ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Anne Cetas

โน้มลงมา

คุณแม่ยังสาวเดินตามลูกสาวที่กำลังปั่นจักรยานคันเล็กของเธอด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่ขาเล็กๆของเธอจะทำได้ แต่เพราะใช้ความเร็วมากเกินไป เด็กน้อยจึงพลัดตกลงมาและส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่ข้อเท้า แม่ของเธอค่อยๆคุกเข่าและโน้มตัวลงจูบที่ข้อเท้าของเด็กน้อยเพื่อ “ให้ความเจ็บปวดนั้นหายไป” และมันได้ผล! เด็กน้อยลุกขึ้นและปีนกลับขึ้นไปบนจักรยานแล้วไปต่อ คุณไม่อยากให้ความเจ็บปวดของเราหายไปง่ายๆอย่างนั้นบ้างหรือ!

อัครทูตเปาโลได้รับการปลอบประโลมจากพระเจ้าท่ามกลางการต่อสู้ที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในพระธรรม 2 โครินธ์ 11:23-29 ท่านได้พูดถึงบททดสอบมากมายที่ท่านต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการถูกเฆี่ยน ถูกโบยตี ถูกเอาก้อนหินขว้าง ต้องอดหลับอดนอน ต้องทนหิว และความห่วงใยที่มีต่อคริสตจักรทั้งปวง ท่านเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็น “พระบิดาผู้ทรงความเมตตา พระเจ้าแห่งความชูใจทุกอย่าง” (1:3) หรือที่อีกฉบับหนึ่งแปลว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบิดาผู้ประทานความรักอันอ่อนโยน” (ฉบับ NIRV) เช่นเดียวกับแม่ที่ปลอบโยนลูกของเธอ พระเจ้าก็ทรงโน้มพระองค์ลงมาเพื่อดูแลเราด้วยความอ่อนโยนในยามที่เราเจ็บปวด

พระเจ้ามีวิธีการมากมายและหลากหลายในการปลอบโยนเราด้วยความรัก พระองค์อาจประทานข้อพระคัมภีร์หนุนใจเราให้ก้าวเดินต่อไป หรือให้มีคนส่งข้อความพิเศษมาให้ หรือให้เพื่อนโทรมาหาเราและพูดในสิ่งที่แตะต้องใจ แม้ว่าการต่อสู้จะยังคงอยู่ แต่เพราะพระเจ้าทรงโน้มลงมาช่วยเรา เราจึงสามารถลุกขึ้นและไปต่อได้

ความเชื่อที่ลงมือทำ

เย็นวันหนึ่งในเดือนมิถุนายนปี 2021 พายุทอร์นาโดพัดผ่านชุมชนแห่งหนึ่งและทำลายโรงนาของครอบครัว นับเป็นความสูญเสียที่น่าเศร้าเพราะโรงนาตั้งอยู่ในที่ดินของครอบครัวมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1800 ขณะที่จอห์นและบาร์บขับรถผ่านมาเพี่อจะไปโบสถ์ในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาเห็นความเสียหายและคิดว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม พวกเขาจึงหยุดรถและเข้าไปสอบถามจนได้รู้ว่าครอบครัวนี้ต้องการคนมาช่วยเก็บกวาด พวกเขาเลี้ยวรถอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านแล้วมาช่วยเก็บกวาดซากความเสียหายจากพายุตลอดวันนั้น พวกเขาได้สำแดงความเชื่อด้วยการกระทำในขณะที่พวกเขาช่วยเหลือครอบครัวนั้น

ยากอบกล่าวว่า “ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผล” (ยก.2:26) ท่านยกตัวอย่างของอับราฮัมที่เชื่อฟังติดตามพระเจ้าเมื่อไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ใด (ข้อ 23; ดู ปฐก.12:1-4; 15:6 ฮบ.11:8) ยากอบยังได้พูดถึงนางราหับ ที่ได้สำแดงความเชื่อในพระเจ้าของอิสราเอล เมื่อเธอซ่อนผู้สอดแนมที่ลอบเข้ามาในเมืองเยรีโค (ยก.2:25; ดู ยชว.2; 6:17)

“แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ประพฤติตาม” (ยก.2:14) ก็ไม่ส่งผลดีอะไรแก่พวกเขา “ความเชื่อคือราก การทำดีคือผล” แมทธิว เฮนรี่กล่าว “และเราต้องมั่นใจว่าเรามีทั้งสองอย่าง” พระเจ้าไม่ได้ต้องการการทำดีของเรา แต่ความเชื่อของเราพิสูจน์ได้ด้วยการกระทำ

รักและพึ่งพาพระเจ้า

แซคเป็นคนตลก ฉลาด และเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน แต่เขาต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าโดยไม่มีใครรู้ หลังจากที่เขาฆ่าตัวตายเมื่ออายุสิบห้าปี ลอรี่ผู้เป็นแม่พูดถึงเขาว่า “ยากที่จะเข้าใจจริงๆว่าคนคนหนึ่งที่ได้รับอะไรดีๆมากมายขนาดนี้จะมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และแซคเองก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นของการฆ่าตัวตาย” มีช่วงเวลาในความเงียบที่ลอรี่ได้ระบายความโศกเศร้าของเธอต่อพระเจ้า เธอบอกว่าความโศกเศร้าลึกๆหลังการฆ่าตัวตายคือ “ความเศร้าเสียใจที่มากยิ่งกว่าครั้งใดๆ” แต่เธอและครอบครัวได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้าและผู้อื่นเพื่อจะมีความเข้มแข็ง และตอนนี้พวกเขากำลังใช้เวลาที่มีเพื่อจะรักผู้อื่นที่กำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้า

คติประจำใจของลอรี่จึงเป็น “รักและพึ่งพา” แนวคิดนี้มาจากเรื่องราวของนางรูธในพันธสัญญาเดิม นาโอมีสูญเสียสามีและลูกชายสองคน ซึ่งคนหนึ่งได้แต่งงานกับรูธ (นรธ.1:3-5) ด้วยความชอกช้ำและหดหู่ใจ นางนาโอมีเร่งเร้าให้รูธกลับไปหาครอบครัวของแม่ที่เธอจะได้ไปดูแล แม้รูธจะโศกเศร้าแต่ก็ “เกาะ” แม่สามีและสัญญาว่าจะอยู่กับเธอและดูแลเธอ (ข้อ 14-17) ทั้งสองกลับไปที่เบธเลเฮมบ้านเกิดของนางนาโอมีที่ซึ่งรูธจะเป็นคนต่างชาติ แต่พวกเขามีกันและกันที่จะคอยรักและพึ่งพากัน และพระเจ้าทรงเลี้ยงดูพวกเขา (2:11-12)

ในช่วงเวลาที่เราโศกเศร้า ความรักของพระเจ้ายังอยู่มั่นคง เรามีพระองค์ให้พึ่งพาได้เสมอ ในขณะที่เราพึ่งพาและรักผู้อื่นด้วยกำลังของพระองค์

อยู่รอดและรุ่งเรือง

เดอะครู้ดส์เป็นครอบครัวมนุษย์ถ้ำในหนังแอนิเมชั่นเรื่อง มนุษย์ถ้ำผจญภัย ที่เชื่อว่า “ทางเดียวที่จะรอดคือการที่ทุกคน [ในครอบครัวเล็กๆของพวกเขา]อยู่ด้วยกัน” พวกเขาหวาดกลัวโลกและสิ่งต่างๆ ดังนั้นเมื่อต้องหาที่อาศัยที่ปลอดภัย พวกเขากลับตกอยู่ในความกลัวเมื่อพบว่า มีครอบครัวหนึ่งที่ประหลาดตั้งรกราก อยู่ก่อนแล้วในบริเวณที่พวกเขาเลือก แต่ต่อมาพวกเขาก็เรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่างของเพื่อนบ้านใหม่ รับเอาความแข็งแกร่งจากพวกเขา และเอาชีวิตรอดไปด้วยกัน พวกเขาค้นพบความสุขในการอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านและพวกเขาต้องการผู้อื่นเพื่อจะดำเนินชีวิตได้เต็มที่

การเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์อาจเป็นการเสี่ยง เพราะคนอื่นทำให้เราเจ็บปวดได้ แต่พระเจ้าทรงให้คนของพระองค์อยู่ร่วมกันในพระกายคือคริสตจักรเพื่อให้เกิดผลดี เราจะโตเป็นผู้ใหญ่ในการสามัคคีธรรมกับผู้อื่น (อฟ.4:13) เราเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระองค์ให้ช่วยเรา “มีใจถ่อมลงทุกอย่างและใจอ่อนสุภาพ” และ “อดทนนาน” (ข้อ 2) เราช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยการก่อกันขึ้น “ด้วยความรัก” (ข้อ 16) เมื่อเราอยู่ร่วมกัน เราใช้ของประทานที่มีและเรียนรู้จากการใช้ของประทานของผู้อื่น ซึ่งจะช่วยเกื้อหนุนเราในการดำเนินกับพระเจ้าและรับใช้พระองค์

เมื่อพระองค์ทรงนำ ถ้าคุณยังไม่พบที่ของคุณให้มองหาในท่ามกลางคนของพระเจ้าคุณจะทำได้มากกว่าการอยู่รอด ในการแบ่งปันความรักคุณจะได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าและเติบโตเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น และขอให้เราทุกคนพึ่งพาพระองค์ในขณะที่เราเติบโตขึ้นในความสัมพันธ์กับพระเยซูและผู้อื่น

เดินเคียงข้างผู้อื่น

บิลลี่สุนัขใจดีและซื่อสัตย์กลายเป็นดาราในอินเทอร์เน็ตในปี 2020 รัสเซลเจ้าของบิลลี่ข้อเท้าหักและใช้ไม้ค้ำยันเวลาเดิน ต่อมาไม่นานบิลลี่เริ่มเดินกะโผลกกะเผลกเวลาที่เดินไปกับเจ้าของ ด้วยความเป็นห่วงรัสเซลจึงพาบิลลี่ไปหาสัตวแพทย์ซึ่งบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ! บิลลี่วิ่งเป็นปกติเวลาอยู่ตามลำพัง ปรากฏว่าบิลลี่แกล้งเดินกะเผลกเวลาเดินกับเจ้าของ นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าการพยายามเข้าใจในความเจ็บปวดของคนอื่นอย่างแท้จริง!

การอยู่เคียงข้างผู้อื่นคือสิ่งสำคัญในลำดับแรกๆที่เปาโลสอนคริสตจักรในกรุงโรม ท่านสรุปห้าข้อสุดท้ายของบัญญัติสิบประการว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (รม.13:9) เราเห็นความสำคัญของการเดินเคียงข้างผู้อื่นในข้อ 8 ด้วยว่า “อย่าเป็นหนี้อะไรใคร นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน”

นักเขียน เจนนี่ อัลเบอส์ ให้คำแนะนำไว้ว่า “เวลาที่มีคนชอกช้ำ อย่าพยายามแก้ไขเขา (คุณทำไม่ได้) เวลาที่มีคนเจ็บปวด อย่าพยายามเอาความเจ็บนั้นไปจากเขา (คุณทำไม่ได้) แต่จงรักพวกเขาด้วยการเดินเคียงข้างไปกับเขาในความเจ็บปวดนั้น (คุณทำได้) เพราะบางครั้งสิ่งที่คนเราต้องการคือ การรู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”

เพราะพระเยซูองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเดินเคียงข้างไปกับเราผ่านความเสียใจและความเจ็บปวด เราจึงรู้ว่าการเดินเคียงข้างผู้อื่นนั้นมีความหมายเพียงใด

ปรารถนาอยากมีบ้าน

ในนวนิยายเรื่อง โลกของแอนน์ แอนน์ซึ่งเป็นตัวละครหลักปรารถนาอยากมีครอบครัว เธอเป็นเด็กกำพร้าที่หมดหวังกับการหาที่ซึ่งเธอจะเรียกได้ว่าบ้าน วันหนึ่งเธอได้ยินว่าชายสูงวัยชื่อ แมทธิวและมาริลลาน้องสาวของเขาจะรับเธอไปเลี้ยง ในระหว่างนั่งรถม้ากลับไปบ้าน แอนน์ขอโทษที่พูดมาก แต่แมทธิวที่เป็นคนพูดน้อยบอกว่า “เธออยากพูดมากแค่ไหนก็ได้ ฉันไม่ว่าหรอก” แอนน์ดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น เธอรู้สึกว่าไม่มีใครอยากให้เธออยู่ใกล้ๆ และยิ่งไม่อยากฟังเธอพูด เมื่อมาถึงบ้าน ความหวังของเธอพังทลายเมื่อได้รู้ว่าพี่น้องคู่นี้คิดว่าจะรับเลี้ยงเด็กผู้ชายเพื่อให้มาช่วยทำงานในฟาร์ม เธอกลัวว่าจะถูกส่งกลับ แต่ความปรารถนาของแอนน์ที่จะมีบ้านแห่งความรักก็เป็นจริงเมื่อพวกเขารับเธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

เราทุกคนต่างเคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกไม่เป็นที่ต้องการหรือโดดเดี่ยว แต่เมื่อเรากลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าผ่านทางความรอดในพระเยซูแล้ว พระองค์จะเป็นบ้านที่ปลอดภัยให้แก่เรา (สดด.62:2) พระองค์ทรงยินดีในเรา และชวนให้เราพูดคุยกับพระองค์ในทุกเรื่อง ทั้งความกังวล ความเศร้า และความหวัง ผู้เขียนสดุดีบอกเราว่าเราสามารถ “สงบคอยท่าพระเจ้า” และ “ระบายความในใจ...ต่อพระองค์” (ข้อ 5, 8)

อย่าลังเล จงพูดกับพระเจ้ามากเท่าที่คุณต้องการ พระองค์ไม่ทรงรังเกียจ พระองค์ทรงยินดีในหัวใจของเรา คุณจะได้พบบ้านที่พักพิงในพระองค์

ความเชื่อที่ไม่สั่นคลอน

เควินเดินเข้าไปในบ้านพักคนชราเพื่อไปรับของใช้ส่วนตัวของพ่อหลังจากที่ท่านเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ยื่นกล่องเล็กๆสองกล่องให้เขา เขากล่าวว่าเขาได้ตระหนักในวันนั้น ว่าแท้จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สิ่งของมากมายเพื่อจะมีความสุข

แลร์รี่พ่อของเขาไม่มีความกังวลใดๆ และมักจะมีรอยยิ้มและคำพูดที่ให้กำลังใจผู้อื่นอยู่เสมอ เหตุผลที่ทำให้พ่อมีความสุขคือ “(สิ่ง)ของ” อีกอย่างหนึ่งที่ใส่ลงไปในกล่องไม่ได้ นั่นคือความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนในพระเยซูพระผู้ไถ่ของท่าน

พระเยซูทรงกำชับเราให้ “ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์” (มธ.6:20) พระองค์ไม่ได้ห้ามเรามีบ้าน ซื้อรถ เก็บเงินไว้ใช้ในอนาคต หรือมีทรัพย์สิ่งของมากมายไว้ในครอบครอง แต่พระองค์ทรงกำชับเราให้ตรวจสอบสิ่งที่เราให้ความสำคัญ ใจของแลร์รี่จดจ่ออยู่ที่ใดหรือ หัวใจของท่านจดจ่อที่จะรักพระเจ้าด้วยการรักผู้อื่น ท่านจะเดินไปมาในตึกที่พักอยู่ คอยทักทายและให้กำลังใจผู้คนที่ท่านพบเจอ หากใครมีน้ำตา ท่านจะอยู่ที่นั่นพร้อมถ้อยคำหนุนใจ หรือหูที่รับฟัง หรือคำอธิษฐานที่จริงใจ ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับการมีชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าและเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น

เราอาจจะต้องถามตัวเองว่า เราจะมีความสุขได้ไหมกับการมีสิ่งของจำนวนน้อยลงที่มากวนใจหรือเบี่ยงเบนความสนใจเราไปจากสิ่งที่สำคัญกว่า คือการรักพระเจ้าและผู้อื่นได้มากขึ้น “ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” (ข้อ 21) การใช้ชีวิตของเราจะสะท้อนถึงสิ่งที่เราให้คุณค่า

ดำเนินโดยความเชื่อ

แกรี่มีปัญหาเรื่องการทรงตัวในขณะเดิน แพทย์จึงสั่งให้ทำกายภาพบำบัดเพื่อช่วยให้ทรงตัวดีขึ้น ระหว่างการบำบัดครั้งหนึ่ง นักกายภาพบำบัดบอกเขาว่า “คุณวางใจในสิ่งที่มองเห็นมากเกินไป แม้ว่ามันจะไม่ถูกต้อง! คุณไม่ได้พึ่งพาระบบอื่นๆของคุณมากพอ ทั้งความรู้สึกใต้ฝ่าเท้าและสัญญาณจากหูชั้นใน ซึ่งมีไว้เพื่อช่วยคุณในการรักษาสมดุล”

“คุณวางใจในสิ่งที่คุณมองเห็นมากเกินไป” ทำให้ฉุกคิดถึงเรื่องของดาวิดเด็กหนุ่มผู้เลี้ยงแกะ และการเผชิญหน้ากับโกลิอัท โกลิอัทยอดทหารชาวฟีลิสเตีย “ออกมายืนท้า” อยู่สี่สิบวันให้กองทัพอิสราเอลส่งคนมาสู้กับเขา (1 ซมอ.17:16) แต่สิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจตามธรรมชาติแล้วย่อมทำให้พวกเขากลัว จนเมื่อเด็กหนุ่มดาวิดมาถึงเพราะบิดาของเขาสั่งให้เอาเสบียงมาให้พวกพี่ชาย (ข้อ 18)

ดาวิดมองสถานการณ์นี้อย่างไร โดยความเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่ตามที่ตามองเห็น เขาเห็นยักษ์แต่เขาวางใจว่าพระเจ้าจะทรงช่วยกู้ประชากรของพระองค์ แม้จะเป็นเพียงเด็กชายคนหนึ่ง แต่เขาทูลกษัตริย์ซาอูลว่า “อย่าให้จิตใจของผู้ใดฝ่อไป...ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้” (ข้อ 32) ต่อมาเขาพูดกับโกลิอัทว่า “การศึกครั้งนี้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงมอบเจ้าทุกคนไว้ในมือของพวกเรา” (ข้อ 47) และพระเจ้าได้ทรงทำเช่นนั้น

การวางใจในพระลักษณะและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตที่ติดสนิทมากขึ้นโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น

พระเจ้าผู้ทรงรัก

อาจารย์จะจบการเรียนออนไลน์ทุกครั้งโดยพูดหนึ่งในสองประโยคนี้ “พบกันครั้งต่อไป” หรือ “ขอให้มีความสุขในวันสุดสัปดาห์” นักศึกษาบางคนจะตอบว่า “ขอบคุณค่ะ/ครับ อาจารย์ก็เช่นกัน!” แต่วันหนึ่งนักศึกษาคนหนึ่งตอบว่า “ผมรักอาจารย์ครับ” ด้วยความประหลาดใจอาจารย์ตอบกลับว่า “อาจารย์ก็รักเธอเช่นกัน!” เย็นวันนั้น เพื่อนนักศึกษาตกลงกันที่จะพูดคำว่า “เรารักอาจารย์” ต่อๆกัน เพื่อแสดงความขอบคุณที่อาจารย์ต้องสอนหน้าคอมพิวเตอร์ แทนที่จะสอนแบบได้พบหน้ากันอย่างที่ต้องการ สองสามวันต่อมาเมื่อหมดเวลาเรียน อาจารย์พูดว่า “พบกันครั้งต่อไป” แล้วนักศึกษาตอบโดยพูดต่อๆกันว่า “ผม / หนูรักอาจารย์” พวกเขาทำแบบนี้อยู่หลายเดือน อาจารย์คนนี้เล่าว่าการทำเช่นนี้ทำให้เกิดความผูกพันระหว่างเขาและนักศึกษา และตอนนี้เขารู้สึกว่านักศึกษาเป็น “ครอบครัว”

ใน 1 ยอห์น 4:10-21 เราซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้ามีเหตุผลสมควรมากมายที่จะกล่าวว่า “ข้าพระองค์รักพระองค์” ไม่ว่าจะด้วยการที่พระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเรา (ข้อ 10) ทรงประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้อยู่ในเรา (ข้อ 13, 15) ความรักของพระองค์นั้นเชื่อถือได้เสมอ (ข้อ 16) และเราไม่ต้องกลัวการพิพากษา (ข้อ 17) พระเจ้าทรงช่วยให้เรารักพระองค์และผู้อื่นได้ “เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (ข้อ 19)

ครั้งต่อไปที่คุณได้พบปะกับคนของพระเจ้า จงใช้เวลาแบ่งปันเหตุผลที่ทำให้คุณรักพระองค์ เมื่อเราพูดต่อๆกันว่า “ข้าพระองค์รักพระองค์” พระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญและทำให้คุณใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา