พบกำลังในพระเจ้า
คริสเตียน พูลิซิชต้องเผชิญการบาดเจ็บหลายอย่างที่ส่งผลต่ออาชีพนักฟุตบอลของเขา หลังจากรู้ว่าเขาจะไม่ได้ร่วมเล่นในรอบรองชนะเลิศของแชมป์เปี้ยนส์ลีก เขารู้สึกผิดหวังแต่เขาได้อธิบายว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่เขาอย่างไร “เหมือนเช่นทุกครั้ง ผมแสวงหาพระเจ้า และพระองค์ทรงมอบกำลังแก่ผม” เขากล่าว “ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่กับผมเสมอ ผมไม่รู้ว่าจะผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้อย่างไรหากปราศจากความรู้สึกนี้” ในที่สุดพูลิซิชได้สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่เมื่อเขาถูกเปลี่ยนตัวลงเล่นในช่วงท้ายของการแข่งขัน เขาเริ่มเล่นอย่างชาญฉลาดซึ่งนำไปสู่ชัยชนะและรักษาลำดับเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ประสบการณ์เหล่านี้ได้ให้บทเรียนอันมีค่าแก่เขาว่า เราสามารถมองความอ่อนแอของเราให้เป็นโอกาสที่พระเจ้าจะทรงสำแดงฤทธานุภาพที่ไร้ขีดจำกัดของพระองค์ได้เสมอ
โลกสอนเราให้พึ่งพากำลังของตัวเองเมื่อต้องเผชิญปัญหา แต่สติปัญญาจากพระคัมภีร์สอนเราว่า พระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าประทานกำลังแก่เราเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด (2คร.12:9) ดังนั้นเราจึงสามารถมุ่งหน้าไปด้วยความมั่นใจ โดยรู้ว่าเราจะไม่ต้องเผชิญกับการทดลองตามลำพัง “ความอ่อนแอ” ของเรากลายเป็นโอกาสในการที่พระเจ้าจะทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ เสริมกำลังและเสริมสร้างเรา (ข้อ 9-10) เมื่อนั้นเราจึงสามารถใช้อุปสรรคของเราเพื่อสรรเสริญพระเจ้าและขอบพระคุณในความดีงามของพระองค์ และแบ่งปันประสบการณ์เหล่านี้แก่ผู้อื่นเพื่อให้พวกเขาได้สัมผัสกับความรักของพระองค์
ระฆังโบสถ์หินบลูสโตน
บลูสโตนเป็นหินที่มีเสน่ห์หลากหลาย เมื่อถูกเคาะ หินบลูสโตนบางก้อนจะดังเหมือนเสียงดนตรี หมู่บ้านหนึ่งในแคว้นเวลส์ชื่อมายน์คล็อกฮ็อกซึ่งแปลว่า “ระฆัง” หรือ “หินที่ส่งเสียง” ได้ใช้หินบลูสโตนทำระฆังโบสถ์มาจนถึงยุคศตวรรษที่ 18 ที่น่าสนใจคือซากปรักหักพังของสโตนเฮนจ์ที่อังกฤษก็ถูกสร้างด้วยหินบลูสโตน ซึ่งทำให้บางคนสงสัยว่าวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของที่แห่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับดนตรี นักวิจัยบางคนอ้างว่าหินบลูสโตนที่สโตนเฮนจ์มาจากแหล่งที่อยู่ใกล้มายน์คล็อกฮ็อก ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบสามร้อยกิโลเมตรเพราะเอกลักษณ์ทางเสียงของหินเหล่านั้น
หินที่เป็นเสียงดนตรีนี้คืออีกหนึ่งสิ่งของการทรงสร้างที่แสนอัศจรรย์ของพระเจ้า และมันเตือนพวกเราถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสระหว่างการเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มในวันอาทิตย์ทางตาล ขณะที่ประชาชนส่งเสียงสรรเสริญพระเยซูเหล่าผู้นำทางศาสนาเรียกร้องให้พระองค์สั่งห้ามพวกเขา “เราบอกท่านทั้งหลายว่า” พระองค์ตรัสตอบพวกเขา “ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง” (ลก.19:40)
หากหินบลูสโตนสามารถสร้างเสียงดนตรี และหากพระเยซูทรงกล่าวว่าแม้แต่หินยังเป็นพยานถึงพระผู้ทรงสร้างมัน ถ้าเช่นนั้นเรายิ่งต้องสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงสร้างเรา ผู้ทรงรักและช่วยกู้เราอย่างไร พระองค์ทรงควรค่าแก่การนมัสการทั้งสิ้น ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเร้าใจเราให้ถวายพระเกียรติที่พระองค์ทรงสมควรได้รับแด่พระองค์ ให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างสรรเสริญพระองค์
ลึกกว่าแค่ผิวหนัง
โฮเซ่เด็กหนุ่มผู้เชื่อในพระเยซูได้ไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรของพี่ชาย ขณะเขาเดินเข้าไปในโบสถ์ก่อนเริ่มการนมัสการ พี่ชายของเขาสีหน้าผิดหวังเมื่อมองมาเห็น รอยสักบนสองแขนของโฮเซ่นั้นเห็นได้ชัดเจนเพราะเขาสวมเพียงเสื้อยืดแขนสั้น พี่ชายบอกให้เขากลับไปเปลี่ยนเป็นเสื้อแขนยาว เพราะรอยสักนั้นสะท้อนถึงวิถีชีวิตในอดีตของเขา โฮเซ่รู้สึกว่าตัวเองสกปรกในทันใด แต่ชายอีกคนหนึ่งได้ยินการสนทนานั้นและพาโฮเซ่ไปพบศิษยาภิบาลโดยบอกกับเขาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ศิษยาภิบาลยิ้มและปลดกระดุมเสื้อออก เปิดให้เห็นรอยสักใหญ่บนหน้าอกซึ่งเป็นสิ่งที่มาจากอดีตของเขา เขาทำให้โฮเซ่มั่นใจว่าพระเจ้าทรงทำให้เขาบริสุทธิ์จากภายใน เขาจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดรอยสักนั้น
กษัตริย์ดาวิดสัมผัสกับความยินดีที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากพระเจ้าหลังจากพระองค์สารภาพความบาปต่อพระเจ้า พระองค์เขียนว่า “บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น” (สดด.32:1) พระองค์สามารถ “โห่ร้อง[ด้วยความเปรมปรีดิ์]” กับผู้อื่นที่ “มีใจเที่ยงตรง” (ข้อ 11) ต่อมาอัครทูตเปาโลได้กล่าวอ้างสดุดี 32:1-2 ในพระธรรมโรมบทที่ 4:7-8 ในเนื้อความประกาศว่า ความเชื่อในพระเยซูนำไปสู่ความรอดและทำให้เราบริสุทธิ์ต่อหน้าพระเจ้า (ดู รม.4:23-25)
ความบริสุทธิ์ของเราในพระเยซูอยู่ลึกกว่าเพียงแค่ผิวหนัง เพราะพระองค์ทรงรู้จักเราและทรงชำระหัวใจของเรา (1 ซมอ.16:7; 1 ยน.1:9) ขอให้เราชื่นชมยินดีในพระราชกิจแห่งการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระองค์ในวันนี้