ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย James Banks

จดจำที่จะสรรเสริญ

เมื่อตอนที่สมาชิกคริสตจักรของเราสร้างอาคารหลังแรก พวกเขาเขียนคำขอบคุณเป็นที่ระลึกไว้บนโครงคร่าวผนังและพื้นคอนกรีตก่อนที่งานภายในจะเสร็จสมบูรณ์ ถ้ารื้อผนังเบาออกคุณจะเห็นข้อความเหล่านั้นบนโครงคร่าว ข้อพระคัมภีร์หลายต่อหลายข้อถูกเขียนไว้ข้างๆคำอธิษฐานสรรเสริญเช่น “พระองค์ประเสริฐยิ่งนัก” เราปล่อยให้ข้อความเหล่านั้นอยู่ที่นั่นเพื่อเป็นพยานแก่คนรุ่นหลังว่า ถึงแม้เราจะมีปัญหาแต่พระเจ้าทรงเมตตาและดูแลพวกเรา

เราต้องจดจำถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อเราและบอกเล่าให้ผู้อื่นได้รู้ อิสยาห์ทำเป็นตัวอย่างเมื่อท่านบันทึกว่า “ข้าพเจ้าจะกล่าวให้คิดถึงความรักมั่นคงแห่งพระเจ้า บรรดากิจการอันน่าสรรเสริญของพระเจ้า ตามบรรดาซึ่งพระเจ้าประทานแก่พวกเรา” (อสย.63:7) ต่อมาผู้เผยพระวจนะยังได้เล่าถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ตลอดเวลาที่ผ่านมา กระทั่งบอกว่า “พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของเขา” (ข้อ 9) แต่ถ้าคุณอ่านพระวจนะต่อไป คุณจะสังเกตเห็นว่าอิสราเอลตกอยู่ในความยากลำบากอีกครั้ง และผู้เผยพระวจนะวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า

การระลึกถึงพระเมตตาของพระเจ้าในอดีตจะช่วยเราในเวลาที่เกิดปัญหา ฤดูกาลแห่งความยากลำบากผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ความสัตย์ซื่อของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เมื่อเราหันมาหาพระองค์ด้วยหัวใจกตัญญูในสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงทำ เราจะค้นพบอีกครั้งว่าพระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญจากเราเสมอ

พี่เซาโล

“พระองค์เจ้าข้า โปรดส่งข้าพระองค์ไปที่ใดก็ได้ยกเว้นที่นั่น” นั่นคือคำอธิษฐานของผมตอนเป็นวัยรุ่น ก่อนที่จะยื่นเรื่องไปเรียนต่างแดนในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนหนึ่งปี ผมไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน แต่รู้ว่าไม่อยากไปที่ไหน ผมพูดภาษาของประเทศนั้นไม่ได้ และใจของผมเต็มไปด้วยอคติต่อประเพณีและผู้คนที่นั่น ดังนั้นผมจึงขอให้พระเจ้าทรงส่งผมไปที่อื่น

แต่โดยพระปัญญาอันไม่สิ้นสุดของพระเจ้า พระองค์ทรงส่งผมมายังสถานที่ที่ผมขอว่าจะไม่ไป ซึ่งผมดีใจมากที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น! เพราะสี่สิบปีต่อมา ผมยังมีเพื่อนๆที่รักในดินแดนนั้น เมื่อผมแต่งงาน สเตฟานเพื่อนเจ้าบ่าวก็มาจากที่นั่น เมื่อเขาแต่งงาน ผมก็บินไปที่นั่นเพื่อเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เขา และเรากำลังวางแผนการที่จะไปเยือนอีกครั้งในเร็วๆนี้

สิ่งสวยงามเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลง! การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแสดงให้เห็นด้วยคำพูดแค่สองคำ “พี่เซาโล” (กจ.9:17)

คำพูดนั้นมาจากอานาเนีย ผู้เชื่อที่พระเจ้าทรงเรียกให้รักษาตาของเซาโลทันทีหลังจากที่ท่านกลับใจ (ข้อ 10-12) อานาเนียขัดขืนในตอนแรก เพราะการกระทำรุนแรงของเซาโลในอดีต โดยทูลอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์” (ข้อ 13)

แต่อานาเนียเชื่อฟังและเดินทางไป และเพราะเขาเปลี่ยนแปลงจิตใจ อานาเนียได้พี่ชายคนใหม่ในความเชื่อ เซาโลกลายเป็นที่รู้จักในนามเปาโล และข่าวประเสริฐของพระเยซูก็แพร่ออกไปด้วยฤทธิ์เดช โดยพระองค์การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นเป็นไปได้เสมอ!

นิ่งสงบต่อพระพักตร์พระเจ้า

ภาพถ่ายภาพแรกที่เป็นรูปบุคคลนั้นถ่ายโดยหลุยส์ ดิแกร์ในปีค.ศ. 1838 ในภาพมีเพียงชายคนเดียวบนถนนที่ว่างเปล่าในกรุงปารีสยามบ่าย แต่ภาพนั้นดูมีความลึกลับที่ซ่อนอยู่ ถนนและทางเท้าควรจะพลุกพล่านไปด้วยการจราจรของรถม้าและผู้คนที่เดินไปมาในช่วงเวลานั้นของวัน แต่กลับไม่สามารถเห็นสิ่งเหล่านั้นได้

ชายคนนั้นไม่ได้อยู่ตามลำพัง มีผู้คนและม้ามากมายอยู่ที่นั่นบนถนนบูเลอวาร์ด ดู เทมเปิลอันยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ใช้ถ่ายภาพนี้ สิ่งเหล่านั้นเพียงแค่ไม่ได้ปรากฏขึ้นบนภาพ เวลาในการเปิดรับแสงของกระบวนการถ่ายภาพ(ที่เรียกว่าดิแกโรไทป์) ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดนาทีเพื่อบันทึกภาพ ซึ่งทุกสิ่งจำเป็นต้องหยุดนิ่งในระหว่างนั้น การที่มีเพียงชายบนทางเท้าคนเดียวที่ปรากฏบนภาพนั้น ก็เพราะเขาเป็นสิ่งเดียวที่ยืนนิ่ง เขากำลังยืนให้คนขัดรองเท้าบูทให้

บางครั้งการนิ่งสงบก็ทำให้เกิดความสำเร็จขณะที่การเคลื่อนไหวและความพยายามไม่สามารถทำได้ พระเจ้าทรงบอกประชากรของพระองค์ในพระธรรมสดุดี 46:10 ว่า “จงนิ่งเสียและรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” แม้เมื่อประชาชาติ “อลหม่าน” (ข้อ 6) และ “แผ่นดินโลก” สั่นไหว (ข้อ 2) ผู้ที่วางใจในพระเจ้าด้วยความนิ่งสงบจะค้นพบพระองค์ ผู้ทรงเป็น “ความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” (ข้อ 1)

ในภาษาฮีบรูคำว่า “นิ่งสงบ” สามารถแปลอีกแบบหนึ่งว่า “หยุดดิ้นรน” เมื่อเราพักพิงในพระเจ้าแทนที่จะพึ่งพาความพยายามที่มีขีดจำกัดของเรา เราจะพบว่าพระองค์ทรงเป็น “ที่ลี้ภัยและกำลัง” (ข้อ 1) ของเราที่ไม่มีสิ่งใดจะโจมตีได้

ฟังเสียงพระเจ้า

ย้อนกลับไปในช่วงที่ผมต้องขับรถไปมหาวิทยาลัยและขับกลับบ้าน เส้นทางที่ไปบ้านของเราในทะเลทรายช่างแห้งแล้งน่าเบื่อหน่าย เพราะเป็นถนนที่ทอดยาวเป็นทางตรงทำให้หลายครั้งผมขับเร็วเกินควร ครั้งแรกตำรวจทางหลวงเพียงแค่ตักเตือน ครั้งต่อมาผมก็ได้ใบสั่ง และได้ใบสั่งอีกครั้งที่จุดเดียวกัน

การปฏิเสธไม่รับฟังสามารถส่งผลร้ายตามมา ตัวอย่างหนึ่งที่น่าเศร้าในเรื่องนี้มาจากชีวิตของโยสิยาห์ กษัตริย์ที่แสนดีและสัตย์ซื่อ เมื่อเนโคกษัตริย์ของอียิปต์เคลื่อนทัพผ่านเขตแดนของยูดาห์เพื่อไปช่วยอัสซีเรียรบกับบาบิโลน โยสิยาห์ยกทัพมาขัดขวาง เนโคได้ส่งทูตมาทูลโยสิยาห์ว่า “พระเจ้าทรงบัญชาเราให้เร่งรีบ ขอยับยั้งการขัดขวางพระเจ้าผู้ทรงสถิตกับเรา” (2พศด.35:21) พระเจ้าทรงส่งเนโคมาจริงๆ แต่โยสิยาห์ “มิได้ฟังพระดำรัสของเนโคที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า แต่เข้ารบ ณ ที่ราบเมกิดโด” (ข้อ 22) โยสิยาห์ได้รับบาดเจ็บสาหัสในการสู้รบ และ “ยูดาห์และเยรูซาเล็มทั้งปวงได้ไว้ทุกข์ให้โยสิยาห์” (ข้อ 24)

โยสิยาห์กษัตริย์ผู้รักพระเจ้าค้นพบว่า การยืนกรานตามวิธีของตัวเองโดยไม่ใช้เวลาในการฟังพระสุรเสียงและพระปัญญาของพระเจ้าผ่านผู้อื่นไม่เคยได้ผลลัพธ์ที่ดีเลย ขอพระเจ้าโปรดประทานความถ่อมใจที่จำเป็นแก่เรา เพื่อจะตรวจสอบตัวเราเองเสมอ และรับเอาพระปัญญาของพระองค์มาไว้ในหัวใจของเรา

ลิงบาบูน ลา และฉัน

แจ็ครู้วิธีเบี่ยงรถไฟให้ไปถูกราง ตลอดเวลาเก้าปีในหน้าที่ เขาไม่เคยสับรางพลาดเมื่อได้ยินเสียงนกหวีดบอกทิศทางที่จะไปจากหัวรถจักรที่แล่นเข้าใกล้สถานีเมืองออยเทนฮาเก ประเทศแอฟริกาใต้

แจ็คเป็นลิงบาบูนชัคม่า อยู่ในการดูแลของเจมส์ ไวด์ ซึ่งเป็นพนักงานส่งสัญญาณรถไฟ และแจ็คเองก็คอยดูแลเจมส์ด้วย ไวด์เสียขาทั้งสองข้างจากการพลัดตกระหว่างกระโดดขึ้นลงรถไฟสองขบวนที่กำลังเคลื่อนที่ เขาฝึกแจ็คให้ช่วยงานในบ้าน และไม่นานแจ็คก็กลายเป็นผู้ช่วยในงานของเขาด้วย มันเรียนรู้วิธีตอบสนองต่อสัญญาณรถไฟที่กำลังมาถึงโดยดึงคันโยกสับรางตามสัญญาณ

พระคัมภีร์กล่าวถึงสัตว์อีกชนิดที่ช่วยเหลือคนด้วยวิธีที่น่าประหลาดใจ ซึ่งก็คือลาของบาลาอัม บาลาอัมเป็นผู้เผยพระวจนะของชาวต่างชาติซึ่งรับใช้กษัตริย์ที่ต้องการจะทำอันตรายแก่อิสราเอล ระหว่างทางที่บาลาอัมขี่ลาของตนไปช่วยกษัตริย์ “พระเจ้าเปิดปากลา” มันจึงพูดกับบาลาอัม (กดว.22:28) คำพูดของลาเป็นส่วนหนึ่งในวิธีที่พระเจ้าทรงเบิก “ตาบาลาอัม” (ข้อ 31) เพื่อเตือนเขาถึงอันตรายที่จะมาถึง และห้ามเขาไม่ให้ทำร้ายประชากรของพระองค์

ลิงบาบูนสับรางรถไฟหรือลาพูดได้น่ะหรือ แล้วจะทำไมล่ะ ถ้าพระเจ้าทรงสามารถใช้สัตว์แสนอัศจรรย์เหล่านี้เพื่อพระประสงค์อันดี ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเชื่อว่าพระองค์ทรงสามารถใช้คุณและผมได้ด้วยเช่นกัน จงมองและแสวงหากำลังจากพระองค์ เราจะสามารถทำได้มากยิ่งกว่าที่เราเคยคิดว่าจะเป็นไปได้

ผู้ทรงค้ำจุนพระพร

วันที่ 15 มกราคม 1919 ถังเก็บกากน้ำตาลขนาดใหญ่ระเบิดในบอสตัน กากน้ำตาลมากกว่าสองล้านแกลลอนพุ่งสูงถึง 15 ฟุตเป็นคลื่นพัดผ่านถนนด้วยความเร็วกว่า 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กวาดเอารางรถไฟ อาคาร ผู้คนและสัตว์ไป กากน้ำตาลอาจดูเหมือนไม่น่าจะสร้างปัญหาได้ แต่ในวันนั้นมันเป็นอันตรายจนถึงตายได้ มีผู้เสียชีวิต 21 คนและได้รับบาดเจ็บมากกว่า 150 คน

บางครั้งกระทั่งสิ่งดีๆ เช่นกากน้ำตาลก็อาจทำให้เราสูญเสียอย่างไม่คาดคิด ก่อนที่คนอิสราเอลจะเข้าสู่ดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับพวกเขา โมเสสเตือนประชาชนว่าอย่าอวดตัวในสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ “เกรงว่า เมื่อท่านได้รับประทานอิ่มหนำ ได้สร้างบ้านเรือนดีๆ และได้อาศัยอยู่ในนั้น และเมื่อฝูงวัวและฝูงแพะแกะของท่านทวีขึ้น มีเงินทองมากขึ้น จิตใจของท่านทั้งหลายจะผยองขึ้น และท่านทั้งหลายก็ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย” พวกเขาจะต้องไม่ถือว่าความมั่งคั่งนี้มาจากกำลังหรือความสามารถของตนเอง ในทางกลับกัน โมเสสกล่าวว่า “จงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้” (ฉธบ.8:12-14, 17-18)

สิ่งดีทั้งหมด รวมถึงสุขภาพกายและทักษะที่จำเป็นในการหาเลี้ยงชีพเป็นพระพรจากพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก แม้เมื่อเราทำงานหนัก ก็เป็นพระองค์เองที่ทรงค้ำจุนเราไว้ โอ ให้เรารับพระพรของเราด้วยมือที่เปิดกว้าง เพื่อเราจะสรรเสริญพระเจ้าในพระเมตตาที่ทรงประทานแก่เราด้วยใจกตัญญู!

หายไป ได้พบ ชื่นชมยินดี

“พวกเขาเรียกผมว่า ‘เจ้าแห่งแหวน’ จนในปีนี้ผมได้พบแหวนที่หายไป 167 วงแล้ว” ระหว่างที่ผมเดินเล่นบนชายหาดกับคารี่ภรรยา เราหยุดพูดคุยกับชายสูงอายุที่ใช้เครื่องตรวจจับโลหะเพื่อสแกนบริเวณชายหาดใต้แนวคลื่น “บางครั้งก็มีชื่ออยู่ที่แหวน” เขาอธิบาย “และผมชอบที่ได้เห็นหน้าเจ้าของตอนที่ผมส่งแหวนคืน ผมจะโพสต์แจ้งไว้ในช่องทางออนไลน์และตรวจดูว่ามีใครติดต่อแผนกของหายไหม หลายปีมานี้ผมได้พบแหวนหลายวงที่หายไป” เมื่อเราเอ่ยว่า ผมก็ชอบที่จะตรวจจับโลหะเช่นกันแต่ไม่ได้ทำบ่อยนัก คำพูดของเขาขณะจากกันคือ “คุณไม่มีทางรู้ จนกว่าคุณจะออกไป!”

เราพบ “การค้นหาและการช่วยกู้” อีกแบบหนึ่งในลูกาบทที่ 15 พระเยซูทรงถูกวิจารณ์เรื่องการเอาใจใส่คนบาปที่ห่างไกลพระเจ้า (ข้อ 1-2) เพื่อตอบสนองคำพูดนั้น พระองค์ตรัสสามเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่หายไปและได้พบอีก คือ แกะเงินเหรียญและบุตรชาย ชายที่พบแกะที่หายไปนั้น “ก็ยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ เมื่อถึงบ้านแล้ว จึงเชิญพวกมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดกับเขาว่า ‘จงเปรมปรีดิ์กับข้าพเจ้าเถิด’ ” (ลก.15:5-6) จุดสูงสุดของเรื่องราวทั้งหมดคือ การได้ค้นพบคนที่หลงหายไปเพื่อพระคริสต์ และความปีติยินดีที่เกิดขึ้นเพราะได้พบกับพวกเขาในพระองค์

พระเยซูเสด็จมา “เพื่อจะเที่ยวหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด” (19:10) และพระองค์ทรงเรียกเราให้ติดตามพระองค์โดยรักคนทั้งหลายที่กลับมาหาพระเจ้า (มธ.28:19) ความชื่นชมยินดีที่ได้เห็นผู้อื่นกลับใจมาหาพระองค์นั้นรอคอยเราอยู่ เราจะไม่มีทางรู้จนกว่าเราจะออกไป

คำอธิษฐานที่ล้ำค่า

นกคลาร์ก นัทแคร็กเกอร์เป็นนกมหัศจรรย์ ทุกปีมันจะเตรียมการสำหรับฤดูหนาวโดยการซ่อนเมล็ดสนเปลือกขาวขนาดเล็กสี่หรือห้าเมล็ด เป็นจำนวนมากถึงห้าร้อยเมล็ดต่อชั่วโมง หลายเดือนหลังจากนั้นมันจะกลับมาขุดเมล็ดพืชที่ซ่อนไว้ขึ้นมาแม้จะอยู่ใต้ชั้นหิมะลึกลงไป นกคลาร์ก นัทแคร็กเกอร์ อาจจดจำจุดที่มันซ่อนเมล็ดพืชไว้ได้มากถึงหนึ่งหมื่นแห่ง ซึ่งเป็นความสามารถที่น่าทึ่ง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงขีดจำกัดของมนุษย์ในการจดจำตำแหน่งที่เราวางกุญแจรถหรือแว่นตาไว้)

แต่ความสามารถในการจดจำที่เหลือเชื่อนี้ไม่อาจเทียบได้กับพระปรีชาสามารถของพระเจ้าในการจดจำคำอธิษฐานของเรา พระองค์ทรงเก็บรายละเอียดของทุกคำอธิษฐานที่ออกจากใจ ทรงจดจำและตอบคำอธิษฐานเหล่านั้นแม้ในอีกหลายปีต่อมา ในพระธรรมวิวรณ์อัครทูตยอห์นบรรยายถึง “สัตว์ทั้งสี่” และ“ผู้อาวุโสยี่สิบสี่คน” ที่นมัสการพระเจ้าในสวรรค์ แต่ละคน “ถือขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งปวง” (5:8)

เช่นเดียวกับที่เครื่องหอมเป็นสิ่งมีค่าในสมัยโบราณ คำอธิษฐานของเราก็มีค่าสำหรับพระเจ้าจนพระองค์ทรงเก็บมันไว้ในขันทองคำจำเพาะพระพักตร์พระองค์ตลอดเวลา! คำอธิษฐานของเรามีความหมายต่อพระเจ้าเพราะเราสำคัญสำหรับพระองค์ และพระองค์ทรงยอมให้เราเข้ามาใกล้โดยไม่ถูกขัดขวางผ่านพระเมตตาที่เราไม่สมควรได้รับในพระเยซู (ฮบ.4:14-16) ดังนั้นจงอธิษฐานด้วยใจกล้าหาญ! และจงรู้เถิดว่า เพราะความรักอันอัศจรรย์ของพระเจ้า จะไม่มีคำอธิษฐานใดที่ถูกลืมหรืออยู่ผิดที่ผิดเวลา

ยึดพระวจนะของพระเจ้า

ห่วงเหล็กหล่อหยาบๆซึ่งแขวนติดกับขอบประตูบ้านไร่เก่าๆของคุณตาผม ยังคงยึดแน่นต้านทานฤดูหนาวอันโหดร้ายของมินนิโซตา ห่างออกไปกว่า 30 เมตร มีห่วงอีกอันยึดติดกับประตูโรงรีดนม เมื่อเกิดพายุหิมะ คุณตาจะผูกเชือกระหว่างห่วงทั้งสองเพื่อจะหาทางจากบ้านไปโรงรีดนมได้ การจับเชือกให้แน่นช่วยให้ท่านไม่หลงทางในหิมะอันหนาทึบ

การใช้เชือกนิรภัยในพายุหิมะของคุณตาทำให้ผมนึกถึงวิธีที่ดาวิดใช้บทกวีฮีบรูเพื่อตามรอยว่า พระปัญญาของพระเจ้านำทางชีวิตเราให้ผ่านพ้นและปกป้องเราจากความบาปและความผิดพลาดได้อย่างไร “กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริงและชอบธรรมทั้งสิ้น น่าปรารถนามากกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองนพคุณมากนัก หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงจากรวง อนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นที่ตักเตือนผู้รับใช้ของพระองค์ การที่จะรักษาข้อความเหล่านั้นก็ได้บำเหน็จอันใหญ่ยิ่ง” (สดด.19:9-11)

การยึดมั่นความจริงจากพระวจนะที่องค์พระวิญญาณผู้ซึ่งทำงานในจิตใจของเราได้ทรงบอกไว้ จะปกป้องเราไม่ให้หลงทางและช่วยให้เราเลือกทำสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าและผู้อื่น พระคัมภีร์เตือนเราไม่ให้หลงไปจากพระเจ้าและสำแดงถึงหนทางที่เราจะกลับมาบ้าน ทั้งยังบอกเราถึงความรักอันประเมินค่ามิได้ขององค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา และพระพรที่รอคอยทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ พระคัมภีร์คือเชือกนำทาง! ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เรายึดมันไว้เสมอ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา