ข้อความ ปัญหา และชัยชนะ
จิมมี่ไม่ยอมให้สถานการณ์ความไม่สงบ อันตราย และความยากลำบากขัดขวางเขาไม่ให้เดินทางไปยังหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกเพื่อหนุนใจบรรดาคู่สามีภรรยาผู้รับใช้พระเจ้า ข้อความมากมายที่ส่งกลับมายังทีมของเราอย่างสม่ำเสมอทำให้ทราบถึงอุปสรรคหลายอย่างที่เขาต้องเจอ “เอาล่ะทุกคน เปิดใช้งานเครือข่ายอธิษฐาน สองชั่วโมงที่ผ่านมาเราเดินทางได้แค่สิบหกกิโลเมตร...เครื่องยนต์รถร้อนจัดเป็นสิบรอบแล้ว” อุปสรรคในการเดินทางทำให้เขาไปถึงไม่นานก่อนเที่ยงคืนไม่นานนัก เพื่อเทศนาให้กับผู้คนที่มารอถึงห้าชั่วโมง ต่อมาเราได้รับข้อความที่ต่างออกไป “ช่างเป็นการสามัคคีธรรมที่ยอดเยี่ยมและน่าชื่นใจ...มีคนนับสิบออกมารับการอธิษฐาน เป็นค่ำคืนที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์เดชจริงๆ !”
การรับใช้พระเจ้าอย่างสัตย์ซื่ออาจเป็นเรื่องท้าทาย แบบอย่างแห่งความเชื่อมากมายในพระธรรมฮีบรู 11 ก็คงเห็นพ้องกัน เพราะความเชื่อในพระเจ้า ชายและหญิงธรรมดาเหล่านี้ได้เผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากและยากจะเข้าใจ “บางคนต้องทนต่อคำเยาะเย้ยและการถูกโบยตี และยังถูกล่ามโซ่และถูกขังคุกด้วย” (ข้อ 36) ความเชื่อของพวกเขาทำให้ต้องเสี่ยงอันตรายและพึ่งพาพระเจ้าในผลที่จะตามมา สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับเราเช่นกัน การดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออาจไม่ได้นำเราไปเสี่ยงอันตรายยังที่ห่างไกล แต่อาจนำพาเราไปยังอีกฝั่งของถนน อีกฟากของมหาวิทยาลัย หรือที่นั่งว่างในห้องอาหารหรือห้องประชุม เสี่ยงภัยไหม ก็อาจจะใช่ แต่บำเหน็จที่จะได้รับไม่ว่าในตอนนี้หรือในวันข้างหน้า จะคุ้มค่าต่อความเสี่ยงแน่นอน เมื่อพระเจ้าทรงช่วยเรา
กล้ายืนหยัดเพื่อพระเยซู
ในค.ศ.155 โพลิคาร์ปบิดาแห่งคริสตจักรยุคแรกถูกข่มขู่ว่าจะถูกเผาให้ตายเพราะความเชื่อในพระคริสต์ ท่านตอบว่า “แปดสิบหกปีที่ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์นั้น พระองค์ไม่เคยทำสิ่งใดผิดต่อข้าพเจ้าเลย แล้วข้าพเจ้าจะหมิ่นพระเกียรติกษัตริย์ผู้ทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าได้อย่างไร” การตอบสนองของโพลิคาร์ปสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับเราเมื่อต้องเผชิญการทดลองที่หนักหน่วงเพราะความเชื่อในพระเยซู กษัตริย์ของเรา
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนพระเยซูจะสิ้นพระชนม์ เปโตรให้คำมั่นอย่างกล้าหาญว่าจะจงรักภักดีต่อพระคริสต์ “ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์” (ยน.13:37) พระเยซูผู้ทรงรู้จักเปโตรดีกว่าที่เปโตรรู้จักตัวเอง ตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” (ข้อ 38) อย่างไรก็ตามหลังการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู คนๆเดิมที่ปฏิเสธพระองค์ได้เริ่มต้นรับใช้พระองค์อย่างกล้าหาญ และในที่สุดได้ถวายเกียรติแด่พระองค์ด้วยการตายของท่านเอง (ดู 21:16-19)
คุณเป็นโพลิคาร์ปหรือเปโตร หากยอมรับอย่างซื่อตรงพวกเราส่วนใหญ่มัก “ขาดความกล้า” เหมือนเปโตร คือล้มเหลวในการพูดหรือแสดงออกอย่างมีเกียรติในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในห้องเรียน ห้องประชุมหรือห้องพัก ไม่ใช่สิ่งที่นิยามตัวตนของเราอย่างถาวร เมื่อความล้มเหลวเหล่านั้นเกิดขึ้น เราต้องสารภาพบาปด้วยใจอธิษฐานและหันกลับมาหาพระเยซู ผู้ทรงสิ้นพระชนม์และทรงพระชนม์อยู่เพื่อเรา พระองค์จะทรงช่วยให้เราสัตย์ซื่อต่อพระองค์และดำเนินชีวิตอย่างกล้าหาญเพื่อพระองค์ทุกวันในสถานการณ์อันยากลำบาก
เต็นท์ที่อ่อนแรง
“เต็นท์นี้อ่อนแรงแล้ว!” พอลเพื่อนของผมผู้เป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรในกรุงไนโรบี ประเทศเคนย่าพูดขึ้น ตั้งแต่ปี 2015 สมาชิกคริสตจักรนมัสการร่วมกันในสถานที่คล้ายเต็นท์ ตอนนี้พอลเขียนว่า “เต็นท์ของเราขาดและมันรั่วเมื่อฝนตก”
คำพูดของเพื่อนผมเกี่ยวกับโครงสร้างของเต็นท์ที่อ่อนแอนั้นทำให้เรานึกถึงคำพูดของอัครทูตเปาโลเกี่ยวกับความเปราะบางในการดำรงอยู่ของมนุษย์ “กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป...เราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์” (2คร.4:16; 5:4)
แม้เราจะรับรู้ได้ถึงความเปราะบางในการดำรงอยู่ของมนุษย์ตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิต แต่เราจะตระหนักรู้ถึงมันมากขึ้นเมื่ออายุของเราเพิ่มขึ้น ที่จริงแล้วเวลาขโมยหลายสิ่งไปจากเราโดยไม่รู้ตัว กำลังแห่งวัยหนุ่มสาวพ่ายแพ้ต่อความเป็นจริงแห่งวัยชราอย่างห้ามไม่ได้ (ดู ปญจ.12:1-7) ร่างกายหรือเต็นท์ของเรานั้นเริ่มอ่อนแรงแล้ว
แต่ร่างกายที่อ่อนแรงไม่จำเป็นว่าจะต้องมีความเชื่อที่อ่อนแรง ความหวังและหัวใจของเราไม่จำเป็นต้องร่วงโรยไปเมื่อเราแก่ชราลง เปาโลกล่าวว่า “เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ” (2คร.4:16) พระองค์ผู้ทรงสร้างร่างกายของเราได้ประทับอยู่ที่นั่นด้วยโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ และเมื่อร่างกายนี้ไม่สามารถรับใช้เราได้อีกต่อไป เราจะมีที่อาศัยที่จะไม่แตกสลายหรือเจ็บปวด แต่เราจะมี “ที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์”
วิ่งไปหาพระเยซู
ขณะท่องเที่ยวในปารีส เบ็นและพวกเพื่อนๆได้แวะที่พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของเมือง แม้ว่าเบ็นจะไม่ได้เรียนด้านศิลปะ แต่เขารู้สึกอัศจรรย์ใจขณะเพ่งดูภาพวาดชื่อ อัครสาวกเปโตรและยอห์นกำลังวิ่งไปที่อุโมงค์ในเช้าของวันฟื้นคืนพระชนม์ ซึ่งวาดโดยยูจีน เบอร์นันด์ โดยไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ สีหน้าของเปโตรและยอห์น และตำแหน่งของมืออธิบายถึงความรู้สึกอย่างชัดเจน เชิญชวนผู้ชมให้เข้าอกเข้าใจและร่วมแบ่งปันอารมณ์ที่คุกรุ่นบนภาพนั้น
จากพระธรรมยอห์น 20:1-10 ภาพวาดได้แสดงให้เห็นว่าคนทั้งสองกำลังวิ่งไปยังอุโมงค์ที่ว่างเปล่าของพระเยซู (ข้อ 4) ผลงานชิ้นเอกนี้แสดงถึงความขัดแย้งทางอารมณ์ของสาวกทั้งสอง แม้ว่าในเวลานั้นความเชื่อของพวกเขายังไม่สมบูรณ์ แต่เขากำลังวิ่งไปในทิศทางที่ถูกต้อง และในที่สุดพระเยซูผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ได้ทรงปรากฏพระองค์เองต่อพวกเขา (ข้อ 19-29) การแสวงหาของพวกเขาไม่ได้แตกต่างไปจากผู้แสวงหาพระเยซูคนอื่นๆในตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าเราอาจไม่ได้มีประสบการณ์ของอุโมงค์ที่ว่างเปล่าหรือได้เห็นผลงานศิลปะที่น่าอัศจรรย์ใจ แต่เรายังคงมองเห็นข่าวดีนั้นได้อย่างชัดเจน พระคัมภีร์บอกเราให้มีความหวัง แสวงหา และวิ่งไปในทิศทางของพระเยซูและความรักของพระองค์ แม้ในยามที่เรามีความสงสัย มีคำถาม และความไม่แน่นอน ในวันพรุ่งนี้ขณะที่เราเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ ขอให้เราระลึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (ยรม.29:13)
ในยามที่คับแค้นใจ
หลายปีที่แล้วเพื่อนคนหนึ่งบอกผมว่า เธอรู้สึกกลัวมากขณะพยายามจะข้ามถนนที่ตัดกันหลายสาย “ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย ทุกอย่างที่ฉันถูกสอนมาเกี่ยวกับการข้ามถนนดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์เลย ฉันกลัวมากจนต้องยืนรอรถโดยสารอยู่ตรงหัวมุมถนน และขอคนขับที่จะกรุณาให้ฉันนั่งไปลงที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ฉันใช้เวลานานมากกว่าจะเรียนรู้วิธีข้ามทางแยกนี้ได้สำเร็จ ทั้งในฐานะคนเดินถนนและคนขับรถในเวลาต่อมา”
เช่นเดียวกับความซับซ้อนของแยกถนนที่อันตราย การหาวิธีจัดการกับชีวิตที่มีความซับซ้อนอาจเป็นเรื่องอันตรายยิ่งกว่า แม้สถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงของผู้เขียนพระธรรมสดุดีในบทที่ 118 จะมีความไม่แน่นอน แต่เราก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องยากและควรจะต้องอธิษฐาน ผู้เขียนสดุดีร้องทูลว่า “ข้าพเจ้าได้ร้องทูลพระเจ้า จากที่คับแค้นใจของข้าพเจ้า” (ข้อ 5) และความมั่นใจในพระเจ้าของท่านไม่ได้ผิดไป “มีพระเจ้าอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่กลัว...พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า เป็นผู้ทรงช่วยข้าพเจ้า” (ข้อ 6-7)
ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เราจะรู้สึกกลัวเมื่อต้องเปลี่ยนงาน เปลี่ยนโรงเรียนหรือย้ายบ้าน ความวิตกกังวลเกิดขึ้นเมื่อสุขภาพย่ำแย่ ความสัมพันธ์เปลี่ยนไป หรือสูญเสียทรัพย์สิน แต่ความท้าทายเหล่านี้ไม่ได้แปลว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งเรา ในยามที่คับแค้นใจ ขอให้เรายิ่งเข้าไปสู่การทรงสถิตของพระองค์ด้วยคำอธิษฐาน
ความกรุณาต่อคุณและผม
หนึ่งในผลกระทบที่ตามมาจากการระบาดของโควิด 19 คือการเทียบท่าเรือสำราญและกักตัวผู้โดยสาร หนังสือพิมพ์ วอลล์สตรีทเจอนัล เสนอบทความพิเศษที่มีการสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวบางคน โดยให้แสดงความคิดเห็นว่าการกักตัวเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยกันมากขึ้นอย่างไรบ้าง มีผู้โดยสารรายหนึ่งพูดติดตลกว่า คู่สมรสของตนซึ่งมีความจำดีเยี่ยมสามารถหยิบยกความผิดทุกอย่างที่เขาเคยทำมาได้ และเขารู้สึกได้ว่าเธอยังไม่จบ!
เรื่องราวเช่นนี้อาจทำให้เรายิ้ม เตือนเราถึงความเป็นมนุษย์ปุถุชนและให้สติเราว่า เรามักจะยึดติดเกินไปกับสิ่งที่เราควรจะปล่อยวาง แต่กระนั้นจะมีสิ่งใดที่ช่วยให้เรามีความกรุณาต่อผู้ที่ทำร้ายเราได้บ้าง ให้เรามองดูพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเราตามที่พระองค์ทรงเปิดเผยให้เห็นในพระคัมภีร์ตอนต่างๆ อย่างเช่นสดุดี 103:8-12
การแปลความของพระคัมภีร์ฉบับเดอะแมสเสจ (The Message) ในข้อ 8-10 นั้นน่าสนใจ “พระเจ้าทรงพระกรุณาและมีพระคุณ ทรงกริ้วช้าและอุดมด้วยความรักมั่นคง พระองค์จะไม่ทรงจับผิด ดุว่า หรือทรงกริ้วอยู่เป็นนิตย์ พระองค์มิได้ทรงปฏิบัติต่อเราตามเรื่องบาปของเรา หรือทรงลงโทษอย่างเต็มขนาดตามความบาปผิดของเรา” การทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในขณะที่เราอ่านพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน อาจทำให้เราเปลี่ยนความคิดในเรื่องแผนมุ่งร้ายที่จะเอาคืนหรือลงโทษ และอาจกระตุ้นให้เราอธิษฐานเพื่อตัวเองและเผื่อคนเหล่านั้นที่เราอาจถูกทดลองให้ทำร้ายพวกเขาด้วยการไม่สำแดงพระคุณ ความเมตตากรุณา และการให้อภัย
การกลับใจที่ได้รับพร
“พัง” (Broke) เป็นฉายาที่เกรดี้ใช้และตัวอักษรห้าตัวนี้ถูกใส่ลงไปบนแผ่นป้ายทะเบียนรถของเขาอย่างภาคภูมิ แม้ไม่ได้ตั้งใจให้มีความหมายฝ่ายวิญญาณ แต่ชื่อนี้ก็เข้ากับการเป็นนักพนัน คนสำส่อนและคนหลอกลวงในวัยกลางคนอย่างเขา ชีวิตของเขาพัง เขาล้มละลายและห่างไกลจากพระเจ้า แต่ทั้งหมดนั้นเปลี่ยนไปในค่ำวันหนึ่งเมื่อเขารู้สึกสำนึกผิดโดยการทรงนำของพระวิญญาณในห้องพักของโรงแรม เขาบอกกับภรรยาว่า “ผมคิดว่า ผมกำลังจะได้รับความรอด!” ค่ำวันนั้นเขาสารภาพบาปที่เคยคิดว่าจะเอาลงหลุมศพไปพร้อมกับตัวเขาต่อพระเยซู และขอให้พระองค์ทรงอภัยให้ 30 ปีต่อมาชายที่ไม่คิดว่าจะอยู่จนอายุ 40 ยังคงมีชีวิตอยู่และรับใช้พระเจ้าในฐานะผู้เชื่อที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระเยซู แผ่นป้ายทะเบียนรถของเขาก็เปลี่ยนจาก “พัง” เป็น “กลับใจ” ด้วยเช่นกัน
กลับใจ นั่นคือสิ่งที่เกรดี้ทำ และนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้ชนชาติอิสราเอลทำในพระธรรมโฮเชยา 14:1-2 “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาหา พระเยโฮ-วาห์พระเจ้าของเจ้า...จงนำถ้อยคำมาด้วยและกลับมาหาพระเจ้า จงทูลพระองค์ว่า ‘ขอทรงโปรดยกความผิดบาปทั้งหมด ขอทรงรับสิ่งดี’” ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก จะมากหรือน้อยก็ตาม ความบาปของเราทำให้เราแยกจากพระเจ้า แต่ช่องว่างนั้นถูกปิดลงได้โดยการหันจากความบาปกลับมาหาพระเจ้า และรับการอภัยที่พระองค์ประทานผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เชื่อในพระเยซูที่กำลังเผชิญความทุกข์ยาก หรือเป็นผู้ที่มีชีวิตเหมือนเกรดี้ การอภัยโทษบาปของคุณอยู่ห่างเพียงแค่การอธิษฐาน
การกู้ภัยน้ำลึก
ปริมาณน้ำฝนที่ตกในเมืองเวเวอร์ลีย์ รัฐเทนเนสซี่ในเดือนสิงหาคม ปี 2564 นั้นมีมากกว่าที่พยากรณ์ไว้ถึงสามเท่า ผลที่ตามมาภายหลังพายุอันรุนแรงนี้ มีผู้เสียชีวิตยี่สิบคนและบ้านเรือนหลายร้อยหลังถูกทำลาย หากไม่ใช่ด้วยจิตใจที่มีเมตตาและความเชี่ยวชาญของนักบินเฮลิคอปเตอร์ชื่อ โจเอล โบเยอส์ จำนวนผู้เสียชีวิตคงมีมากกว่านี้
นักบินนำเครื่องขึ้นหลังได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นห่วงคนที่เธอรัก นอกจากบ้านที่ถูกไฟไหม้และรถยนต์ที่ติดอยู่บนต้นไม้ โบเยอส์บอกว่า “ข้างล่างนั่นมันไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำโคลนที่ไหลเชี่ยว” อย่างไรก็ตาม เขาสามารถช่วยชีวิต 12 คนที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านได้อย่างกล้าหาญ
บ่อยครั้งที่ชีวิตของเราต้องเผชิญสถานการณ์คับขันเหมือนกระแสน้ำท่วมที่พัดเราให้หมุนวนไป ในเวลาแห่งความไม่แน่นอนและไม่มั่นคง เราอาจมีความรู้สึกท่วมท้น ไม่ปลอดภัย จน “เกินรับไหว” ทั้งทางจิตใจ ความรู้สึก และจิตวิญญาณ แต่เราไม่จำเป็นต้องสิ้นหวัง
ในสดุดี 18 เราอ่านพบว่าศัตรูของดาวิดมีมากมายและมีกำลังมาก แต่พระเจ้าของท่านยิ่งใหญ่กว่า ยิ่งใหญ่เพียงใดน่ะหรือ ทรงยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ (ข้อ 1) จนดาวิดต้องใช้การเปรียบเทียบหลายอย่าง (ข้อ 2) เพื่อพรรณนาถึงพระองค์ พระเจ้าทรงอานุภาพพอที่จะช่วยชีวิตท่านจากน้ำลึกและศัตรูผู้เข้มแข็ง (ข้อ 16-17) ยิ่งใหญ่เพียงใดหรือ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่พอที่เราจะร้องเรียกหาพระองค์โดยพระนามของพระเยซู ไม่ว่า “น้ำ” ที่ล้อมรอบชีวิตของเราอยู่จะมากมายหรือลึกสักเพียงใด (ข้อ 3)
ครัวเรือนซึ่งไม่แตกแยก
วันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ.1858 อับราฮัม ลินคอล์นในฐานะผู้ชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯคนใหม่จากรัฐอิลลินอยส์ในนามพรรครีพับลิกัน ได้กล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดังเรื่อง “ครัวเรือนซึ่งแตกแยก” ที่เน้นถึงความตึงเครียดระหว่างกลุ่มต่างๆในอเมริกาเกี่ยวกับระบบทาส ซึ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่มิตรและศัตรูของเขา ลินคอล์นรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะใช้คำอุปมา “ครัวเรือนซึ่งแตกแยก” ที่พระเยซูตรัสในมัทธิว 12:25 เพราะเป็นที่รู้จักและเข้าใจง่าย เขาจึงใช้อุปมานี้ “เพื่อที่จะปะทะความคิดผู้คนเพื่อปลุกพวกเขาให้พ้นภัยในช่วงเวลาต่างๆ”
ในขณะที่ครัวเรือนซึ่งแตกแยกจะตั้งอยู่ไม่ได้ ความหมายโดยนัยก็คือครัวเรือนซึ่งไม่แตกแยกจะตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว โดยหลักการแล้วนี่คือสิ่งที่ครอบครัวของพระเจ้าถูกออกแบบให้เป็น (อฟ.2:19) ซึ่งแม้จะประกอบด้วยคนที่มีภูมิหลังหลากหลาย แต่พวกเราได้คืนดีกับพระเจ้า (และกับกันและกัน) ผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนกางเขน (ข้อ 14-16) เมื่อคำนึงถึงความจริงนี้ (ดู อฟ.3) เปาโลมอบคำสอนนี้แก่ผู้เชื่อในพระเยซูว่า “จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพัน-ธนะ” (4:3)
ปัจจุบันเมื่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นได้คุกคามเพื่อแบ่งแยกผู้คนซึ่งเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เช่น ครอบครัวของเราและเพื่อนผู้เชื่อ พระเจ้าทรงสามารถที่จะประทานปัญญาและกำลังที่จำเป็นเพื่อคงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันโดยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณ สิ่งนี้จะทำให้เราเป็นแสงสว่างในโลกที่มืดมิดและแตกแยก