ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Patricia Raybon

ไม่เคยล่าช้า

ในฐานะผู้มาเยือนเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในแอฟริกาตะวันตก ศิษยาภิบาลชาวอเมริกันของฉันพยายามมาถึงตรงเวลานมัสการในวันอาทิตย์ 10.00 น. แต่ เขาพบว่าภายในห้องนมัสการที่เรียบง่ายนั้นว่างเปล่า เขาจึงรอ หนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมง ในที่สุดราว 12:30 น. ศิษยาภิบาลท้องถิ่นก็มาถึงจากการเดินทางไกล ตามด้วยสมาชิกบางคนของคณะนักร้องและการรวมตัวกันของผู้คนในเมืองที่เป็นมิตร และ “เมื่อครบกำหนดแล้ว” การนมัสการจึงเริ่มขึ้น ตามที่ศบ. ฉันกล่าวในภายหลังว่า “พระวิญญาณทรงต้อนรับเราและพระเจ้าไม่เคยล่าช้า” เขาเข้าใจดีว่าวัฒนธรรมที่นี่ต่างออกไปด้วยเหตุผลอันเหมาะสมของตนเอง

เวลานั้นไม่ตายตัว แต่พระลักษณะที่สมบูรณ์แบบและตรงต่อเวลาของพระเจ้านั้นได้รับการยืนยันมาตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ดังนั้นหลังจากลาซารัสป่วยและเสียชีวิต สี่วันต่อมาพระเยซูเสด็จมาถึงพร้อมกับคำถามจากพี่สาวของลาซารัส มารธาทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย” (ยน.11:21) เราอาจคิดเหมือนกัน โดยสงสัยว่าทำไมพระเจ้าไม่รีบแก้ไขปัญหาของเรา แต่เป็นการดีกว่าที่จะรอคอยคำตอบและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ด้วยความเชื่อ

ตามที่โฮเวิร์ด เธอร์แมนนักศาสนศาสตร์กล่าวว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้า ข้าพระองค์จะรอ จนกว่าในที่สุดกำลังของพระองค์จะกลายเป็นกำลังของข้าพระองค์ บางสิ่งในหัวใจของพระองค์กลายเป็นหัวใจของข้าพระองค์ การอภัยของพระองค์กลายเป็นการอภัยของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รอ โอข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รอ” และเช่นเดียวกับลาซารัส เมื่อพระเจ้าทรงตอบ เราก็ได้รับพระพรอย่างอัศจรรย์ในที่สุดจากอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ความล่าช้า

อย่างที่ฉันเป็น

หญิงสาวนอนไม่หลับ เธอต้องทนทุกข์กับความพิการทางร่างกายมาหลายปี และในวันพรุ่งนี้เธอจะเป็นจุดสนใจที่งานออกร้านของคริสตจักรเพื่อรับเงินบริจาคเป็นค่าเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษาของเธอ แต่ชาร์ลอต อิเลียตให้เหตุผลว่า ฉันไม่มีค่าคู่ควร เธอนอนพลิกไปมาด้วยความสงสัยในคุณสมบัติของตัวเอง และตั้งคำถามกับทุกแง่มุมในชีวิตฝ่ายวิญญาณของตน วันรุ่งขึ้นเธอยังคงกระสับกระส่าย และในที่สุดเธอพาตัวเองไปที่โต๊ะและหยิบปากกากับกระดาษขึ้นมาเพื่อเขียนเนื้อร้องของบทเพลง “ใจชั่วเท่าใดข้าก็เชื่อว่า” ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นบทเพลงชีวิตคริสเตียนที่เป็นอมตะ

“ใจชั่วเท่าใด ข้าก็เชื่อว่า โลหิตพระองค์ ได้ไหลไถ่ข้า พระองค์ตรัสว่า เชิญมาอย่าช้า พระเยซูเจ้า ข้าเชื่อเดี๋ยวนี้”

ถ้อยคำที่เธอเขียนในปี 1835 แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงเรียกสาวกให้มาและรับใช้พระองค์อย่างไร ไม่ใช่เพราะพวกเขามีความพร้อม แต่เพราะพระองค์ประทานสิทธิอำนาจให้กับพวกเขาอย่างที่พวกเขาเป็น สมาชิก 12 คนในกลุ่มที่ไร้ระเบียบของพระองค์ประกอบด้วย คนเก็บภาษี คนเลือดร้อน สองพี่น้องที่แสนทะเยอทะยาน (ดูมก.10:35-37) และยูดาส อิสคาริโอท “ที่ได้อายัดพระองค์ไว้นั้น” (มธ.10:4) กระนั้นพระองค์ยังประทานสิทธิอำนาจให้กับพวกเขาในการ “รักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้น คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด และจงขับผีให้ออก” (ข้อ 8) โดยไม่ต้องมีเงินทอง ย่าม เสื้อผ้า รองเท้า หรือแม้แต่ไม้เท้า (ข้อ 9-10) ติดตัวไปด้วย

พระองค์ตรัสว่า “เราใช้พวกท่านไป” (ข้อ 16) และพระองค์ผู้เดียวก็เพียงพอ สำหรับพวกเราที่ตอบรับพระองค์ พระองค์จะยังทรงเป็นเหมือนเดิม

ความหวังอันเปี่ยมล้น

ในวันที่วุ่นวายก่อนถึงคริสต์มาส หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาที่เคาน์เตอร์ในที่ทำการไปรษณีย์ใกล้บ้านซึ่งมีผู้มาใช้บริการหนาแน่น เจ้าหน้าที่ผู้อดทนมองเธอเดินเข้ามาอย่างช้าๆ และทักทายว่า “สวัสดีครับ สาวน้อย!” คำทักทายนี้ดูเป็นมิตรดี แต่พวกเขาบางคนอาจคิดว่าถ้า “อายุน้อยกว่านี้” ก็คงจะดีกว่า

พระคัมภีร์หนุนใจให้เรามองว่าอายุที่มากขึ้นทำให้เรากระตือรือร้นในความหวัง เมื่อโยเซฟและมารีย์นำพระกุมารเยซูเข้ามาในพระวิหารเพื่อถวายแด่พระเจ้า (ลก.2:23, ดู อพย.13:2,12) ผู้เชื่อสูงวัยทั้งสองกลายเป็นบุคคลสำคัญทันที

คนแรกคือสิเมโอน ผู้รอคอยที่จะได้เห็นพระเมสสิยาห์มาหลายปี ท่าน “อุ้มพระกุมาร และสรรเสริญพระเจ้าว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย’” (ลก.2:28-31)

ถัดมาคือนางอันนา ผู้เผยพระวจนะหญิงที่ “ชรามากแล้ว” (ข้อ 36) ก็เข้ามาขณะที่สิเมโอนกำลังคุยกับมารีย์และโยเซฟ นางเป็นม่ายหลังจากแต่งงานได้เพียง 7 ปี นางอยู่ในพระวิหารมาจนอายุ 84 ปี และไม่เคยจากบริเวณพระวิหารเลย โดย “นมัสการถืออดอาหารและอธิษฐานทั้งกลางวันกลางคืน” เมื่อนางเห็นพระเยซูก็เริ่มสรรเสริญพระเจ้า และบรรยายถึง “พระกุมารให้คนทั้งปวงที่คอยการทรงไถ่กรุงเยรูซาเล็มฟัง” (ข้อ 37-38)

ผู้รับใช้ที่เปี่ยมด้วยความหวังทั้งสองเตือนเราว่า อย่าหยุดที่จะรอคอยพระเจ้าด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม ไม่ว่าเราจะอายุเท่าใดก็ตาม

ฟังพระคริสต์ ไม่ใช่ความวุ่นวาย

หลังดูข่าวโทรทัศน์เป็นเวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวัน ชายชราเริ่มวิตกกังวลและหวาดระแวงว่าโลกกำลังจะล่มสลายและจะทำให้เขาจากไปด้วย “ปิดมันเถอะค่ะ” ลูกสาวที่โตแล้วขอร้องเขา “แค่หยุดฟังมัน” แต่ชายชรายังคงใช้เวลามากมายไปกับสื่อออนไลน์และแหล่งข่าวต่างๆ

สิ่งที่เราฟังนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เราได้เห็นสิ่งนี้จากการเผชิญหน้ากันของพระเยซูและปอนทิอัสปีลาต เมื่อต้องตัดสินข้อกล่าวหาที่พวกผู้นำศาสนาฟ้องพระเยซู ปีลาตจึงเรียกพระเยซูมาและทูลถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ” (ยน.18:33) พระเยซูตรัสตอบด้วยคำถามสะดุดใจว่า “ท่านถามอย่างนั้นตามความเข้าใจของท่านเองหรือ หรือว่าคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” (ข้อ 34)

คำถามเดียวกันนี้ทดสอบเราด้วย ในโลกที่ตื่นตระหนก เราฟังเสียงความวุ่นวายหรือเสียงของพระคริสต์ แน่นอนว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา” พระองค์ตรัส “เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นตามเรา” (10:27) พระเยซูตรัส “คำเปรียบนั้น” (ข้อ 6) เพื่ออธิบายถึงพระองค์เองแก่พวกผู้นำศาสนาที่สงสัย ในฐานะผู้เลี้ยงแกะที่ดีพระองค์ตรัสว่า “แกะก็ตามท่านไป เพราะรู้จักเสียงของท่าน ส่วนผู้อื่นแกะจะไม่ตามเลย แต่จะหนีไปจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของผู้อื่น” (ข้อ 4-5)

ในฐานะองค์พระผู้เลี้ยงที่ดีของเรา พระเยซูทรงเชื้อเชิญให้เราฟังพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด ขอให้เราตั้งใจฟังและพบสันติสุขของพระองค์

วางใจการรู้ล่วงหน้าของพระเจ้า

ขณะขับรถพาเราไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย สามีของฉันสังเกตว่าระบบนำทางของจีพีเอสจู่ๆก็ดูผิดปกติไป หลังจากที่เราขับเข้าไปบนทางหลวงสี่เลนที่ดูน่าจะถูกต้อง เราถูกนําทางให้ขับออกไปวิ่งบนถนนเลนเดียว ซึ่งเป็น “ถนนสายรอง” ขนานกับทางหลวง “ผมก็แค่เชื่อมัน” แดนกล่าวโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องความล่าช้าใดๆ แต่หลังจากผ่านไปประมาณ 16 กม. การจราจรบนทางหลวงที่อยู่ข้างๆ เราชะลอตัวจนเกือบจะหยุดนิ่ง เพราะมีการก่อสร้างใหญ่ แล้วถนนสายรองล่ะ ด้วยการจราจรที่บางเบากว่าทำให้ทางโล่งไปถึงจุดหมายของเรา “ผมไม่สามารถเห็นทางข้างหน้าได้” แดนกล่าว “แต่จีพีเอสมองเห็น” หรือเหมือนที่เราเห็นตรงกันว่า “พระเจ้าทรงมองเห็นเช่นกัน”

เมื่อพระเจ้าทรงรู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร พระองค์ทรงเปลี่ยนเส้นทางผ่านความฝันแก่พวกโหราจารย์ผู้ซึ่งมาจากทิศตะวันออกเพื่อนมัสการพระเยซู “ผู้บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติ” (มธ.2:2) กษัตริย์เฮโรดเป็นกังวลกับข่าวเรื่องกษัตริย์ “คู่แข่ง” พระองค์จึงลวงพวกโหราจารย์ให้ไปยังบ้านเบธเลเฮมโดยสั่งว่า “จงไปค้นหากุมารนั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เรา เพื่อเราจะได้ไปนมัสการท่านด้วย” (ข้อ 8) ด้วยคำเตือนในความฝัน “มิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด” ดังนั้น “เขาจึงกลับไปยังเมืองของตนทางอื่น” (ข้อ 12)

พระเจ้าจะทรงนำย่างเท้าของเราเช่นกัน เมื่อเราเดินบนทางหลวงแห่งชีวิต เราไว้วางใจได้ว่าพระองค์ทรงเห็นเหตุการณ์ภายหน้าและยังคงมั่นใจได้ว่า “พระองค์จะทรงกระทำให้วิถี[ของเรา]ราบรื่น” เมื่อเรายอมรับการทรงนำของพระองค์ (สภษ.3:6)

นกในอากาศ

ขณะที่ดวงอาทิตย์ของฤดูร้อนกำลังโผล่ขึ้นมา เพื่อนบ้านผู้ยิ้มแย้มเห็นฉันที่สวนหน้าบ้านจึงกระซิบเรียกให้ฉันดู “อะไรหรือ” ฉันกระซิบตอบด้วยความสนใจ เธอชี้ไปที่โมบายแขวนที่ระเบียงหน้าบ้าน มีกองฟางขนาดเท่าถ้วยชาเล็กๆตั้งอยู่บนกระดิ่งโลหะ “รังนกฮัมมิงเบิร์ด” เธอกระซิบ “เห็นลูกๆมันไหม” มีปากเล็กๆเท่ารูเข็มสองปากที่มองเกือบไม่เห็นเพราะมันชี้ขึ้นด้านบน “พวกมันกำลังรอแม่อยู่” เรายืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกอัศจรรย์ใจ ฉันยกมือถือขึ้นเพื่อถ่ายรูป เพื่อนบ้านกระซิบว่า “อย่าใกล้เกินไปนะ ไม่อยากทำให้แม่มันกลัวจนหนีไป” และเวลานั้นเอง เราก็ได้รับเลี้ยงครอบครัวนกฮัมมิงเบิร์ดแบบระยะไกล

แต่ไม่นานหลังจากหนึ่งสัปดาห์แม่นกและลูกๆก็จากไปแบบเงียบๆเหมือนตอนที่พวกมันมา แต่ใครจะดูแลพวกมันล่ะ

พระคัมภีร์ให้คำตอบที่น่าประทับใจที่เราคุ้นเคยดี เราอาจคุ้นเคยเสียจนลืมคำสัญญาบางส่วนไป พระเยซูตรัสว่า “อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตน” (มธ.6:25) เป็นคำสอนที่เรียบง่ายแต่งดงาม พระองค์ตรัสอีกว่า “จงดูนกในอากาศมันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้” (ข้อ 26)

พระเจ้าทรงดูแลเราเหมือนที่ทรงดูแลนกตัวเล็กๆ ทรงเลี้ยงดูความคิด ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของเรา นี่คือพระสัญญาอันเลิศประเสริฐ ให้เรามองไปที่พระองค์ในทุกวัน ไม่ต้องวิตกกังวล และทะยานต่อไป

น้ำแห่งชีวิต

ดอกไม้สดเหล่านี้ถูกส่งมาจากประเทศเอกวาดอร์ กว่าจะมาถึงบ้านของฉันก็ดูทั้งหมองและเหี่ยวเฉา ในคู่มือบอกให้ชุบชีวิตพวกมันด้วยน้ำเย็นสดชื่นแต่ก่อนอื่นต้องทำการเล็มปลายก้านออกเพื่อที่ดอกไม้จะดูดน้ำได้ดียิ่งขึ้น ว่าแต่พวกมันจะอยู่รอดไหมนะ

เช้าวันต่อมาฉันก็ได้คำตอบ ช่อดอกไม้จากเอกวาดอร์ช่างงดงามไปด้วยดอกไม้ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน น้ำสะอาดสดชื่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ซึ่งเตือนให้คิดถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้เกี่ยวกับน้ำและความหมายของน้ำสำหรับผู้เชื่อ

เมื่อพระเยซูทรงขอน้ำดื่มจากหญิงสะมาเรีย ทรงบอกเป็นนัยว่าจะดื่มน้ำที่เธอตักขึ้นมาจากบ่อน้ำ พระองค์ได้เปลี่ยนชีวิตของเธอ เธอรู้สึกประหลาดใจกับคำขอของพระองค์เพราะชาวยิวดูถูกชาวสะมาเรีย แต่พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ยน.4:10) ต่อมาพระเยซูทรงประกาศในพระวิหารว่า “ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม” (7:37) ในท่ามกลางผู้ที่เชื่อในพระองค์ “แม่น้ำที่มีน้ำธำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้รับ” (ข้อ 38-39)

ในวันนี้พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงชุบชีวิตเราแล้วในยามที่เราเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต พระองค์ทรงเป็นน้ำแห่งชีวิต สถิตอยู่ในจิตวิญญาณของเราด้วยความสดชื่นอันศักดิ์สิทธิ์ ให้เราดื่มอย่างเต็มที่ในวันนี้

เรียนรู้และรัก

ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในเมืองกรีน็อค ประเทศสก็อตแลนด์ ครูสามคนที่ลาคลอดพาลูกน้อยของพวกเขาไปที่โรงเรียนทุกๆสองสัปดาห์เพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กนักเรียน การได้เล่นกับทารกจะสอนให้เด็กๆมีความเห็นอกเห็นใจ หรือห่วงใยและเข้าใจผู้อื่น ส่วนมากแล้วนักเรียนที่เปิดรับได้ดีคือนักเรียนที่ “ค่อนข้างเกเร” ตามคำบอกเล่าของครูคนหนึ่ง “หลายครั้งนักเรียนจะตอบสนองได้ดีกว่าในระดับตัวต่อตัว” พวกเขาเรียนรู้ว่า “การดูแลเด็กหนึ่งคนนั้นเป็นงานที่หนักแค่ไหน” และ “เรียนรู้ความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น”

การเรียนรู้จากเด็กทารกในเรื่องการเอาใจใส่ดูแลผู้อื่นนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู เรารู้จักพระองค์ผู้เสด็จมาในฐานะพระกุมารเยซู การประสูติของพระองค์เปลี่ยนทุกอย่างที่เราเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ต้องดูแลซึ่งกันและกัน คนกลุ่มแรกที่รู้เรื่องการประสูติของพระคริสต์คือคนเลี้ยงแกะ ซึ่งประกอบอาชีพต่ำต้อยที่คอยดูแลแกะที่อ่อนแอและป้องกันตัวเองไม่ได้ ต่อมาตอนที่เด็กๆถูกพามาหาพระเยซู พระองค์ทรงตำหนิสาวกที่คิดว่าเด็กๆนั้นไม่คู่ควรว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น” (มก.10:14)

พระเยซู “ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้น วางพระหัตถ์บนเขา แล้วทรงอวยพรให้” (ข้อ 16) ในชีวิตของเราซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าที่ “เกเร” บ้างเป็นบางครั้ง เราอาจถูกมองว่าไม่คู่ควรเช่นกัน แต่พระคริสต์ผู้เสด็จมาเป็นทารกน้อย ได้ทรงยอมรับเราด้วยความรักของพระองค์ เพื่อเป็นการสอนเราถึงความสำคัญของการดูแลทารกและผู้อื่น

กำลังที่จะปล่อยวาง

พอล แอนเดอร์สัน นักยกน้ำหนักชาวอเมริกันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รู้จักในฐานะชายที่แข็งแรงที่สุดในโลก เขาสร้างสถิติโลกในกีฬาโอลิมปิกปี 1956 ที่เมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย แม้มีอาการติดเชื้อที่หูชั้นในอย่างรุนแรงและมีไข้ 39.4 องศา คะแนนของเขาตามหลังอยู่ โอกาสเดียวที่เขาจะได้เหรียญทองคือสร้างสถิติโอลิมปิกใหม่ในการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเขา ความพยายาม ในการยกสองครั้งแรกของเขาล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า

ดังนั้นนักกีฬาที่กำยำผู้นี้จึงทำในสิ่งที่แม้แต่คนอ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเราก็ทำได้ เขาทูลขอกำลังพิเศษจากพระเจ้าและปล่อยวางกำลังของตนเอง ดังที่เขาพูดในภายหลังว่า “มันไม่ใช่การต่อรอง ผมต้องการความช่วยเหลือจริงๆ” ด้วยการยกครั้งสุดท้าย เขายกน้ำหนัก 187.5 กก. ขึ้นเหนือศีรษะ

เปาโลอัครทูตของพระคริสต์เขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น” (2คร.12:10) เปาโลกำลังพูดถึงกำลังฝ่ายวิญญาณ แต่ท่านรู้ว่า “ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของ[พระเจ้า]ก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (ข้อ 9)

ดังที่ผู้พยากรณ์อิสยาห์ประกาศว่า “พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง” (อสย.40:29)

แล้วอะไรคือเส้นทางสู่กำลังดังกล่าว นั่นคือการเข้าสนิทอยู่ในพระเยซู พระองค์ตรัสว่า “ถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ยน.15:5) พอล นักยกน้ำหนักมักจะพูดว่า “ถ้าชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกไม่สามารถผ่านพ้นหนึ่งวันไปได้โดยปราศจากกำลังของพระเยซูคริสต์ แล้วคุณจะเหลือทางเลือกอะไร” เราจะรู้ได้ก็โดยการปล่อยวางการพึ่งพาในกำลังที่เป็นภาพลวงของเราลง และทูลขอความช่วยเหลือที่เข้มแข็งและเหนือกว่าจากพระเจ้า

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา