมาในฐานะชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน ซึ่งต่างไปจากกรอบความคิดในยุคนั้น ฉันดึงเซเวียร์เข้ามาใกล้และหันไปหาสามีซึ่งเป็นคนผิวสีขณะที่เขาเดินเข้ามาในร้าน พนักงานผู้นั้นหรี่ตาดูและทำตามคำสั่งของเราโดยไม่พูดอะไร

ฉันอธิษฐานเผื่อชายคนนี้เงียบๆ ขณะที่ลูกชายฉันบอกรสชาติของไอศกรีมที่เขาอยากลอง ฉันกลับใจจากความขมขื่นและขอพระเจ้าประทานจิตวิญญาณแห่งการอภัยให้กับฉัน ด้วยสีผิวที่สว่างแต่ไม่ขาวของฉัน ฉันจึงตกเป็นเป้าสายตาและต้องเจอคำถามเดียวกันนี้มาตลอดเวลาหลายปี ฉันต้องต่อสู้กับความรู้สึกไม่มั่นคงและความรู้สึกไร้ค่า จนกระทั่งฉันเริ่มเรียนรู้ที่จะยอมรับอัตลักษณ์ของฉันในฐานะบุตรสาวสุดที่รักของพระเจ้า

เปาโลประกาศว่าผู้เชื่อในพระเยซูล้วนเป็น “บุตรของพระเจ้า...โดยความเชื่อ” มีคุณค่าเท่าเทียมกันในความหลากหลายที่งดงาม เราผูกพันอย่างใกล้ชิดและถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจเพื่อทำงานร่วมกัน (กท.3:26-29) เมื่อพระเจ้าส่งพระบุตรมาไถ่เรา เราก็กลายเป็นพี่น้องกันโดยพระโลหิตที่หลั่งบนกางเขนเพื่อยกโทษบาปของเรา (4:4-7) ในฐานะที่เราเป็นผู้ผดุงพระฉายของพระเจ้า คุณค่าของเราไม่ได้ถูกกำหนดโดยความคิดเห็น ความคาดหวัง หรืออคติของผู้อื่น

เราเป็นอะไรน่ะหรือ เราเป็นบุตรของพระเจ้า

อัตลักษณ์ที่แท้จริง

เมื่อเพื่อนดูรูปที่ฉันถ่ายให้เธอ เธอพูดถึงลักษณะภายนอกที่เธอเห็นว่าบกพร่อง ฉันขอให้เธอมองลึกลงไป “ฉันเห็นลูกสาวที่งดงามและเป็นที่รักขององค์จอมกษัตริย์ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุด” ฉันบอก “ฉันเห็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้าและผู้อื่น ผู้ซึ่งความเมตตา ความมีน้ำใจและความสัตย์ซื่อได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตผู้คนมากมาย” เมื่อฉันสังเกตเห็นน้ำตาที่เอ่ออยู่ในดวงตาของเธอ ฉันกล่าวว่า “ฉันคิดว่าเธอต้องมีมงกุฎ!” บ่ายวันนั้น เราเลือกได้มงกุฎที่เหมาะกับเธอเพื่อเธอจะไม่มีวันลืมอัตลักษณ์ที่แท้จริงไป

เมื่อเรามารู้จักพระเยซูเป็นการส่วนตัว พระองค์ได้ทรงสวมมงกุฎให้เราด้วยความรักและเรียกเราว่าเป็นบุตรของพระองค์ (1 ยน.3:1) พระองค์ประทานกำลังให้เรายืนหยัดในความเชื่อเพื่อ “เราจะมีใจกล้าและไม่หลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอายเมื่อพระองค์เสด็จมา” (2:28) แม้พระองค์จะทรงยอมรับเราอย่างที่เราเป็น แต่ความรักของพระองค์ก็ชำระและเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระองค์ด้วย (3:2-3) พระองค์ทรงช่วยให้รู้ว่าเราต้องการพระองค์และกลับใจใหม่ในขณะเมื่อเราชื่นชมยินดีในฤทธิ์อำนาจที่ช่วยให้หันจากบาป (ข้อ 7-9) เราสามารถมีชีวิตที่เชื่อฟังอย่างสัตย์ซื่อและด้วยความรัก (ข้อ 10) โดยมีความจริงของพระองค์อยู่ในใจและมีพระวิญญาณของพระองค์ปรากฏอยู่ในชีวิตของเรา

เพื่อนของฉันไม่จำเป็นต้องมีมงกุฎหรือเครื่องประดับใดในวันนั้น แต่เราทั้งคู่ต้องการเครื่องเตือนใจถึงคุณค่าของเราในฐานะบุตรที่รักของพระเจ้า

แบ่งปันความหวัง

ขณะที่เอ็มม่าแบ่งปันถึงการที่พระเจ้าทรงช่วยให้เธอยอมรับอัตลักษณ์ตัวตนในฐานะลูกที่รักของพระองค์ เธอโยงข้อพระคัมภีร์เข้าในการสนทนาของเรา ฉันแทบไม่สังเกตเลยว่านักเรียนมัธยมปลายคนนี้หยุดใช้ถ้อยคำของเธอและเริ่มยกพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมาตอนไหน เมื่อฉันชมว่าเธอเป็นเหมือนพระคัมภีร์เดินได้ เธอกลับขมวดคิ้ว เธอไม่ได้ตั้งใจจะท่องข้อพระคัมภีร์ แต่การอ่านพระคัมภีร์ทุกวันทำให้สติปัญญาที่พบในพระวจนะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์ที่เอ็มม่าใช้ทุกวัน เธอชื่นชมยินดีในการสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลาของพระเจ้าและในทุกโอกาสที่พระเจ้าประทานให้เธอได้แบ่งปันความจริงของพระองค์กับผู้อื่น แต่เอ็มม่าไม่ใช่คนหนุ่มสาวคนแรกที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นในการอ่าน จดจำ และนำพระวจนะไปใช้ด้วยท่าทีแห่งการอธิษฐาน

เมื่ออัครทูตเปาโลหนุนใจทิโมธีให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำ ท่านแสดงออกว่ามั่นใจในคนหนุ่มคนนี้ (1 ทธ.4:11-16) เปาโลบอกว่าทิโมธีได้รับการวางรากฐานในพระวจนะตั้งแต่เด็ก (2 ทธ.3:15) ทิโมธีเจอผู้ที่สงสัยเช่นเดียวกับเปาโล แต่ชายทั้งสองก็ยังดำเนินชีวิตเหมือนกับที่พวกเขาเชื่อว่าพระวจนะทุกตอนคือ “ลมหายใจของพระเจ้า” พวกเขายอมรับว่าพระวจนะ “เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” (ข้อ 16-17)

เมื่อเราสะสมพระปัญญาของพระเจ้าไว้ในใจ ความจริงและความรักของพระองค์จะหลั่งไหลออกมาในคำพูดของเราอย่างเป็นธรรมชาติ เราสามารถเป็นพระคัมภีร์เดินได้ที่แบ่งปันความหวังนิรันดร์ของพระเจ้าในทุกที่ที่เราไป

อยู่เพื่อรับใช้

หลังจากเชลซีวัยสิบขวบได้รับชุดอุปกรณ์ศิลปะที่ประณีต เธอค้นพบว่าพระเจ้าทรงใช้ศิลปะเพื่อช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเมื่อเธอเศร้า และเมื่อรู้ว่ามีเด็กบางคนไม่มีอุปกรณ์ศิลปะ เธอต้องการจะช่วยพวกเขา ดังนั้นเมื่อใกล้จะถึงงานวันเกิดของเธอ เธอขอให้เพื่อนๆร่วมบริจาคอุปกรณ์ศิลปะเพื่อเด็กที่ขาดแคลนโดยไม่ต้องเอาของขวัญมาให้เธอ

ต่อมาด้วยความช่วยเหลือของครอบครัว เธอได้ก่อตั้งองค์กรการกุศลเชลซี เธอขอรับบริจาคจากผู้คนมากขึ้นเพื่อที่จะช่วยเด็กได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยสอนเกร็ดความรู้ด้านศิลปะให้กับกลุ่มเด็กที่ได้รับบริจาค หลังจากผู้ประกาศข่าวท้องถิ่นได้สัมภาษณ์เชลซี มีคนร่วมบริจาคอุปกรณ์จากทั่วประเทศ ขณะที่องค์กรการกุศลเชลซียังคงส่งอุปกรณ์ศิลปะไปทั่วโลก เด็กสาวผู้นี้กำลังสำแดงถึงการที่พระเจ้าทรงสามารถใช้พวกเราเมื่อเราเต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ผู้อื่น

ความเห็นอกเห็นใจและเต็มใจที่จะแบ่งปันของเชลซีสะท้อนให้เห็นถึงหัวใจของผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ อัครทูตเปโตรหนุนใจผู้เชื่อในพระเยซูทุกคนให้เป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในขณะที่พวกเขา “รักกันฉันพี่น้อง” โดยการแบ่งปันสิ่งที่มีและของประทานที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่พวกเขา (1 ปต.4:8-11)

สิ่งเล็กๆที่เราทำด้วยความรักสามารถบันดาลใจผู้อื่นให้แบ่งปันร่วมกับเรา พระเจ้าทรงสามารถรวบรวมผู้สนับสนุนทั้งหลายให้มารับใช้เคียงข้างเรา เมื่อเราพึ่งพาในพระเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้และถวายพระเกียรติที่ทรงสมควรได้รับแด่พระเจ้าของเรา

ไม่ว่าจะนมัสการที่ไหน

อาการปวดหัวรุนแรงจนร่างกายอ่อนเพลียทำให้ฉันไม่ได้ไปร่วมนมัสการกับครอบครัวคริสตจักรที่ฉันอยู่...อีกแล้ว ฉันดูเทศนาออนไลน์ด้วยความเสียใจที่ต้องขาดการนมัสการร่วมกับพี่น้อง ตอนแรกฉันรู้สึกแย่กับคำบ่น เพราะคุณภาพของภาพและเสียงที่ไม่ดีนัก แต่เมื่อเสียงเพลงนมัสการที่คุ้นเคยดังขึ้น น้ำตาฉันไหลขณะที่ร้องเพลงนั้น “โอเจ้าแห่งดวงจิตเป็นนิมิตของข้า ทุกสิ่งไร้ราคาถ้าไม่มีพระองค์ ทรงดำรงในใจทุกคืนวันมั่นคง ตื่นขึ้นหรือนอนลงพระองค์ทรงนำพา” เมื่อมุ่งมองไปที่ของประทานแห่งการทรงสถิตอยู่เสมอของพระเจ้า ฉันก็นมัสการพระองค์ขณะนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

ขณะที่พระคัมภีร์ยืนยันความสำคัญและความจำเป็นของการนมัสการร่วมกัน (ฮบ.10:25) แต่พระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่ในอาคารคริสตจักร เมื่อพระเยซูพูดกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ พระองค์ทำสวนทางกับทุกสิ่งที่คนคาดหวังในพระเมสสิยาห์ (ยน.4:9) แทนการกล่าวโทษ พระเยซูทรงตรัสความจริงและสำแดงความรักแก่เธอที่ข้างบ่อน้ำนั้น (ข้อ 10) พระองค์สำแดงถึงการที่ทรงรู้จักประชากรของพระองค์อย่างใกล้ชิด (ข้อ 17-18) พระเยซูประกาศการเป็นพระเจ้าโดยตรัสว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเรียกร้องการนมัสการที่แท้จริงจากหัวใจของคน ไม่ใช่จากสถานที่ใดที่หนึ่ง (ข้อ 23-24)

เมื่อเรามุ่งมองว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด มองสิ่งที่พระองค์กระทำ และพระสัญญาทั้งสิ้น เราจะชื่นชมยินดีในการทรงสถิตอยู่เสมอของพระองค์ขณะที่เรานมัสการพระองค์กับผู้เชื่อคนอื่นๆ ทั้งที่ห้องนั่งเล่นและทุกหนทุกแห่ง!

พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก

เซียร์ร่าท่วมท้นไปด้วยความทุกข์ใจที่ลูกชายต้องต่อสู้กับการติดยาเสพติด “ฉันรู้สึกแย่” เธอบอก “เวลาอธิษฐานฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย พระเจ้าจะคิดว่าฉันไม่มีความเชื่อไหม”

“ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงคิดอย่างไร” ฉันตอบ “แต่ฉันรู้ว่าพระองค์รับมือกับอารมณ์ที่แท้จริงได้ พระองค์รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร” ฉันอธิษฐานและหลั่งน้ำตากับเซียร์ร่าเมื่อเราวิงวอนขอการปลดปล่อยให้แก่ลูกชายของเธอ

พระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายของคนที่ปล้ำสู้กับพระเจ้าในยามที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ผู้เขียนสดุดี 42 แสดงถึงความปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับสันติสุขแห่งการทรงสถิตด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ท่านรับรู้ถึงน้ำตาและความกดดันจากความทุกข์ใจที่มีความว้าวุ่นภายในคลี่คลายลงด้วยเสียงสรรเสริญด้วยความวางใจ เมื่อท่านเตือนตนเองถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ท่านให้กำลัง “จิตวิญญาณ” ของตนว่า “จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์และพระเจ้าของข้าพเจ้า​” (ข้อ 11) ท่านต่อสู้ระหว่างความจริงที่ท่านรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และอารมณ์อันท้วมท้นที่ไม่อาจปฏิเสธได้

พระเจ้าทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ให้มีความรู้สึก หยดน้ำตาที่ไหลเพื่อผู้อื่นแสดงถึงความรักและความเมตตา ไม่ใช่การขาดความเชื่อ เราเข้าหาพระเจ้าได้ทั้งที่แผลยังใหม่อยู่หรือกลายเป็นแผลเป็นไปแล้วเพราะพระองค์รู้ว่าเรารู้สึกเช่นไร คำอธิษฐาน ความเงียบ ไม่ว่าจะไร้เสียง มีเสียงสะอื้น หรือด้วยเสียงตะโกนอย่างมั่นใจ ล้วนแสดงว่าเราเชื่อวางใจในพระสัญญาว่าพระองค์จะทรงฟังและดูแลเรา

ตอนจบที่ยิ่งใหญ่

สามีกับลูกชายฉันไล่เปิดทีวีไปทุกช่องเพื่อจะหาหนังดูสักเรื่องและพบว่าหนังที่พวกเขาชอบเริ่มฉายไปหมดแล้ว ในขณะที่พวกเขาสนุกกับการดูฉากจบนั้นการค้นหาก็ได้กลายเป็นเกมไปแล้ว พวกเขาค้นหาหนังที่ชอบได้ถึงแปดเรื่อง ฉันถามด้วยความหงุดหงิดว่าทำไมไม่เลือกหนังที่ดูได้ตั้งแต่ต้น สามีฉันหัวเราะ “ใครบ้างล่ะที่จะไม่ชอบฉากจบดีๆ”

ฉันต้องยอมรับว่าฉันเองก็ตั้งตารอตอนจบของหนังสือหรือภาพยนตร์ที่ชอบเช่นกัน ฉันเคยแม้แต่อ่านพระคัมภีร์ข้ามๆ และสนใจเฉพาะตอนที่ชอบหรือเรื่องที่น่าอ่านและเข้าใจง่าย แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้พระวจนะที่เชื่อถือและประยุกต์ใช้ในชีวิตได้เพื่อเปลี่ยนแปลงเรา และยืนยันว่าเรื่องราวของพระองค์จะจบดีสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซู

พระคริสต์ประกาศว่าพระองค์ทรงเป็น “อัลฟา​และ​โอ​เม​กา เป็น​เบื้องต้น​และ​เป็น​เบื้อง​ปลาย เป็น​ปฐม​และ​เป็น​อวสาน” (วว.22:13) คนของพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก (ข้อ 14) และเตือนผู้ที่กล้าเพิ่มเติมหรือตัด “คำ​พยากรณ์​ใน​หนังสือ​นี้” (ข้อ 18-19) ออกไป

เราอาจไม่รู้หรือไม่เข้าใจทุกเรื่องในพระคัมภีร์ แต่เรารู้ว่าพระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้ง พระองค์จะทรงรักษาพระสัญญา พระองค์จะลบล้างความบาป แก้ไขสิ่งผิดให้ถูกต้อง สร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่ และปกครองในฐานะองค์กษัตราผู้ทรงรักของเราตลอดไป นี่คือตอนจบที่ยิ่งใหญ่ซึ่งนำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ของเรา!

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา