ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Amy Boucher Pye

ที่ซึ่งผมเป็นส่วนหนึ่ง

ในช่วงท้ายของงานเลี้ยงในเทศกาลปัสกา ซึ่งเป็นวันหยุดตามประเพณียิวเพื่อฉลองและระลึกถึงความยิ่งใหญ่แห่งการช่วยกู้ของพระเจ้า สมาชิกคริสตจักรแสดงความยินดีโดยร่วมเต้นรำเป็นวงกลม แบร์รี่ยืนยิ้มกว้างมองอยู่ด้านหลัง เขาให้ความเห็นว่าเขารักช่วงเวลาเช่นนี้เพียงใดโดยกล่าวว่า “นี่คือครอบครัวของผมในเวลานี้ นี่คือชุมชนของผม ผมได้พบที่ซึ่งผมรู้ว่าจะรักและเป็นที่รักได้.. ที่ซึ่งผมเป็นส่วนหนึ่ง”

ในวัยเด็กแบร์รี่ทนทุกข์กับการถูกทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างโหดร้าย มันขโมยความชื่นชมยินดีไปจากเขา แต่คริสตจักรท้องถิ่นได้ต้อนรับและแนะนำเขาให้รู้จักพระเยซู เมื่อได้รับอิทธิพลจากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความยินดีของพวกเขา แบร์รี่จึงเริ่มติดตามพระคริสต์และรู้สึกว่าได้รับความรักและเป็นที่ยอมรับ

ในสดุดี 133 กษัตริย์ดาวิดใช้ภาพที่เปี่ยมด้วยพลังเพื่อแสดงถึงอิทธิพลของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในคนของพระเจ้าที่แพร่ออกไปซึ่ง “เป็นการดีและน่าชื่นใจ” พระองค์ตรัสว่าเหมือนกับคนที่ถูกเจิมด้วยน้ำมันประเสริฐไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของพวกเขา (ข้อ 2) การเจิมเป็นเรื่องปกติในโลกยุคโบราณ บางครั้งใช้เพื่อต้อนรับเมื่อมีคนมาบ้าน ดาวิดยังเปรียบความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนี้กับน้ำค้างที่ตกลงบนเทือกเขาอันนำมาซึ่งชีวิตและพระพร (ข้อ 3)

น้ำมันส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องและน้ำค้างนำความชุ่มชื้นมาสู่ที่แห้งแล้ง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็ส่งผลอันเป็นการดีและน่าชื่นใจเช่นกัน เช่นการให้การต้อนรับผู้โดดเดี่ยว ให้เราแสวงหาที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระคริสต์เพื่อพระเจ้าจะทรงนำให้เกิดสิ่งดีผ่านทางเรา

พระคุณในการทดลอง

แอนนี่ จอห์นสัน ฟลิ้นต์ พิการด้วยโรคข้ออักเสบรุนแรงเพียงไม่กี่ปีหลังจบชั้นมัธยมปลาย เธอเดินไม่ได้อีกเลยและต้องให้คนอื่นช่วยเหลือในความต้องการด้านต่างๆ บทกวีและเพลงสรรเสริญของแอนนี่ทำให้มีผู้คนมากมายมาเยี่ยมเธอ รวมทั้งมัคนายิกาคนหนึ่งที่ท้อแท้ในการรับใช้ เมื่อมัคนายิกาคนนี้กลับไปบ้าน เธอเขียนมาถึงแอนนี่ว่าทำไมพระเจ้าจึงให้เกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้กับชีวิตเธอ

แอนนี่ตอบกลับไปด้วยบทกลอนว่า “พระเจ้าไม่ได้ทรงสัญญาว่าท้องฟ้าจะเป็นสีฟ้าเสมอ หรือทางเดินจะโรยด้วยกลีบกุหลาบไปตลอดชีวิตของเรา...” เธอรู้จากประสบการณ์ว่าความทุกข์ยากมักจะเกิดขึ้นเสมอ แต่พระเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งผู้ที่พระองค์ทรงรัก ทรงสัญญาว่าจะประทาน “พระคุณสำหรับการทดลอง ความช่วยเหลือจากเบื้องบน พระเมตตาไม่มีสิ้นสุด และความรักนิรันดร์” คุณอาจจำได้ว่านี่เป็นบทกลอนที่แต่งเป็นเพลงสรรเสริญชื่อ “สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญา”

โมเสสเองก็พบกับความทุกข์ยากและปัญหา แต่ท่านรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เมื่อท่านส่งต่อตำแหน่งผู้นำชนชาติอิสราเอลให้โยชูวา ท่านบอกชายหนุ่มผู้นี้ให้เข้มแข็งและกล้าหาญ เพราะ “ผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน” (ฉธบ.31:6) โมเสสรู้ว่าชนชาติอิสราเอลจะต้องเผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขามเมื่อพวกเขาเข้าไปยึดดินแดนแห่งพระสัญญา จึงกล่าวแก่โยชูวาว่า “อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย” (ข้อ 8)

สาวกของพระเยซูคริสต์จะต้องพบกับความยากลำบาก แต่พวกเรามีพระวิญญาณของพระเจ้าที่จะปลอบโยนและหนุนใจเรา พระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา

ปัญญาและความเข้าใจ

ในปี 1373 ตอนที่จูเลียนแห่งนอริชอายุสามสิบปี เธอล้มป่วยและเกือบเสียชีวิต เมื่อผู้รับใช้พระเจ้าอธิษฐานเผื่อเธอ เธอได้เห็นนิมิตหลายอย่างซึ่งเธอคิดว่าเกี่ยวกับการถูกตรึงกางเขนของพระเยซู หลังจากที่สุขภาพของเธอฟื้นฟูขึ้นอย่างอัศจรรย์ เธอใช้ชีวิตอีกยี่สิบปีต่อมาอย่างสันโดษภายในห้องข้างอาคารโบสถ์ เฝ้าอธิษฐานและครุ่นคิดถึงประสบการณ์ที่ได้รับ เธอสรุปว่า “ความรักคือสิ่งที่พระองค์ต้องการบอก” นั่นก็คือการวายพระชนม์ของพระคริสต์คือการสำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า

นิมิตของจูเลียนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย แต่สิ่งที่ผู้คนมักมองข้ามคือเวลาและความพยายามที่เธอใช้อธิษฐานเพื่อแสวงหาสิ่งที่พระเจ้าต้องการเปิดเผยแก่เธอ เธอใช้เวลาสองทศวรรษค้นหาความหมายของประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงปรากฏแก่เธอ โดยทูลขอปัญญาและความช่วยเหลือจากพระองค์

เช่นเดียวกับที่ทรงกระทำแก่จูเลียน พระเจ้าก็ได้ทรงสำแดงพระองค์ด้วยพระกรุณาแก่ประชากรของพระองค์ เช่นผ่านถ้อยคำในพระคัมภีร์ ผ่านพระสุรเสียงสงบแผ่วเบาของพระองค์ ผ่านท่วงทำนองเพลงนมัสการ หรือแม้กระทั่งการรับรู้ถึงการทรงสถิตของพระองค์ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น เราสามารถแสวงหาปัญญาและความช่วยเหลือจากพระองค์ ปัญญานี้คือสิ่งที่กษัตริย์ซาโลมอนกำชับให้บุตรชายของพระองค์แสวงหา โดยบอกว่าเขาควรกระทำหูให้ผึ่งเพื่อรับปัญญาและเอียงใจเข้าหาความเข้าใจ (สภษ.2:2) แล้วเขาจะ “พบความรู้ของพระเจ้า” (ข้อ 5)

พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานความรอบรู้และความเข้าใจแก่เรา เมื่อเราเติบโตขึ้นในความรู้อันลึกซึ้งถึงพระลักษณะและวิถีทางของพระองค์ เราก็จะถวายเกียรติและเข้าใจพระองค์มากยิ่งขึ้น

ให้ด้วยใจกว้างขวาง

นายพลชาร์ลส์ กอร์ดอน (1833-1885) รับใช้สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียในประเทศจีนและที่ต่างๆ แต่เมื่ออยู่ประเทศอังกฤษ เขาจะมอบรายได้ร้อยละ 90 ให้กับการกุศล เมื่อได้ยินข่าวการกันดารอาหารที่แลงคาเชียร์ เขาจึงขูดคำจารึกบนเหรียญทองคำบริสุทธิ์ที่ได้รับจากผู้นำระดับโลกออกแล้วส่งมันไปทางเหนือ บอกให้พวกเขาหลอมมันและนำเงินไปซื้อขนมปังให้คนยากจน ในวันนั้นเขาเขียนบันทึกประจำวันว่า “สิ่งของชิ้นสุดท้ายในโลกที่ผมครอบครองและให้คุณค่า ผมได้ถวายแด่องค์พระเยซูแล้ว”

ระดับความใจกว้างของนายพลกอร์ดอน อาจดูเหมือนอยู่เหนือและเกินกว่าที่เราจะเทียบได้ แต่พระเจ้าทรงเรียกให้คนของพระองค์ดูแลผู้ที่ขัดสนอยู่เสมอ ในพระบัญญัติบางข้อที่ทรงให้ไว้ผ่านโมเสส พระเจ้าบัญชาไม่ให้เกี่ยวเก็บข้าวที่ขอบนาและเก็บเกี่ยวพืชผลทั้งหมด แต่เมื่อเก็บผลองุ่น พระองค์ตรัสว่าให้เหลือองุ่นที่ตกไว้ “ให้คนยากจนและคนต่างด้าว” (ลนต.19:10) พระเจ้าทรงต้องการให้คนของพระองค์ใส่ใจและดูแลผู้อ่อนแอที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา

ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าตัวเองใจกว้างแค่ไหนก็ตาม เราก็ยังทูลขอให้พระเจ้าทรงเพิ่มเติมความปรารถนาที่จะให้แก่ผู้อื่นได้ และแสวงหาพระปัญญาของพระองค์เพื่อจะมีวิธีที่สร้างสรรค์ในการให้ด้วย พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะช่วยเราสำแดงความรักของพระองค์แก่ผู้อื่น

ของประทานแห่งการกลับใจ

“เปล่า! ผมไม่ได้ทำ!” เจนฟังคำปฏิเสธของลูกชายวัยรุ่นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เพราะเธอรู้ว่าเขาไม่ได้พูดความจริง เธออธิษฐานขอพระเจ้าช่วยก่อนจะถามไซม่อนอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้น เขายังคงไม่ยอมรับว่าเขาโกหก ในที่สุดเธอยกมือสองข้างขึ้นด้วยความหงุดหงิดพร้อมบอกว่าขออยู่คนเดียว ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกไป เธอรู้สึกว่ามือของลูกมาแตะที่ไหล่และได้ยินคำขอโทษของเขา เขาตอบสนองต่อการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์และกลับใจ

ในหนังสือโยเอลจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงเรียกคนของพระองค์ให้กลับใจอย่างแท้จริงจากบาปของพวกเขา และทรงต้อนรับพวกเขากลับมาหาพระองค์อย่างเต็มพระทัย (2:12) พระเจ้าไม่ได้ดูการสำนึกผิดจากการแสดงออกภายนอก แต่ทรงปรารถนาให้ทัศนคติที่แข็งกระด้างของพวกเขาอ่อนลง “จงฉีกใจของเจ้า มิใช่ฉีกเสื้อผ้าของเจ้า” โยเอลเตือนชาวอิสราเอลว่า พระเจ้า “ทรงกอปรด้วยพระคุณและทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง” (ข้อ 13)

เราอาจพบว่าการสารภาพความผิดของเราเป็นเรื่องยาก เพราะในความถือดีของเรา เราไม่อยากยอมรับว่าทำบาป เราอาจหลีกเลี่ยงความจริง และแก้ตัวว่าการกระทำของเราเป็นแค่ “การโกหกเล็กน้อยที่ไม่ร้ายแรง” แต่เมื่อเราเชื่อฟังการเตือนที่อ่อนโยนแต่จริงจังของพระเจ้าและสารภาพบาป พระองค์จะยกโทษและชำระเราให้สะอาดจากบาปทั้งปวง (1 ยน.1:9) เราจะเป็นอิสระจากความรู้สึกผิดและความละอาย เมื่อรู้ว่าเราได้รับอภัยโทษแล้ว

เข้ามานมัสการ

เมื่อพวกเขาร้องเพลงสรรเสริญด้วยกันในการนมัสการที่รวมคนทุกรุ่นทุกวัย หลายคนสัมผัสถึงความยินดีและสันติสุข แต่ไม่ใช่สำหรับคุณแม่หัวฟูคนหนึ่ง เธอเขย่าลูกน้อยที่กำลังจะร้องไห้พร้อมถือหนังสือเพลงให้ลูกวัยห้าขวบขณะพยายามกันไม่ให้ลูกวัยเตาะแตะเดินหนีไป ต่อมาสุภาพบุรุษสูงวัยที่นั่งอยู่ข้างหลังอาสาพาลูกของเธอไปเดินเล่นรอบโบสถ์ และหญิงสาวอีกคนส่งสัญญาณว่าจะช่วยถือหนังสือเพลงให้ลูกคนโต ภายในสองนาที ประสบการณ์ของผู้เป็นแม่ก็เปลี่ยนไปและเธอสามารถสูดลมหายใจ หลับตาลงและนมัสการพระเจ้าได้

พระเจ้าทรงมุ่งหมายเสมอมาให้ทุกคนนมัสการพระองค์ ทั้งชายและหญิง เด็กและคนชรา ผู้เชื่อเก่าและผู้เชื่อใหม่ ขณะที่โมเสสอวยพรอิสราเอลเผ่าต่างๆก่อนเข้าดินแดนแห่งพระสัญญา ท่านหนุนใจให้ทุกคนมารวมตัวกัน “​ทั้ง​ชาย หญิง และ​เด็ก ทั้ง​คน​ต่างด้าว​ใน​เมือง​ของ​ท่าน​” เพื่อพวกเขาจะ “​ได้​ยิน​และ​เรียนรู้​ที่​จะ​ยำเกรง​พระ​เยโฮวาห์​พระ​เจ้า​ของ​ท่าน” และทำตามพระบัญญัติของพระองค์ (ฉธบ.31:12) เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าเมื่อเราทำให้คนของพระองค์นมัสการพระองค์ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงใดของชีวิต

เช้าวันนั้นในคริสตจักร ผู้เป็นแม่ สุภาพบุรุษสูงวัยและหญิงสาวต่างได้รับประสบการณ์ความรักของพระเจ้าผ่านการให้และการรับ บางทีครั้งต่อไปที่คุณอยู่ในคริสตจักร คุณเองก็อาจหยิบยื่นความรักของพระเจ้าผ่านการอาสาให้ความช่วยเหลือ หรือคุณอาจเป็นผู้ที่รับความช่วยเหลือที่มาโดยพระคุณนั้น

สถานทูตของพระเจ้า

ลุดมิลล่า หญิงม่ายวัย 82 ปีได้ประกาศให้บ้านของเธอในสาธารณรัฐเช็กเป็น “สถานทูตแห่งแผ่นดินสวรรค์” เธอกล่าวว่า “บ้านของฉันเป็นส่วนต่อขยายจากแผ่นดินของพระคริสต์” เธอต้อนรับขับสู้คนแปลกหน้าและเพื่อนที่เจ็บปวดและขัดสนด้วยความรัก บางครั้งก็จัดอาหารและที่นอนให้ เธอทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความเมตตาและด้วยใจอธิษฐานเสมอ เธอเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเธอดูแลผู้มาเยือนเหล่านี้ เธอยินดีที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพวกเขา

ลุดมิลล่ารับใช้พระเยซูโดยการเปิดบ้านและหัวใจของเธอ ตรงข้ามกับผู้นำทางศาสนาที่พระเยซูเสวยพระกระยาหารในบ้านของเขาในวันสะบาโต พระองค์ทรงบอกครูสอนศาสนานั้นว่า เขาควรเชิญ “คนจน คนพิการ คนเขยก คนตาบอด” มาที่บ้านของเขา ไม่ใช่คนที่จะสามารถตอบแทนเขาได้ (ลก.14:13) คำตรัสของพระเยซูแฝงความหมายว่าฟาริสีคนนั้นเชิญพระองค์มาด้วยใจถือดี (ข้อ 12) แต่ลุดมิลล่าเชิญคนมาที่บ้านของเธอเพื่อที่เธอจะได้เป็น “เครื่องมือแห่งความรักและพระปัญญาของพระเจ้า”

การรับใช้ผู้อื่นด้วยความถ่อมใจเป็นวิธีหนึ่งที่เราจะได้เป็น “ตัวแทนแห่งแผ่นดินสวรรค์” อย่างที่ลุดมิลล่าพูด ไม่ว่าเราจะจัดหาเตียงให้คนแปลกหน้านอนได้หรือไม่ แต่เราให้ความสำคัญกับความขัดสนของผู้อื่นก่อนตัวเราเองด้วยวิธีที่แตกต่างและสร้างสรรค์ได้ เราจะขยายแผ่นดินของพระเจ้าในที่ที่เราอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร

ท่าทางที่ถ่อมใจ

“เก็บมือไว้ข้างหลัง คุณจะรู้สึกดีขึ้น” เป็นคำแนะนำด้วยความรักที่สามีของแจนบอกเธอเสมอก่อนที่เธอจะต้องพูดกับกลุ่มคน เมื่อเธอพบว่าตัวเองกำลังพยายามทำให้ผู้คนประทับใจหรือพยายามจะควบคุมสถานการณ์ เธอจะทำท่านี้เพราะมันช่วยให้จิตใจเธอกลับเข้าสู่ภาวะที่พร้อมเรียนรู้และรับฟัง เธอใช้มันเพื่อเตือนตัวเองให้รักคนที่อยู่ตรงหน้า ให้ถ่อมใจและเชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์

ความเข้าใจเรื่องการถ่อมใจของแจนมาจากข้อสังเกตของกษัตริย์ดาวิดที่พบว่าทุกสิ่งล้วนมาจากพระเจ้า ดาวิดทูลพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ นอกเหนือพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่มีดีเลย” (สดด.16:2) พระองค์เรียนรู้ที่จะวางใจและแสวงหาคำปรึกษาจากพระเจ้า “ในกลางคืนจิตใจของข้าพเจ้าเตือนสอนข้าพเจ้า” (ข้อ 7) ดาวิดรู้พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้าง พระองค์จึงไม่หวั่นไหว (ข้อ 8) ดาวิดไม่จำเป็นต้องยกย่องตัวเอง เพราะพระองค์เชื่อว่าพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์ทรงรักพระองค์

เมื่อเรามองไปที่พระเจ้าในแต่ละวัน ทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยเมื่อเรารู้สึกผิดหวัง หรือประทานถ้อยคำในยามที่เราพูดไม่ออก เราจะเห็นพระองค์ทรงทำงานในชีวิตของเรา เราจะ “ร่วมงานกับพระเจ้า” เหมือนที่แจนบอก และเราจะตระหนักว่าถ้าเราทำได้ดี นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงช่วยเราให้เกิดผล

เราสามารถมองผู้อื่นด้วยความรัก มือของเราไขว้ไว้ข้างหลังด้วยท่าทีถ่อมใจ เพื่อเตือนเราว่าทุกสิ่งที่เรามีล้วนมาจากพระเจ้า

พระวาทะและปีใหม่

มิเชลแลนเผชิญความท้าทายขณะเติบโตในประเทศฟิลิปปินส์ แต่เธอรักและได้รับความอุ่นใจจากถ้อยคำต่างๆเสมอ วันหนึ่งขณะเรียนในมหาวิทยาลัย เธออ่านพระธรรมยอห์นบทที่ 1 และ “หัวใจหินของเธอสั่นไหว” เธอรู้สึกเหมือนใครบางคนกำลังพูดว่า “ใช่ เธอรักถ้อยคำ แล้วรู้อะไรไหม มีถ้อยคำที่ดำรงชั่วนิรันดร์ ถ้อยคำซึ่ง...สามารถฝ่าผ่านความมืดได้ในเวลานี้และตลอดไป ถ้อยคำที่ทรงรับสภาพเนื้อหนัง ถ้อยคำที่สามารถรักเธอได้”

เธอกำลังอ่านพระกิตติคุณยอห์นที่เริ่มด้วยถ้อยคำซึ่งเตือนผู้อ่านถึงข้อความเริ่มต้นในพระธรรมปฐมกาล “ในปฐมกาล...” (ปฐก.1:1) ยอห์นต้องการแสดงให้เห็นว่าพระเยซูไม่เพียงทรงอยู่กับพระเจ้าที่จุดเริ่มต้นของกาลเวลา แต่พระองค์ทรงเป็น พระเจ้า (ยน.1:1) และพระวาทะหรือถ้อยคำที่ดำรงชีวิตนี้ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ “และทรงอยู่ท่ามกลางพวกเรา” (ข้อ 14) ยิ่งกว่านั้นผู้ที่ต้อนรับพระองค์และเชื่อในพระนามของพระองค์จะได้เป็นบุตรของพระเจ้า (ข้อ 12)

มิเชลแลนยอมรับความรักของพระเจ้า และได้ “เกิดจากพระเจ้า” ในวันนั้น (ข้อ 13) เธอยกย่องพระเจ้าที่ทรงช่วยเธอจากสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการเสพติดของครอบครัว และตอนนี้เธอเขียนเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซู และยินดีในการแบ่งปันถ้อยคำหรือเรื่องราวของเธอเกี่ยวกับพระวาทะที่ดำรงชีวิต

หากเราเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ เราก็สามารถแบ่งปันข่าวประเสริฐและความรักของพระเจ้าได้เช่นกัน ขณะที่เรากำลังเริ่มต้นปี 2022 นี้ มีถ้อยคำใดบ้างที่เต็มด้วยพระคุณของพระเจ้าซึ่งเราสามารถพูดได้ในปีนี้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา