ลิงบาบูน ลา และฉัน
แจ็ครู้วิธีเบี่ยงรถไฟให้ไปถูกราง ตลอดเวลาเก้าปีในหน้าที่ เขาไม่เคยสับรางพลาดเมื่อได้ยินเสียงนกหวีดบอกทิศทางที่จะไปจากหัวรถจักรที่แล่นเข้าใกล้สถานีเมืองออยเทนฮาเก ประเทศแอฟริกาใต้
แจ็คเป็นลิงบาบูนชัคม่า อยู่ในการดูแลของเจมส์ ไวด์ ซึ่งเป็นพนักงานส่งสัญญาณรถไฟ และแจ็คเองก็คอยดูแลเจมส์ด้วย ไวด์เสียขาทั้งสองข้างจากการพลัดตกระหว่างกระโดดขึ้นลงรถไฟสองขบวนที่กำลังเคลื่อนที่ เขาฝึกแจ็คให้ช่วยงานในบ้าน และไม่นานแจ็คก็กลายเป็นผู้ช่วยในงานของเขาด้วย มันเรียนรู้วิธีตอบสนองต่อสัญญาณรถไฟที่กำลังมาถึงโดยดึงคันโยกสับรางตามสัญญาณ
พระคัมภีร์กล่าวถึงสัตว์อีกชนิดที่ช่วยเหลือคนด้วยวิธีที่น่าประหลาดใจ ซึ่งก็คือลาของบาลาอัม บาลาอัมเป็นผู้เผยพระวจนะของชาวต่างชาติซึ่งรับใช้กษัตริย์ที่ต้องการจะทำอันตรายแก่อิสราเอล ระหว่างทางที่บาลาอัมขี่ลาของตนไปช่วยกษัตริย์ “พระเจ้าเปิดปากลา” มันจึงพูดกับบาลาอัม (กดว.22:28) คำพูดของลาเป็นส่วนหนึ่งในวิธีที่พระเจ้าทรงเบิก “ตาบาลาอัม” (ข้อ 31) เพื่อเตือนเขาถึงอันตรายที่จะมาถึง และห้ามเขาไม่ให้ทำร้ายประชากรของพระองค์
ลิงบาบูนสับรางรถไฟหรือลาพูดได้น่ะหรือ แล้วจะทำไมล่ะ ถ้าพระเจ้าทรงสามารถใช้สัตว์แสนอัศจรรย์เหล่านี้เพื่อพระประสงค์อันดี ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเชื่อว่าพระองค์ทรงสามารถใช้คุณและผมได้ด้วยเช่นกัน จงมองและแสวงหากำลังจากพระองค์ เราจะสามารถทำได้มากยิ่งกว่าที่เราเคยคิดว่าจะเป็นไปได้
ผู้ทรงค้ำจุนพระพร
วันที่ 15 มกราคม 1919 ถังเก็บกากน้ำตาลขนาดใหญ่ระเบิดในบอสตัน กากน้ำตาลมากกว่าสองล้านแกลลอนพุ่งสูงถึง 15 ฟุตเป็นคลื่นพัดผ่านถนนด้วยความเร็วกว่า 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กวาดเอารางรถไฟ อาคาร ผู้คนและสัตว์ไป กากน้ำตาลอาจดูเหมือนไม่น่าจะสร้างปัญหาได้ แต่ในวันนั้นมันเป็นอันตรายจนถึงตายได้ มีผู้เสียชีวิต 21 คนและได้รับบาดเจ็บมากกว่า 150 คน
บางครั้งกระทั่งสิ่งดีๆ เช่นกากน้ำตาลก็อาจทำให้เราสูญเสียอย่างไม่คาดคิด ก่อนที่คนอิสราเอลจะเข้าสู่ดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับพวกเขา โมเสสเตือนประชาชนว่าอย่าอวดตัวในสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ “เกรงว่า เมื่อท่านได้รับประทานอิ่มหนำ ได้สร้างบ้านเรือนดีๆ และได้อาศัยอยู่ในนั้น และเมื่อฝูงวัวและฝูงแพะแกะของท่านทวีขึ้น มีเงินทองมากขึ้น จิตใจของท่านทั้งหลายจะผยองขึ้น และท่านทั้งหลายก็ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย” พวกเขาจะต้องไม่ถือว่าความมั่งคั่งนี้มาจากกำลังหรือความสามารถของตนเอง ในทางกลับกัน โมเสสกล่าวว่า “จงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้” (ฉธบ.8:12-14, 17-18)
สิ่งดีทั้งหมด รวมถึงสุขภาพกายและทักษะที่จำเป็นในการหาเลี้ยงชีพเป็นพระพรจากพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก แม้เมื่อเราทำงานหนัก ก็เป็นพระองค์เองที่ทรงค้ำจุนเราไว้ โอ ให้เรารับพระพรของเราด้วยมือที่เปิดกว้าง เพื่อเราจะสรรเสริญพระเจ้าในพระเมตตาที่ทรงประทานแก่เราด้วยใจกตัญญู!
หายไป ได้พบ ชื่นชมยินดี
“พวกเขาเรียกผมว่า ‘เจ้าแห่งแหวน’ จนในปีนี้ผมได้พบแหวนที่หายไป 167 วงแล้ว” ระหว่างที่ผมเดินเล่นบนชายหาดกับคารี่ภรรยา เราหยุดพูดคุยกับชายสูงอายุที่ใช้เครื่องตรวจจับโลหะเพื่อสแกนบริเวณชายหาดใต้แนวคลื่น “บางครั้งก็มีชื่ออยู่ที่แหวน” เขาอธิบาย “และผมชอบที่ได้เห็นหน้าเจ้าของตอนที่ผมส่งแหวนคืน ผมจะโพสต์แจ้งไว้ในช่องทางออนไลน์และตรวจดูว่ามีใครติดต่อแผนกของหายไหม หลายปีมานี้ผมได้พบแหวนหลายวงที่หายไป” เมื่อเราเอ่ยว่า ผมก็ชอบที่จะตรวจจับโลหะเช่นกันแต่ไม่ได้ทำบ่อยนัก คำพูดของเขาขณะจากกันคือ “คุณไม่มีทางรู้ จนกว่าคุณจะออกไป!”
เราพบ “การค้นหาและการช่วยกู้” อีกแบบหนึ่งในลูกาบทที่ 15 พระเยซูทรงถูกวิจารณ์เรื่องการเอาใจใส่คนบาปที่ห่างไกลพระเจ้า (ข้อ 1-2) เพื่อตอบสนองคำพูดนั้น พระองค์ตรัสสามเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่หายไปและได้พบอีก คือ แกะเงินเหรียญและบุตรชาย ชายที่พบแกะที่หายไปนั้น “ก็ยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ เมื่อถึงบ้านแล้ว จึงเชิญพวกมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดกับเขาว่า ‘จงเปรมปรีดิ์กับข้าพเจ้าเถิด’ ” (ลก.15:5-6) จุดสูงสุดของเรื่องราวทั้งหมดคือ การได้ค้นพบคนที่หลงหายไปเพื่อพระคริสต์ และความปีติยินดีที่เกิดขึ้นเพราะได้พบกับพวกเขาในพระองค์
พระเยซูเสด็จมา “เพื่อจะเที่ยวหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด” (19:10) และพระองค์ทรงเรียกเราให้ติดตามพระองค์โดยรักคนทั้งหลายที่กลับมาหาพระเจ้า (มธ.28:19) ความชื่นชมยินดีที่ได้เห็นผู้อื่นกลับใจมาหาพระองค์นั้นรอคอยเราอยู่ เราจะไม่มีทางรู้จนกว่าเราจะออกไป
คำอธิษฐานที่ล้ำค่า
นกคลาร์ก นัทแคร็กเกอร์เป็นนกมหัศจรรย์ ทุกปีมันจะเตรียมการสำหรับฤดูหนาวโดยการซ่อนเมล็ดสนเปลือกขาวขนาดเล็กสี่หรือห้าเมล็ด เป็นจำนวนมากถึงห้าร้อยเมล็ดต่อชั่วโมง หลายเดือนหลังจากนั้นมันจะกลับมาขุดเมล็ดพืชที่ซ่อนไว้ขึ้นมาแม้จะอยู่ใต้ชั้นหิมะลึกลงไป นกคลาร์ก นัทแคร็กเกอร์ อาจจดจำจุดที่มันซ่อนเมล็ดพืชไว้ได้มากถึงหนึ่งหมื่นแห่ง ซึ่งเป็นความสามารถที่น่าทึ่ง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงขีดจำกัดของมนุษย์ในการจดจำตำแหน่งที่เราวางกุญแจรถหรือแว่นตาไว้)
แต่ความสามารถในการจดจำที่เหลือเชื่อนี้ไม่อาจเทียบได้กับพระปรีชาสามารถของพระเจ้าในการจดจำคำอธิษฐานของเรา พระองค์ทรงเก็บรายละเอียดของทุกคำอธิษฐานที่ออกจากใจ ทรงจดจำและตอบคำอธิษฐานเหล่านั้นแม้ในอีกหลายปีต่อมา ในพระธรรมวิวรณ์อัครทูตยอห์นบรรยายถึง “สัตว์ทั้งสี่” และ“ผู้อาวุโสยี่สิบสี่คน” ที่นมัสการพระเจ้าในสวรรค์ แต่ละคน “ถือขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งปวง” (5:8)
เช่นเดียวกับที่เครื่องหอมเป็นสิ่งมีค่าในสมัยโบราณ คำอธิษฐานของเราก็มีค่าสำหรับพระเจ้าจนพระองค์ทรงเก็บมันไว้ในขันทองคำจำเพาะพระพักตร์พระองค์ตลอดเวลา! คำอธิษฐานของเรามีความหมายต่อพระเจ้าเพราะเราสำคัญสำหรับพระองค์ และพระองค์ทรงยอมให้เราเข้ามาใกล้โดยไม่ถูกขัดขวางผ่านพระเมตตาที่เราไม่สมควรได้รับในพระเยซู (ฮบ.4:14-16) ดังนั้นจงอธิษฐานด้วยใจกล้าหาญ! และจงรู้เถิดว่า เพราะความรักอันอัศจรรย์ของพระเจ้า จะไม่มีคำอธิษฐานใดที่ถูกลืมหรืออยู่ผิดที่ผิดเวลา
ยึดพระวจนะของพระเจ้า
ห่วงเหล็กหล่อหยาบๆซึ่งแขวนติดกับขอบประตูบ้านไร่เก่าๆของคุณตาผม ยังคงยึดแน่นต้านทานฤดูหนาวอันโหดร้ายของมินนิโซตา ห่างออกไปกว่า 30 เมตร มีห่วงอีกอันยึดติดกับประตูโรงรีดนม เมื่อเกิดพายุหิมะ คุณตาจะผูกเชือกระหว่างห่วงทั้งสองเพื่อจะหาทางจากบ้านไปโรงรีดนมได้ การจับเชือกให้แน่นช่วยให้ท่านไม่หลงทางในหิมะอันหนาทึบ
การใช้เชือกนิรภัยในพายุหิมะของคุณตาทำให้ผมนึกถึงวิธีที่ดาวิดใช้บทกวีฮีบรูเพื่อตามรอยว่า พระปัญญาของพระเจ้านำทางชีวิตเราให้ผ่านพ้นและปกป้องเราจากความบาปและความผิดพลาดได้อย่างไร “กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริงและชอบธรรมทั้งสิ้น น่าปรารถนามากกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองนพคุณมากนัก หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงจากรวง อนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นที่ตักเตือนผู้รับใช้ของพระองค์ การที่จะรักษาข้อความเหล่านั้นก็ได้บำเหน็จอันใหญ่ยิ่ง” (สดด.19:9-11)
การยึดมั่นความจริงจากพระวจนะที่องค์พระวิญญาณผู้ซึ่งทำงานในจิตใจของเราได้ทรงบอกไว้ จะปกป้องเราไม่ให้หลงทางและช่วยให้เราเลือกทำสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าและผู้อื่น พระคัมภีร์เตือนเราไม่ให้หลงไปจากพระเจ้าและสำแดงถึงหนทางที่เราจะกลับมาบ้าน ทั้งยังบอกเราถึงความรักอันประเมินค่ามิได้ขององค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา และพระพรที่รอคอยทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ พระคัมภีร์คือเชือกนำทาง! ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เรายึดมันไว้เสมอ
บ้านแท้ของหัวใจ
“บ๊อบบี้สุนัขมหัศจรรย์” เป็นสุนัขคอลลี่พันธุ์ผสมที่พลัดกับครอบครัวตอนพวกเขาไปเที่ยวในช่วงฤดูร้อนห่างจากบ้านกว่า 3,500 กม. ครอบครัวตามหาสุนัขแสนรักทั่วทุกที่ แต่ต้องใจสลายกลับบ้านโดยไม่พบมัน
หกเดือนต่อมา เข้าช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว บ๊อบบี้ที่ผอมแห้งแต่มุ่งมั่นปรากฏตัวขึ้นที่หน้าบ้านของพวกเขาในเมืองซิลเวอร์ตัน รัฐออริกอน จะด้วยวิธีใดก็ตามบ๊อบบี้ได้ผ่านการเดินทางที่ยาวนานและอันตราย ข้ามแม่น้ำ ทะเลทราย และภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเพื่อหาทางกลับบ้านสู่คนที่มันรัก
การมุ่งมั่นค้นหาของบ๊อบบี้เป็นแรงบันดาลใจให้หนังสือ ภาพยนตร์ และจิตรกรรมฝาผนังในเมืองเกิดของมัน ความทุ่มเทของมันแตะต้องใจ อาจเป็นเพราะพระเจ้าใส่ความปรารถนาอันลึกซึ้งยิ่งกว่าไว้ในหัวใจเรา ออกัสตินนักศาสนศาสตร์ในอดีตอธิบายไว้ว่า “พระองค์ทรงสร้างเราไว้สำหรับพระองค์ และจิตใจของเราจะไม่สงบจนกว่าจะได้พักอยู่ในพระองค์” ความปรารถนาแบบเดียวกันนี้ถูกแสดงออกอย่างสิ้นหวังแต่ยังมุ่งมั่นโดยดาวิด ในคำอธิษฐานขณะที่ท่านซ่อนตัวจากคนที่ต้องการตัวท่านในถิ่นทุรกันดารของยูดาห์ “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ในดินแดนที่แห้งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ” (สดด.63:1)
ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าเพราะ “ความรัก..ของพระองค์ดีกว่าชีวิต”(ข้อ3)ไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับการได้รู้จักพระองค์! พระเจ้าเสาะหาเราและเตรียมหนทางผ่านพระเยซูเพื่อเราจะกลับไปหาความรักที่สมบูรณ์แบบของพระองค์ ไม่ว่าเราจะเคยอยู่ไกลเพียงใด เมื่อกลับไปหาพระองค์เราจะพบบ้านที่แท้จริงของหัวใจ
ความเชื่อที่มีจินตนาการ
“ปู่ ครับดูสิ ต้นไม้พวกนั้นกำลังโบกมือให้พระเจ้า!” ขณะที่เรามองดูต้นเบิร์ชโน้มไปตามกระแสลมก่อนพายุจะมา ข้อสังเกตที่น่าตื่นเต้นของหลานชายทำให้ผมยิ้ม และผมยังต้องถามตัวเองว่า ผมมีความเชื่อที่มีจินตนาการแบบนั้นหรือเปล่า
เมื่อคิดใคร่ครวญถึงเรื่องของโมเสสและพุ่มไม้ไฟ กวีเอลิซาเบ็ธ บาร์แร็ต บราวน์นิ่ง ประพันธ์ไว้ว่า “สวรรค์ลงมาเติมเต็มโลก / บรรดาพุ่มไม้ธรรมดาลุกโชติช่วงด้วยพระเจ้า / แต่ผู้ที่มองเห็นเท่านั้นจึงจะถอดรองเท้า” พระหัตถกิจของพระเจ้าปรากฏอยู่ในสิ่งมหัศจรรย์ที่ทรงสร้างไว้รอบตัวเรา และวันหนึ่งเมื่อโลกถูกสร้างใหม่ เราจะได้เห็นสิ่งเหล่านั้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
พระเจ้าทรงบอกเราถึงวันนั้นเมื่อทรงประกาศผ่านผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “เจ้าจะออกไปด้วยความชื่นบานและถูกนำไปด้วยสวัสดิภาพ ภูเขาและเนินเขาเปล่งเสียงร้องเพลงข้างหน้าเจ้า และต้นไม้ทั้งสิ้นในท้องทุ่งจะตบมือของมัน” (อสย.55:12) ภูเขาร้องเพลง ต้นไม้ตบมือ สิ่งนี้เป็นไปได้ เปาโลกล่าวว่า “สรรพ-สิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าในเสรีภาพ และศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า” (รม.8:21)
ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสถึงศิลาที่ส่งเสียงร้อง (ลก.19:40) ถ้อยคำของพระองค์สะท้อนคำพยากรณ์ของอิสยาห์ถึงสิ่งที่รอคอยอยู่ข้างหน้าสำหรับผู้ที่ได้รับความรอดในพระองค์ เมื่อเรามองไปที่พระองค์ด้วยความเชื่อที่จินตนาการถึงสิ่งซึ่งพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ เราก็จะได้เห็นความอัศจรรย์ของพระองค์อย่างต่อเนื่องเรื่อยไปเป็นนิตย์!
เทียนไขที่ส่องสว่าง
เป็นเวลาเที่ยงวันแล้วแต่กลับมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ วันแห่งความมืดในนิวอิงแลนด์เริ่มขึ้นในเช้าวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ.1780 และกินเวลานานหลายชั่วโมง สาเหตุของความมืดที่ดูเหมือนฝันนี้น่าจะมาจากกลุ่มควันหนาทึบจากไฟป่าครั้งใหญ่ในแคนาดา แต่หลายคนสงสัยว่านี่อาจจะเป็นวันพิพากษา
สภาคอนเนตทิคัต (วุฒิสภา) อยู่ในสมัยประชุม และเมื่อบางคนพิจารณาให้เลื่อนออกไปเพราะความมืด อับราฮัม ดาเวนพอร์ตตอบว่า “ผมไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนประชุม วันพิพากษาอาจกำลังใกล้เข้ามาหรือไม่ก็ตาม หากไม่ใช่ก็ไม่มีเหตุให้เลื่อน แต่ถ้าใช่ ผมก็เลือกที่จะถูกพบว่ากำลังทำหน้าที่ของผมอยู่ ฉะนั้นผมใคร่ขอให้นำเทียนไขมาจุด”
ความปรารถนาของดาเวนพอร์ตที่จะถูกพบว่าเขากำลังทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายอย่างสัตย์ซื่อในวันที่ทรงเสด็จกลับมา นั่นแสดงถึงคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่ พวกท่านเองจงเหมือนคนที่คอยรับนายของตน เมื่อนายจะกลับมาจากงานสมรส เพื่อเมื่อนายมาเคาะประตูแล้ว เขาจะเปิดให้นายทันทีได้ บ่าวซึ่งนายมาพบกำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข” (ลก.12:35-37)
ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เป็นการดีเสมอที่จะรับใช้พระผู้ช่วยให้รอดของเรา แม้เมื่อความมืดย่างกรายมา พระสัญญาสำหรับทุกคนที่รอคอยพระองค์จะดำรงอยู่ เฉกเช่นเทียนไขในความมืด ขอให้ “ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็น” (มธ.5:16TNCV) และรัก และรับใช้พระองค์ด้วยเช่นกัน
เมื่อคำอธิษฐานเขย่าแผ่นดินโลก
ดร. แกรี่ กรีนเบิร์กได้ถ่ายภาพขยายเม็ดทรายจากชายหาดทั่วโลก ที่มักจะเปิดเผยให้เห็นสีสันสดใสและน่าประหลาดใจจากแร่ธาตุ เปลือกหอย และเศษปะการังที่อยู่ภายใน
เขาค้นพบว่าทรายมีอะไรมากกว่าที่ตามองเห็น ในสาขาวิชาการศึกษาเม็ดทราย การวิเคราะห์ปริมาณแร่ธาตุในทรายด้วยกล้องจุลทรรศน์สามารถบอกเราได้มากเกี่ยวกับการกัดเซาะ กระแสน้ำชายฝั่ง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อแนวชายฝั่ง แม้แต่เม็ดทรายเล็กๆยังให้ข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่ง!
คำอธิษฐานหนึ่งก็เหมือนกับเม็ดทรายเม็ดหนึ่งที่มีความสำคัญ พระคัมภีร์กล่าวถึงบทบาทอันทรงพลังของคำอธิษฐานในอาณาจักรของพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง ในวิวรณ์ 8 ยอห์นเห็นทูตสวรรค์ยืนอยู่ที่แท่นบูชาต่อหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า ถือกระถางไฟทองคำที่บรรจุ “คำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งปวง...แล้วทูตสวรรค์องค์นั้นก็นำกระถางไปบรรจุไฟจากแท่นจนเต็ม และโยนกระถางนั้นลงบนแผ่นดินโลก ทำให้มีเสียงฟ้าร้อง เสียงต่างๆ ฟ้าแลบและแผ่นดินไหว” (ข้อ 3,5)
ทันทีหลังจากที่ทูตสวรรค์ขว้างกระถางไฟที่เต็มไปด้วยไฟและคำอธิษฐาน ทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือแตรทั้งเจ็ดนั้นก็ “เตรียมพร้อมที่จะเป่า” (ข้อ 6) เพื่อประกาศวาระสุดท้ายของแผ่นดินโลกเก่าและการเสด็จกลับมาของพระคริสต์
บางครั้งเราอาจไม่รู้สึกว่าคำอธิษฐานของเรามีค่าถึงขนาดนั้น แต่พระเจ้าไม่เคยมองข้ามเลย พระองค์ให้คุณค่าอย่างมากจนคำอธิษฐานมีบทบาทต่อการมาถึงของอาณาจักรของพระองค์ สิ่งที่เราคิดว่าเป็นคำอธิษฐานที่เล็กน้อยที่สุดสำหรับเรา กลับมีน้ำหนักในการเขย่าโลกสำหรับพระองค์!