ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kirsten Holmberg

เข้าใกล้

เมื่อโคโรนาไวรัสระบาดอย่างหนัก การเข้าไปเอาสิ่งที่ฉันฝากไว้ในตู้นิรภัยมีมาตรการที่ซับซ้อนมากกว่าเดิม ฉันต้องนัดหมายล่วงหน้า โทรเข้าไปแจ้งเมื่อไปถึงเพื่อจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในธนาคาร แสดงบัตรประจำตัวและลายมือชื่อ จากนั้นต้องรอเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ได้รับมอบหมายพาฉันเข้าไป เมื่อเข้าไป ประตูจะถูกล็อกอีกครั้งจนกว่าฉันจะพบกับสิ่งที่ต้องการในกล่องเหล็ก หากไม่ทำตามขั้นตอนทุกอย่างฉันจะเข้าไปไม่ได้

ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงมีระเบียบปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงในการเข้าไปในพลับพลาส่วนที่เรียกว่าอภิสุทธิสถาน (อพย.26:33) ข้างหลังผ้าม่านพิเศษที่ “แบ่งพลับพลาระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน” มีเพียงมหาปุโรหิตเท่านั้นที่เข้าไปได้ปีละครั้ง (ฮบ.9:7) อาโรนและมหาปุโรหิตคนอื่นๆหลังจากท่านจะต้องนำเครื่องบูชา อาบน้ำ และสวมเสื้อผ้าที่บริสุทธิ์ก่อนจะเข้าไป (ลนต.16:3-4) ระเบียบของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของสุขภาพหรือความปลอดภัย แต่เพื่อสอนชนชาติอิสราเอลเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและความจำเป็นที่ต้องได้รับการอภัยโทษบาปของพวกเรา

ในช่วงเวลาที่พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ผ้าม่านพิเศษผืนนั้นถูกฉีกขาดจากกัน (มธ.27:51) เป็นสัญลักษณ์ซึ่งแสดงว่าผู้ที่เชื่อในเครื่องบูชาแห่งการอภัยโทษบาปของพระองค์นั้นจะสามารถเข้าไปอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าได้ การฉีกขาดของผ้าม่านในพลับพลาเป็นเหตุแห่งความชื่นชมยินดีอันไม่สิ้นสุดของเรา คือการที่พระเยซูทรงทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้าได้ทุกเวลา!

เสมือนว่าอยู่ด้วยกัน

ในขณะที่โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดไปทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำให้เพิ่มระยะห่างระหว่างผู้คนเพื่อชะลอการแพร่กระจาย หลายประเทศขอให้พลเมืองของตนกักตัวหรือเก็บตัวอยู่กับบ้าน องค์กรต่างๆให้พนักงานทำงานจากบ้าน ขณะที่บางองค์กรประสบปัญหาการเงินจนส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ฉันก็เข้าร่วมการประชุมของคริสตจักรและกลุ่มย่อยผ่านช่องทางออนไลน์ พวกเราในโลกนี้ฝึกที่จะอยู่ร่วมกันในรูปแบบใหม่ แม้ในทางกายภาพเราจะถูกตัดขาดจากกันก็ตาม

ไม่เฉพาะแค่อินเทอร์เน็ตที่ทำให้เรายังรู้สึกเชื่อมโยงถึงกันได้ แต่เรายังเชื่อมโยงกันในฐานะสมาชิกในพระกายของพระคริสต์ผ่านทางพระวิญญาณ เปาโลพูดถึงเรื่องนี้ในจดหมายที่เขียนถึงชาวโคโลสีเมื่อหลายศตวรรษที่แล้ว แม้ว่าท่านจะไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรแห่งนี้ แต่ท่านก็ห่วงใยพวกเขาและความเชื่อของพวกเขาอย่างมาก แม้เปาโลจะไม่สามารถมาอยู่กับพวกเขาด้วยตนเองได้ แต่ท่านย้ำเตือนพวกเขาว่า “ใจของข้าพเจ้ายังอยู่กับท่าน” (คส.2:5)

เราไม่สามารถอยู่กับคนที่เรารักได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการเงิน สุขภาพ หรือเหตุผลอื่นๆ และเทคโนโลยีสามารถช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ กระนั้นก็ตาม การเชื่อมโยงเสมือนจริงรูปแบบใดก็ตาม ไม่อาจเทียบได้กับ “การอยู่ร่วมกัน” ในฐานะพระกายของพระคริสต์ (1 คร.12:27) ในช่วงเวลาเช่นนี้ เราสามารถเป็นเหมือนเปาโลที่จะชื่นชมยินดีในความเชื่ออันมั่นคงของกันและกัน และหนุนใจกันและกันผ่านการอธิษฐานเพื่อเราจะ “เข้าในความรู้ความล้ำลึกของพระเจ้า คือพระคริสต์” อย่างเต็มบริบูรณ์ (คส.2:2) KHH

ให้ฉันอยู่

ขณะเดินไปที่รถ แซนเดอร์ดิ้นหลุดจากอ้อมแขนของแม่และมุ่งตรงกลับไปที่ประตูโบสถ์อย่างรวดเร็ว เขายังไม่อยากไป! แม่วิ่งตามและพยายามหว่านล้อมด้วยความรักเพื่อพวกเขาจะได้ออกจากที่นั่น ในที่สุดเมื่อแม่ช้อนแซนเดอร์ วัยสี่ขวบกลับสู่อ้อมแขน เขาร้องไห้และยื่นมือข้ามไหล่แม่กลับไปทางโบสถ์ขณะที่พวกเขาเดินจากไป

แซนเดอร์อาจยังสนุกอยู่กับการเล่นกับเพื่อนๆที่โบสถ์ แต่ความกระตือรือร้นของเขาเป็นภาพความปรารถนาของดาวิดที่จะนมัสการพระเจ้า แม้พระองค์จะขอให้พระเจ้าทรงทำลายศัตรูเพื่อความสบายใจและความปลอดภัยของพระองค์ แต่ดาวิดต้องการให้สันติสุขมาครอบครองเพื่อจะได้ “ดูความงามของพระเจ้า และเพื่อจะพินิจพิจารณาอยู่ในพระวิหารของพระองค์” (สดด.27:4) ความปรารถนาในหัวใจของพระองค์คือการได้อยู่กับพระเจ้าไม่ว่าที่ใด และชื่นชมยินดีในการทรงสถิตอยู่ด้วย กษัตริย์และวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิสราเอลทรงตั้งใจจะใช้เวลาที่สุขสงบเพื่อการ “ร้องเพลงและถวายสดุดีแด่พระเจ้า” (ข้อ 6)

เรานมัสการพระเจ้าได้อย่างอิสระในทุกแห่ง เพราะในเวลานี้พระองค์สถิตอยู่ในเราโดยความเชื่อในพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1 คร.3:16; อฟ.3:17) ขอให้เราปรารถนาที่จะใช้เวลาของเราในการทรงสถิต และพร้อมใจนมัสการพระองค์ร่วมกับผู้เชื่อทั้งหลาย เราพบความปลอดภัยและสันติสุขที่ยิ่งใหญ่ได้ในพระเจ้า ไม่ใช่ในอาคารคริสตจักร

สั่นระฆัง

หลังผ่านการฉายรังสีอันน่าหวาดหวั่นถึง 30 ครั้ง ในที่สุดดาร์ลาได้รับการยืนยันว่าปลอดจากเซลมะเร็ง เธออยากจะสั่น “ระฆังปลอดมะเร็ง” ตามประเพณีของโรงพยาบาลซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดการรักษา และเฉลิมฉลองสุขภาพที่ปลอดโรคภัยของเธอ ดาร์ลารู้สึกกระตือรือร้นและมีพลังในการสั่นระฆังแห่งการเฉลิมฉลองมากเสียจนเชือกหลุดจากระฆัง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะแห่งความยินดีดังกระหึ่ม

เรื่องราวของดาร์ลาทำให้ฉันมีรอยยิ้ม และช่วยให้ฉันเข้าใจถึงสิ่งที่ผู้เขียนสดุดีเห็นเมื่อท่านเชิญชวนชนชาติอิสราเอลให้เฉลิมฉลองงานของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา ผู้เขียนหนุนใจพวกเขาให้ “ตบมือ” “โห่ร้อง” และ “ร้องเพลงสรรเสริญ” เพราะว่าพระเจ้าทรงทำให้ศัตรูของพวกเขาพ่ายแพ้ และทรงเลือกอิสราเอลให้เป็นประชากรที่รักของพระองค์ (สดด.47:1,6)

พระเจ้าไม่ได้ทรงประทานชัยชนะเหนืออุปสรรคในชีวิตให้แก่เราทุกครั้ง ไม่ว่าจะในปัญหาสุขภาพ การเงินหรือความสัมพันธ์ พระองค์ทรงควรค่าแก่การนมัสการและสรรเสริญแม้ในสถานการณ์เหล่านั้น เพราะเราสามารถวางใจว่าพระองค์ยัง “ทรงประทับบนพระที่นั่งบริสุทธิ์ของพระองค์” (ข้อ 8) เมื่อพระองค์ทรงนำเราสู่สถานที่แห่งการเยียวยารักษา แม้เป็นเพียงวิธีที่เรารับรู้ได้ในชีวิต
บนโลกนี้ นั่นคือเหตุผลของการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ เราอาจไม่มีระฆัง แต่เราสามารถเฉลิมฉลองความดีของพระองค์ที่ทรงมีต่อเราด้วยความชื่นชมยินดี
เช่นเดียวกับดาร์ลา

ความเชื่อของวัยรุ่น

ช่วงเวลาวัยรุ่นนั้นบางครั้งถือเป็นช่วงชีวิตที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับทั้งพ่อแม่และลูก ในการค้นหาของฉันเพื่อ “แยกตนเอง” จากแม่นั้นฉันปฏิเสธอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่ท่านเห็นว่าดีงามและต่อต้านกฎที่ท่านตั้งไว้ ระแวงในเจตนาของท่านว่าเพียงต้องการให้ฉันไม่มีความสุข แม้เราจะได้ข้อตกลงร่วมกันในเรื่องเหล่านั้น แต่ตอนนั้นความสัมพันธ์ของเราเต็มไปด้วยความตึงเครียด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม่เป็นทุกข์ที่ฉันปฏิเสธไม่เชื่อฟังสติปัญญาในคำแนะนำของท่าน โดยรู้ว่าจะช่วยไม่ให้ฉันต้องเจ็บปวดทั้งทางกายและจิตใจโดยไม่จำเป็น

พระเจ้ามีพระทัยเช่นเดียวกันนี้ต่ออิสราเอลซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ พระองค์ส่งมอบสติปัญญาในการดำเนินชีวิตไว้ในสิ่งที่เราเรียกว่าบัญญัติสิบประการ (ฉธบ.5:7-21) แม้จะถูกมองว่าเป็นกฎเกณฑ์ แต่ความตั้งใจของพระเจ้าปรากฏให้เห็นในคำตรัสกับโมเสสว่า “เขาทั้งหลายก็จะสุขเจริญอยู่ตลอดชั่วลูกหลานของเขาเป็นนิตย์” (ข้อ 29) โมเสสรับรู้ได้ถึงความปรารถนาของพระเจ้า โดยบอกว่าการเชื่อฟังในกฎบัญญัติจะทำให้พวกเขายินดีในการทรงสถิตอยู่ด้วยต่อไปในแผ่นดินแห่งพันธสัญญานั้น (ข้อ 33)

เราทุกคนล้วนผ่านช่วงเวลาของการเป็น “วัยรุ่น” กับพระเจ้า คือไม่ไว้วางใจว่าแนวทางในการดำเนินของพระองค์นั้นมีไว้เพื่อประโยชน์ของเราเอง ขอให้เราเติบโตขึ้นในการตระหนักว่าพระองค์ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้เรา และเรียนรู้ที่จะใส่ใจในสติปัญญาที่พระองค์มอบให้ การทรงนำของพระองค์มีเพื่อนำเราไปสู่การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณ โดยที่เราจะเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น (สดด.119:97-104; อฟ.4:15; 2 ปต.3:18)

เรื่องราวยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์

เมื่อคอลินเปิดกล่องชิ้นส่วนกระจกสีที่เขาซื้อมา แทนที่จะเจอชิ้นส่วนที่เขาสั่งมาเพื่อทำชิ้นงาน กลับพบว่ามันติดกันมาเป็นหน้าต่างทั้งบาน เขาสืบหาที่มาของหน้าต่างนี้และได้รู้ว่ามันถูกรื้อมาจากโบสถ์เพื่อป้องกันไม่ให้โดนระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 คอลินทึ่งกับคุณภาพของชิ้นงานและการที่ “ชิ้นส่วนเล็กๆ” รวมตัวกันเป็นภาพที่งดงาม

ถ้าพูดกันตรงๆแล้วมีหลายครั้งที่ฉันเปิดเนื้อหาบางเรื่องในพระคัมภีร์ เช่นบทที่มีรายชื่อของลำดับวงศ์ตระกูล ฉันไม่อาจเข้าใจได้ในทันทีว่านั่นจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมในพระคัมภีร์ได้อย่างไร เช่นปฐมกาล 11 บทที่มีชื่อคนไม่คุ้นหูและครอบครัวของพวกเขาซ้ำๆ เช่น เชม เชลาห์ เอเบอร์ นาโฮร์ และเทราห์ (ข้อ 10-32) ฉันมักถูกชักจูงให้ข้ามข้อเหล่านี้ไปอ่านบทที่มีเนื้อหาที่คุ้นเคยและดูน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ “หน้าต่าง” แห่งความเข้าใจในพระคัมภีร์ของฉันมากกว่า

เพราะ “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์” (2 ทธ.3:16) พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้นว่าชิ้นส่วนเล็กๆเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่อย่างไร และเปิดตาเราให้มองเห็น เช่น เห็นความเชื่อมโยงของเชลาห์และอับราม (ปฐก.11:12-26) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของดาวิด และที่สำคัญกว่านั้นคือของพระเยซู (มธ.1:2,6,16) พระองค์ทรงยินดีที่จะทำให้เราประหลาดใจด้วยขุมทรัพย์แห่งบานหน้าต่างที่ร้อยเรียงต่อติดกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งแม้แต่ชิ้นส่วนเล็กๆ ยังเปิดเผยถึงเรื่องราวพันธกิจของพระเจ้าในพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม

เผื่อแผ่พระคุณสู่ผู้อื่น

ลูกชายของเราอยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็กในช่วงปีแรกๆของชีวิตก่อนที่เราจะรับเขาเป็นลูกบุญธรรม ก่อนออกมาจากอาคารอิฐนั้น เพื่อกลับบ้านพร้อมกัน เราขอไปช่วยเขาเก็บของส่วนตัว แต่น่าเศร้าที่เขาไม่มีอะไรเลย เราเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เขาเปลี่ยน และฝากเสื้อผ้าอีกหลายชุดเพื่อมอบให้กับเด็กคนอื่นๆ แม้ว่าฉันจะเศร้าใจในความขาดแคลนของเขา แต่ฉันก็ยินดีที่จากนี้ไปเราสามารถให้สิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตเขาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

ไม่กี่ปีต่อมามีผู้มาขอให้ร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่ยากไร้ ลูกชายของฉันกระตือรือร้นที่จะบริจาคตุ๊กตาและเงินเล็กน้อยเพื่อช่วยเหลือพวกเขา จากภูมิหลังของเขา คงพอเข้าใจได้หากเขาจะหวงและยึดสิ่งที่เขามีไว้แน่น

ฉันอยากจะคิดว่าเหตุผลของการตอบสนองอย่างใจกว้างของเขาเป็นแบบเดียวกับคริสเตียนในยุคแรก “พระคุณอันใหญ่ยิ่งได้อยู่กับเขาทุกคน เพราะว่าในพวกศิษย์ไม่มีผู้ใดขัดสน” (กจ.4:33-34) พวกเขายินดีขายทรัพย์สมบัติของตนเพื่อแบ่งปันกับพี่น้องที่ขาดแคลน

เมื่อเรารับรู้ถึงความขาดแคลนของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ขอพระคุณของพระเจ้าทรงทำงานในเราอย่างทรงพลัง เพื่อให้เราตอบสนองเช่นเดียวกับคริสเตียนในยุคแรก คือการให้จากใจของเราเพื่อผู้ที่ขาดแคลน ซึ่งจะทำให้พวกเราเป็นท่อพระพรแห่งพระคุณของพระเจ้าในฐานะพี่น้องผู้เชื่อในพระเยซูที่ “เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (ข้อ 32)

“เนื้อหา” ในการแบ่งปันความเชื่อ

อลันมาขอคำแนะนำจากฉันเพื่อจัดการกับความกลัวในการพูดในที่สาธารณะ เขาเป็นเหมือนคนส่วนมากที่หัวใจเริ่มเต้นเร็ว ปากจะแห้งติดกัน และหน้าเริ่มแดง โรคกลัวการพูดในที่สาธารณะนี้เป็นหนึ่งในการกลัวสังคมที่หลายคนเป็น บางคนถึงกับพูดเล่นว่าพวกเขากลัวการพูดในที่สาธารณะยิ่งกว่ากลัวความตาย! ฉันช่วยให้อลันเอาชนะความกลัวว่าจะ “นำเสนอ” ได้ไม่ดีโดยแนะให้เขาจดจ่อกับสาระของสิ่งที่จะสื่อมากกว่าการที่ว่าจะนำเสนอได้ดีแค่ไหน

การเปลี่ยนจุดสนใจไปยังเนื้อหาที่จะแบ่งปันแทนที่จะสนใจความสามารถของคนที่แบ่งปันนั้นคล้ายกับวิธีของเปาโลในการนำคนมาถึงพระเจ้า เมื่อท่านเขียนจดหมายถึงคริสตจักรในโครินธ์ ท่านกล่าวว่าคำพูดและคำเทศนาของท่าน “ไม่ใช่คำที่เกลี้ยกล่อมด้วยสติปัญญา” (1 คร.2:4) แต่ท่านตั้งใจจดจ่ออยู่บนความจริงแห่งพระเยซูคริสต์และการทรงถูกตรึงที่กางเขน (ข้อ 2) โดยวางใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เจิมถ้อยคำของท่าน ไม่ใช่การมีโวหารดีในฐานะนักพูด

เมื่อเราได้รู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว เราจะอยากเล่าเรื่องราวของพระองค์ให้กับคนรอบข้าง แต่บางครั้งเราหลบเลี่ยงเพราะกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี คือไม่ใช่ด้วยคำพูดที่ “ถูกต้อง” หรือคมคาย เราสามารถทำเหมือนเปาโลโดยวางใจให้พระเจ้าทำงานในคำพูดของเราและแบ่งปันอย่างปราศจากความกลัวหรือความลังเลได้ โดยการจดจ่ออยู่ที่ “เนื้อหา” ของความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใดและในพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์

มุ่งสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ

ในการสำรวจเมื่อเร็วๆนี้ มีการถามว่าผู้ทำแบบสอบถามคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ตอนอายุเท่าไร โดยคนที่คิดว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่แล้วได้ระบุพฤติกรรมที่เป็นการยืนยัน การมีเงินก้อนและการซื้อบ้านติดอันดับต้นๆของข้อบ่งชี้ถึงการเป็น “ผู้ใหญ่” กิจกรรมของผู้ใหญ่อื่นๆ มีตั้งแต่การทำอาหารค่ำ และการติดต่อนัดตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง ไปจนถึงความสามารถที่ดูน่าขบขันอย่างการเลือกกินขนมเป็นอาหารเย็น หรือการรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้อยู่บ้านเย็นวันเสาร์แทนที่จะออกไปข้างนอก

พระคัมภีร์บอกว่าเราควรมุ่งไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณเช่นกัน เปาโลเขียนถึงคริสตจักรในเมืองเอเฟซัสให้พวกเขา “โตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์” (อฟ.4:13) ขณะที่เรายัง “เยาว์” ในความเชื่อ เราจะหวั่นไหวต่อ “ลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง” (ข้อ 14) ซึ่งมักส่งผลให้เกิดความแตกแยกในหมู่พวกเรา แต่เมื่อเราเติบโตในการเข้าใจความจริง เราจะดำเนินชีวิตเป็นกายเดียวกันภายใต้ “พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์​” (ข้อ 15)

พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์เพื่อช่วยให้เราเติบโตขึ้นในความเข้าใจว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด (ยน.14:26) และได้ทรงเตรียมศิษยาภิบาลและอาจารย์เพื่อให้สอนและนำเราสู่ความเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ (อฟ.4:11-12) เช่นเดียวกับที่คุณลักษณะบางอย่างเป็นเครื่องหมายของการเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายร่างกายฉันใด ความเป็นหนึ่งเดียวในพระกายของพระคริสต์ก็เป็นเครื่องหมายแสดงถึงการเติบโตฝ่ายวิญญาณของเราฉันนั้น

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา