แบบทดสอบกระจก
“ใครอยู่ในกระจก” นักจิตวิทยาที่กำลังทดสอบการรู้จักตนเองถามเด็กๆ โดยปกติแล้วเด็กที่อายุ 18 เดือนหรือน้อยกว่านั้นจะไม่คิดว่าตัวเองคือภาพที่อยู่ในกระจก แต่เมื่อเด็กโตขึ้น พวกเขาจะเข้าใจว่าพวกเขากำลังมองดูตัวเองอยู่ การรู้จักตนเองเป็นเครื่องหมายสำคัญที่บ่งชี้ถึงการเติบโตและการเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์
อีกทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตของผู้เชื่อในพระเยซูด้วย ยากอบเขียนแบบทดสอบกระจกไว้ กระจกก็คือ “สัจวาทะ” ของพระเจ้า (ยก.1:18) เราเห็นอะไรเมื่อเราอ่านพระวจนะ เรามองเห็นตัวเองเมื่อพระวจนะพูดถึงความรักและความถ่อมตนหรือไม่ เรามองเห็นการกระทำของตนเองเมื่อเราได้อ่านสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำหรือไม่ เมื่อเรามองเข้าไปในจิตใจและทดสอบดูการกระทำของเรา พระวจนะจะช่วยให้เรารู้ว่าการกระทำของเราสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเราหรือไม่ หรือเราต้องแสวงหาการกลับใจและเปลี่ยนแปลงใหม่
ยากอบเตือนไม่ให้เราเพียงแค่อ่านพระวจนะและหันกลับไป “และลวงตนเอง” (ข้อ 22) โดยลืมสิ่งที่เรียนรู้ไปเสีย พระคัมภีร์เป็นเหมือนแผนที่เพื่อให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติปัญญาตามแผนการของพระเจ้า ในขณะที่เราอ่าน ใคร่ครวญและซึมซับพระวจนะ เราสามารถทูลขอให้พระองค์ทรงเปิดตาของเราให้มองเห็นจิตใจภายในและประทานกำลังเพื่อจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จำเป็นได้
เปิดไฟทิ้งไว้
โฆษณาของเครือโรงแรมแห่งหนึ่งเป็นภาพของอาคารเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางคืนที่มืดมิด ไม่มีอะไรอยู่ในบริเวณนั้น แสงเดียวที่มองเห็นได้มาจากโคมไฟขนาดเล็กที่อยู่ใกล้กับประตูตรงระเบียงอาคาร หลอดไฟส่องสว่าง
เพียงพอสำหรับแขกที่เดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปในอาคาร โฆษณาจบลงด้วยวลีที่ว่า “เราจะเปิดไฟทิ้งไว้เพื่อให้ส่องสว่างสำหรับคุณ”
ไฟที่ระเบียงเป็นเหมือนกับป้ายต้อนรับ เพื่อบอกให้นักเดินทางที่เหนื่อยล้ารู้ว่า ยังมีที่ที่สะดวกสบายที่ยังคงเปิดให้พวกเขาแวะเข้ามาพักได้ แสงสว่างนี้เชื้อเชิญให้นักเดินทางแวะเข้ามาเพื่อหลีกหนีจากการเดินทางที่แสนมืดมิดและเหน็ดเหนื่อย
พระเยซูตรัสว่า ชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระองค์ควรจะเหมือนกับแสงไฟต้อนรับนี้ พระองค์ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้” (มธ.5:14) ในฐานะผู้เชื่อเราต้องทำให้โลกที่มืดมิดสว่างไสว
เมื่อพระองค์ทรงนำทางและประทานกำลังให้กับเรา ผู้อื่นจะ “เห็นความดีที่ [เรา ]ทำเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของ[เรา ] ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (ข้อ 16) และเมื่อเราเปิดไฟของตัวเราทิ้งไว้ พวกเขาจะรู้สึกถึงการต้อนรับในการเข้ามาหาเราเพื่อเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับความสว่างแท้ของโลก คือ พระเยซู (ยน.8:12) ในโลกที่อ่อนล้าและมืดมิด แสงสว่างของพระองค์ยังคงส่องสว่างอยู่เสมอ
คุณเปิดไฟทิ้งไว้หรือไม่ เมื่อพระเยซูทรงส่องสว่างผ่านคุณในวันนี้ ผู้อื่นอาจจะมองเห็นและเริ่มฉายแสงของพระองค์เช่นกัน
เดินทางอย่างเบาตัว
ชายคนหนึ่งชื่อเจมส์ออกเดินทางผจญภัยเป็นระยะทาง 2,012 กิโลเมตรไปตามชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา โดยปั่นจักรยานจากเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ไปยังเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อนคนหนึ่งของฉันพบนักปั่นผู้มุ่งมั่นคนนี้ใกล้กับหน้าผาบิกเซอร์ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เขาเริ่มเดินทางเกือบ 1,500 กิโลเมตร หลังจากได้รู้ว่าเพิ่งมีคนขโมยอุปกรณ์ค้างแรมของเจมส์ไป เพื่อนของฉันเสนอจะยกผ้าห่มและเสื้อกันหนาวให้ แต่เจมส์ปฏิเสธ โดยบอกว่าเมื่อเขาเดินทางลงใต้เข้าสู่สภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้น เขาจะต้องเริ่มกำจัดสัมภาระ ยิ่งเขาเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้น เขาจะยิ่งเหนื่อยและจำเป็นต้องลดน้ำหนักสัมภาระที่เขาจะนำไปด้วย
เจมส์มีความคิดที่ฉลาด และเป็นภาพที่สะท้อนสิ่งที่ผู้เขียนฮีบรูกำลังพูดถึงอีกด้วย เมื่อเราดำเนินไปตามเส้นทางของชีวิต เราจำเป็นต้อง “ละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น” (12:1) เราจำเป็นต้องเดินทางด้วยสัมภาระที่เบาจึงจะไปต่อได้
ในฐานะผู้เชื่อพระเยซู การวิ่งแข่งนี้จำเป็นต้องมี “ความเพียรพยายาม” (ข้อ 1) และวิธีหนึ่งที่จะทำให้แน่ใจว่าเราจะเดินต่อไปได้คือ การปลดเปลื้องน้ำหนักของการไม่ยกโทษ ความน้อยใจ และบาปอื่นๆที่จะขัดขวางเรา
หากปราศจากความช่วยเหลือของพระเยซู เราจะไม่สามารถไปต่อได้อย่างเบาตัวและวิ่งในการแข่งนี้ได้ดี ให้เรามองไปที่ “ผู้บุกเบิกความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์” เพื่อที่เราจะไม่ “รู้สึกท้อถอย” (ข้อ 2-3)
การเคลื่อนของพระเจ้า
ฉันชอบเกมต่อคำศัพท์ซึ่งเป็นเกมที่ดี ครั้งหนึ่งหลังจบเกมเพื่อนได้ตั้งชื่อการเล่นตามชื่อของฉันว่า “คาทาร่า” ฉันมีคะแนนตามมาตลอด แต่ในช่วงท้ายของเกม ฉันลงคำศัพท์ด้วยอักษรเจ็ดตัวโดยไม่มีตัวอักษรเหลือในถุงเลย นี่หมายความว่าเกมจบลงและฉันได้โบนัสห้าสิบคะแนนรวมทั้งคะแนนทั้งหมดจากตัวอักษรที่เหลือของคู่ต่อสู้ทุกคน ซึ่งทำให้ฉันขยับขึ้นเป็นที่หนึ่งจากที่โหล่ เวลานี้เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเล่นเกมและบางคนมีคะแนนตามอยู่ พวกเขาจะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและหวังว่าจะได้ “คาทาร่า”
การระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมีพลังที่จะยกระดับจิตวิญญาณและให้ความหวังแก่เรา และนั่นคือสิ่งที่คนอิสราเอลทำเมื่อฉลองปัสกา เทศกาลปัสกาเป็นการระลึกถึงสิ่งที่พระเจ้าทำเพื่อคนอิสราเอลครั้งอยู่ในอียิปต์ พวกเขาถูกฟาโรห์และคนของพระองค์ร่วมกันกดขี่ (อพย.1:6-14) เมื่อพวกเขาร้องทูล พระเจ้าทรงช่วยกู้ด้วยวิธีที่ยิ่งใหญ่ คือทรงให้พวกเขาทาเลือดบนวงกบประตูเพื่อที่ทูตแห่งความตายจะ “ผ่านเว้น” บุตรหัวปีและสัตว์หัวปีของพวกเขา (12:12-13) แล้วพวกเขาจะรอดจากความตาย
หลายศตวรรษต่อมาผู้เชื่อในพระเยซูรับพิธีมหาสนิทเป็นการระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระองค์บนกางเขน โดยทรงจัดเตรียมสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อรับการช่วยกู้จากบาปและความตาย (1 คร.11:23-26) การระลึกถึงราชกิจแห่งความรักของพระเจ้าในอดีตทำให้เรามีความหวังในวันนี้
พระเยซูอยู่ที่นี่
ป้าทวดของฉันนอนบนเตียงคนป่วยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผมสีดอกเลาของท่านถูกปัดออกจากใบหน้าและแก้มเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ท่านพูดไม่มากนัก แต่ฉันยังจำคำที่ท่านพูดเมื่อพ่อ แม่และฉันไปเยี่ยมได้ ท่านกระซิบว่า “ฉันไม่เหงา พระเยซูอยู่ที่นี่กับฉัน”
ในฐานะผู้หญิงโสดในตอนนั้น ฉันรู้สึกพิศวงกับคำประกาศของป้า สามีท่านเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน และลูกๆก็อาศัยอยู่ห่างไกล ท่านอายุเกือบจะ 90 ปีแล้ว อยู่คนเดียวบนเตียง แทบขยับตัวไม่ได้ แต่ท่านยังพูดได้ว่าท่านไม่เหงา
ป้าของฉันรับเอาถ้อยคำของพระเยซูที่กล่าวกับเหล่าสาวกไว้อย่างแท้จริง อย่างที่เราทุกคนควรจะเป็น “นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป” (มธ. 28:20) ท่านรู้ว่าพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตกับท่าน ตามที่พระองค์ทรงสัญญาเมื่อพระองค์บัญชาเหล่าสาวกให้ออกไปในโลกและแบ่งปันข่าวสารของพระองค์กับผู้อื่น (ข้อ 19) พระเยซูตรัสว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะ “สถิตอยู่กับ” เหล่าสาวกและเรา (ยน.14:16-17)
ฉันแน่ใจว่าป้ามีประสบการณ์กับความจริงในพระสัญญานั้น พระวิญญาณทรงสถิตอยู่ภายในขณะที่ท่านนอนอยู่บนเตียง และพระวิญญาณทรงใช้ท่านเพื่อแบ่งปันความจริงของพระองค์กับฉัน ผู้เป็นหลานสาวซึ่งจำเป็นต้องฟังถ้อยคำเหล่านั้นและจดจำไว้ในจิตใจ
จบให้ดี
ในขณะที่ฉันเข้าสู่ช่วงสองนาทีสุดท้ายของโปรแกรมออกกำลังกายสี่สิบนาที ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าครูฝึกจะต้องตะโกนว่า “จบให้ดีนะ!” ครูฝึกส่วนตัวหรือผู้นำการออกกำลังกายแบบกลุ่มที่ฉันรู้จักจะพูดประโยคนี้ก่อนการคูลดาวน์ พวกเขารู้ว่าตอนจบของการออกกำลังนั้นสำคัญพอๆกับการไปออกกำลังกาย และพวกเขาก็รู้ว่าร่างกายของมนุษย์มีแนวโน้มที่อยากจะทำงานช้าลงหรือเฉื่อยลงหลังจากมีการขยับเขยื้อนมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง
เช่นเดียวกับการเดินทางของเรากับพระเยซู เปาโลบอกผู้ปกครองในคริสตจักรเอเฟซัสว่าท่านจำเป็นต้องบากบั่นไปให้สุดทางขณะที่ท่านจะมุ่งหน้าไปกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งท่านมั่นใจว่าจะต้องพบกับการข่มเหงที่หนักกว่าเดิมในฐานะอัครทูตของพระคริสต์ (กจ.20:17-24) แต่กระนั้นเปาโลไม่หวั่นไหว ท่านมีเป้าหมายคือการทำหน้าที่ที่เริ่มต้นไว้ให้สำเร็จ และทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายจากพระเจ้า ท่านมีงานเดียวคือ การประกาศ “ข่าวประเสริฐซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้า” (ข้อ 24) และท่านอยากจะทำให้สำเร็จด้วยดี แม้ความยากลำบากจะคอยท่าท่านอยู่ (ข้อ 23) ท่านยังคงมุ่งไปสู่หลักชัย ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะยืนหยัดในเส้นทางนั้น
ไม่ว่าเราจะกำลังออกกำลังฝ่ายร่างกาย หรือกำลังฝึกฝนของประทานที่พระเจ้าประทานให้ผ่านทางการงาน คำพูด และการกระทำ เราเองก็สามารถรับการหนุนน้ำใจจากคำเตือนที่จะจบให้ดีได้ อย่า “เมื่อยล้า” (กท.6:9) อย่ายอมแพ้ พระเจ้าจะประทานสิ่งจำเป็นให้เพื่อที่คุณจะได้จบอย่างสวยงาม
คำปรึกษาที่ชาญฉลาด
ฉันทำงานเต็มเวลาในขณะที่เรียนวิทยาลัยพระคริสตธรรม และยังสลับผลัดเปลี่ยนไปเป็นอนุศาสนาจารย์และฝึกงานที่คริสตจักร ฉันมีงานยุ่ง เมื่อพ่อมาเยี่ยมท่านพูดว่า “ลูกกำลังจะสติแตกนะ” ฉันยักไหล่ไม่สนใจคำเตือนนั้นโดยคิดว่าท่านเป็นคนรุ่นก่อนและไม่เข้าใจในเรื่องการตั้งเป้าหมาย
ฉันไม่ได้สติแตก แต่ได้ประสบกับช่วงเวลาที่เลวร้ายมากจนตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ตั้งแต่นั้นมาฉันเรียนรู้ที่จะฟังคำเตือนอย่างใส่ใจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่ฉันรัก
นั่นทำให้ฉันนึกถึงเรื่องของโมเสส ท่านทำงานอย่างแข็งขันเช่นกัน โดยปรนนิบัติรับใช้ในฐานะผู้พิพากษาชนอิสราเอล (อพย.18:13) ท่านเลือกที่จะฟังคำเตือนของพ่อตา (ข้อ 17-18) เยโธรไม่ได้มีบทบาทอะไร แต่เขารักโมเสสและครอบครัวของตนและมองเห็นปัญหาข้างหน้า บางทีนั่นอาจเป็นเหตุให้โมเสสรับฟังเยโธรและปฏิบัติตามคำแนะนำของเขา โมเสสตั้งระบบ “คนที่สามารถจากพวกประชาชน” เพื่อจัดการกับข้อพิพาทเล็กๆน้อยๆและท่านรับเอาคดีที่ยากกว่า (ข้อ 21-22) เพราะโมเสสฟังเยโธร จัดสรรงานใหม่ และมอบหมายให้คนอื่นร่วมรับภาระ ท่านจึงสามารถหลีกเลี่ยงจากสภาวะหมดไฟในช่วงเวลานั้นของชีวิต
พวกเราหลายคนทำงานเพื่อพระเจ้า เพื่อครอบครัวของเรา และคนอื่นๆอย่างจริงจังและด้วยความร้อนรน แต่เรายังคงต้องเอาใจใส่ในคำแนะนำจากคนที่เรารักและไว้ใจ และพึ่งพาพระปัญญาและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในทุกสิ่งที่เราทำ
ทวงคืนเวลาของเรา
แม่ของฉันเล่าให้ฟังว่าท่านเลือกที่จะไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อจะได้แต่งงานกับพ่อในช่วงทศวรรษ 1960 แต่ท่านยังคงใฝ่ฝันที่จะเป็นครูสอนคหกรรมเสมอมา ต่อมาเมื่อมีลูกสามคน แม้จะไม่เคยได้รับปริญญาจากที่ไหน ท่านได้กลายเป็นผู้ช่วยด้านโภชนาการในระบบสุขภาพของรัฐหลุยเซียน่า ท่านสาธิตการทำอาหารเพื่อสุขภาพในแบบต่างๆ เหมือนกับครูสอนคหกรรม หลังจากเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตรวมถึงความฝันของท่านให้ฉันฟัง ท่านกล่าวว่าพระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานและได้ประทานให้ตามที่ใจท่านปรารถนา
ชีวิตของเราก็อาจเป็นเช่นนั้นด้วย แผนการของเรานำไปทางหนึ่ง แต่ความเป็นจริงไปอีกทางหนึ่ง แต่โดยพระเจ้า วันเวลาและชีวิตของเราสามารถกลายเป็นภาพอันงดงามที่สำแดงถึงพระกรุณา ความรัก และการฟื้นฟูจากพระองค์ พระเจ้าบอกกับชาวยูดาห์ (ยอล.2:21) ว่าพระองค์จะ “คืน” สิ่งที่พวกเขาสูญเสียและปีเดือนที่พวกเขาถูกฝูง “ตั๊กแตน” ทำลายไป (ข้อ 25) พระองค์ยังทรงช่วยเหลือเราเสมอในยามยากลำบากและในความฝันที่ยังไม่เป็นจริง เพราะเรารับใช้พระเจ้าองค์พระผู้ไถ่ผู้ทรงให้เกียรติและตอบแทนสิ่งที่เราเสียสละเพื่อพระองค์ (มธ.19:29)
ไม่ว่าเราจะกำลังเผชิญกับความยากลำบากแสนสาหัส หรือความฝันที่ยังไม่เป็นจริง ขอให้เราร้องเรียกหาพระเจ้าผู้ทรงฟื้นฟูสิ่งต่างๆขึ้นใหม่และสรรเสริญพระองค์
เดินตามผู้นำ
ไม่มีคำพูด มีเพียงดนตรีและการเคลื่อนไหว ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงของการเต้นซุมบ้ามาราธอนในช่วงการระบาดของโควิด 19 ผู้คนนับพันจากทั่วโลกออกกำลังร่วมกันผ่านสื่อเสมือนจริงและทำตามผู้นำจากอินเดีย จีน เม็กซิโก อเมริกา แอฟริกาใต้ บางส่วนของยุโรปและอีกหลายๆที่ ผู้คนหลากหลายที่เคลื่อนไหวไปด้วยกันโดยไม่มีอุปสรรคด้านภาษา เพราะเหตุใด เพราะผู้สอนการออกกำลังที่คลั่งไคล้การเต้นซุมบ้า ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1990 โดยครูสอนเต้นแอโรบิคชาวโคลัมเบียที่ใช้อวัจนสัญญาณในการสื่อสาร เมื่อครูเคลื่อนไหว นักเรียนก็ทำตาม พวกเขาทำตามโดยไม่ต้องมีการพูดหรือตะโกนบอก
บางครั้งคำพูดอาจกีดขวางและเป็นอุปสรรคได้ อาจก่อให้เกิดความสับสนเช่นที่ชาวโครินธ์เคยประสบ ซึ่งเปาโลระบุไว้ในจดหมายฉบับแรกที่เขียนถึงพวกเขา เป็นความสับสนจากมุมมองที่ต่างกันเรื่องข้อห้ามในการกินอาหารบางอย่าง (1 คร.10:27-30) แต่การกระทำของเราเอาชนะอุปสรรคและความสับสนได้ เช่นเดียวกับที่เปาโลกล่าวไว้ในข้อพระคำวันนี้ เราควรแสดงให้ผู้คนเห็นว่าจะติดตามพระเยซูอย่างไรโดยการกระทำของเรา เพื่อเห็นแก่ “ประโยชน์ของคนทั้งหลาย” (10:32-33) เราเชิญชวนโลกให้เชื่อในพระองค์เมื่อเรา “ปฏิบัติตามอย่างพระคริสต์” (11:1)
ดังเช่นบางคนเคยกล่าวไว้ “จงสอนพระกิตติคุณตลอดเวลา พูดเมื่อจำเป็น” เมื่อเราติดตามการทรงนำของพระเยซู ขอพระองค์ทรงชี้นำการกระทำของเราให้นำผู้อื่นสู่ความจริงแห่งความเชื่อของเรา และขอให้คำพูดและการกระทำทั้งหมดของเราเป็นไปเพื่อ “เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (10:31)