ทางออกในยามสิ้นหวัง
ในปลายศตวรรษที่ 17 วิลเลี่ยมแห่งออเร้นจ์จงใจให้น้ำท่วมพื้นที่ส่วนใหญ่ในประเทศของพระองค์ กษัตริย์แห่งเนเธอร์แลนด์ใช้วิธีการที่รุนแรงในความพยายามที่จะขับไล่ผู้บุกรุกชาวสเปน แต่ไม่ได้ผลและพื้นที่เพาะปลูกที่ดีเยี่ยมผืนใหญ่ต้องจมหายไปในทะเล “ในยามที่สิ้นหวังจำเป็นจะต้องใช้มาตรการในยามคับขัน” พวกเขากล่าว
ในสมัยของอิสยาห์ เยรูซาเล็มหันไปพึ่งมาตรการในยามคับขันเมื่อกองทัพอัสซีเรียข่มขู่พวกเขา มีการสร้างระบบกักเก็บน้ำเพื่อให้สามารถอยู่รอดในช่วงที่ถูกโอบล้อม และประชาชนต่างรื้อบ้านของตนเพื่อเอามาเสริมความแข็งแรงของกำแพงเมือง ยุทธวิธีนี้อาจดูชาญฉลาด แต่พวกเขาได้ละเลยขั้นตอนสำคัญที่สุดไป “ท่านทำที่ขังน้ำไว้ระหว่างกำแพงทั้งสองเพื่อรับน้ำของสระเก่า” พระเจ้าตรัส “แต่ท่านมิได้มองดูผู้ที่ได้ทรงบันดาลเหตุ และมิได้เอาใจใส่ผู้ทรงวางแผนงานนี้ไว้นานมาแล้ว” (อสย.22:11)
วันนี้เราคงไม่ต้องเผชิญกับกองทัพจริงๆนอกบ้านเรา “การโจมตีมักจะมาในวิธีที่ธรรมดาและผ่านคนธรรมดาเสมอ” ออสวอลด์ แชมเบอร์กล่าว แต่ “การโจมตี” เหล่านั้นเป็นภัยคุกคามที่แท้จริง ขอบพระคุณพระเจ้าที่สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกับคำเชื้อเชิญจากพระเจ้า ที่ให้เราแสวงหาสิ่งที่เราต้องการจากพระองค์ก่อน
เมื่อชีวิตประสบกับภัยคุกคามและอุปสรรค เราเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสให้เราพึ่งพิงในพระเจ้าหรือไม่ หรือเราจะแสวงหาทางออกในยามสิ้นหวังด้วยตัวเราเอง
ผลกระทบต่อเนื่อง
วิทยาลัยพระคริสตธรรมเล็กๆในภาคเหนือของประเทศกาน่าดูไม่น่าประทับใจ ตึกทำจากอิฐบล็อกน้ำหนักเบา หลังคาสังกะสี และมีนักศึกษาเพียงหยิบมือ แต่บ็อบ เฮย์ทุ่มเทชีวิตให้นักศึกษาเหล่านี้ เขาสอนการเป็นผู้นำและหนุนใจให้สอนและเทศนาแม้พวกเขาจะลังเลไม่แน่ใจ บ็อบเสียชีวิตหลายปีแล้ว แต่คริสตจักรที่เติบโตหลายสิบแห่ง โรงเรียน และสถาบันพระคริสตธรรมอีกสองแห่งที่เกิดขึ้นทั่วกาน่า ล้วนมาจากผู้จบการศึกษาจากโรงเรียนเล็กๆนี้
ในรัชกาลของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส (465-424 ปีก่อนคริสตกาล) เอสราธรรมาจารย์ได้รวบรวมชาวยิวที่ถูกเนรเทศกลับเยรูซาเล็ม แต่เอสราไม่พบคนเลวีในพวกเขา (อสร.8:15) ท่านต้องการให้คนเลวีเป็นปุโรหิต จึงมอบหมายพวกผู้นำให้ “ส่งผู้ปรนนิบัติสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเรามายังเรา” (ข้อ 17) พวกเขาดำเนินการ (ข้อ 18-20) และเอสรานำพวกเขาด้วยการอดอาหารและอธิษฐาน (ข้อ 21)
ชื่อเอสรามีความหมายว่า “ผู้ช่วย” ซึ่งเป็นคุณลักษณะในหัวใจของผู้นำที่ดี ภายใต้การนำด้วยคำอธิษฐานของเอสรา ท่านและผู้ติดตามปลุกการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณขึ้นในเยรูซาเล็ม (ดูบทที่ 9-10) ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการมีเพียงการหนุนใจเล็กน้อยและคำแนะนำที่ฉลาด
สิ่งนี้ขับเคลื่อนคริสตจักรของพระเจ้าเช่นกัน ที่ปรึกษาที่ดีหนุนใจและสร้างเราขึ้น เราจึงเรียนรู้ที่จะทำเช่นเดียวกันต่อผู้อื่น อิทธิพลเช่นนี้คงอยู่ยาวนานกว่าชีวิตของเรา งานที่ทำอย่างสัตย์ซื่อเพื่อพระเจ้านั้นจะส่งผลไปตลอดนิรันดร์
ของขวัญแห่งการพูด
ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหลังการผ่าตัดทำให้ทอมพูดไม่ได้และต้องเข้ารับการบำบัดเป็นระยะเวลานาน หลายสัปดาห์ต่อมา เราตื่นเต้นดีใจที่เห็นเขามาร่วมนมัสการวันขอบคุณพระเจ้าที่โบสถ์ และยิ่งประหลาดใจเมื่อเขายืนขึ้นพูด ในขณะพยายามพูดนั้น เขาพูดสลับคำ พูดซ้ำ และสับสนวันเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เขากำลังสรรเสริญพระเจ้า! ในบางสถานการณ์คนเราอาจรู้สึกสะเทือนใจและได้รับการอวยพรในเวลาเดียวกัน นี่คือสิ่งที่พวกเรารู้สึกในเวลานั้น
ใน “เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนวันคริสต์มาส” เราได้พบกับชายคนหนึ่งที่ถูกทำให้เป็นใบ้ ทูตสวรรค์กาเบรียลปรากฏต่อปุโรหิตเศคาริยาห์และบอกว่าท่านจะได้เป็นพ่อของผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ดู ลก.1:11-17) เศคาริยาห์และภรรยาของท่านชรามากแล้ว ท่านจึงสงสัย ในตอนนั้นกาเบรียลจึงบอกว่าท่านจะเป็นใบ้ “จนถึงวันที่การณ์เหล่านี้สำเร็จ” (ข้อ 20)
แล้ววันนั้นก็มาถึง ในพิธีตั้งชื่อเด็กชายที่เกิดมาอย่างอัศจรรย์ เศคาริยาห์พูดได้ คำพูดแรกของท่านคือคำสรรเสริญพระเจ้า (ข้อ 64) ท่านกล่าวว่า “สาธุการแด่พระเจ้าของพวกอิสราเอล ด้วยว่าพระองค์ทรงเยี่ยมเยียนและช่วยไถ่ชนชาติของพระองค์” (ข้อ 68)
ทอมก็เหมือนกับเศคาริยาห์ เขาสรรเสริญพระเจ้าทันทีที่เขาพูดได้ หัวใจของพวกเขาโน้มเข้าหาพระองค์ผู้ทรงสร้างลิ้นและจิตใจ ไม่ว่าเราจะเผชิญสิ่งใดในเวลานี้ เราก็สามารถตอบสนองได้ในแบบเดียวกัน
ที่ว่างสำหรับฉัน
เขาเป็นทหารผ่านศึกสูงวัยที่แข็งกระด้างและพูดจาหยาบคาย วันหนึ่งเพื่อนของเขาไต่ถามเรื่องความเชื่อของเขาด้วยความเป็นห่วง เขารีบตอบอย่างไม่แยแสว่า “พระเจ้าไม่มีที่ว่างสำหรับคนอย่างผมหรอก”
บางทีนั่นอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของนิสัยที่ “แข็งกระด้าง” ของเขา แต่เขาไม่อาจปฏิเสธความจริงได้! พระเจ้าทรงสร้างที่ว่างโดยเฉพาะให้กับคนที่แข็งกระด้าง คนที่รู้สึกผิด และคนที่สังคมรังเกียจ เพื่อพวกเขาจะมีพื้นที่ที่จะเติบโตในชุมชนของพระองค์ เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากวิธีการอันน่าทึ่งของพระเยซูในการเลือกสาวกตอนที่พระองค์ทรงเริ่มต้นพันธกิจ สิ่งแรกที่พระองค์ทำคือเลือกชาวประมงหลายคนจากกาลิลีซึ่ง “ยากจนต่ำต้อย” ในสายตาของชาวเยรูซาเล็ม นอกจากนั้นพระองค์ทรงเลือกมัทธิวคนเก็บภาษี ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องขู่กรรโชกเพื่อนร่วมชาติ ตามด้วยซีโมน “พรรคชาตินิยม” (มก.3:18)
เราไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับซีโมนคนนี้ (ไม่ใช่ซีโมนเปโตร) แต่สิ่งที่เรารู้คือพวกชาตินิยมเกลียดชังคนทรยศอย่างมัทธิว ซึ่งร่ำรวยมาจากการร่วมมือกับชาวโรมันที่คนยิวดูหมิ่น พระเยซูทรงเลือกทั้งซีโมนและมัทธิวและนำพวกเขามาอยู่ด้วยกันในทีมของพระองค์ร่วมกับสาวกคนอื่นๆ
อย่ากีดกันใครโดยหาว่าเขา “เลว” เกินไปสำหรับพระเยซู เพราะไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พระองค์ก็ตรัสว่า “เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีตให้กลับใจเสียใหม่” (ลก.5:32) พระองค์ทรงมีที่ว่างมากมายสำหรับคนที่ร้ายกาจ คือคนเช่นคุณและผม
ธรรมชาติของแซคส์
หนึ่งในเรื่องราวสนุกๆของด็อกเตอร์ซูสส์ คือเรื่อง “แซคส์ไปเหนือ กับแซคส์ไปใต้” ที่ผ่านทางแยกของเมืองแพรรี่ออฟแพรคส์ เมื่อทั้งสองมาประจันหน้ากัน ไม่มีใครยอมหลีกทาง แซคส์ตัวแรกสาบานด้วยความโกรธว่าจะไม่ขยับไปไหนแม้จะทำให้ “ทั้งโลกหยุดนิ่ง” (แต่โลกยังคงดำเนินต่อไปและสร้างทางหลวงรอบๆตัวพวกเขา)
เรื่องนี้แสดงภาพชัดเจนของธรรมชาติมนุษย์ที่ไม่ดีนัก เรามี “ความจำเป็น” ที่ต้องให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก และมักจะดื้อดึงยึดติดในสัญชาตญาณนั้นในแบบที่ค่อนข้างจะส่งผลเสีย!
แต่เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเราที่ด้วยความรักพระเจ้าทรงเลือกที่จะทำให้หัวใจอันดื้อดึงของมนุษย์อ่อนลง เปาโลทราบข้อนี้ ดังนั้นเมื่อสมาชิกสองคนจากคริสตจักรฟีลิปปีทะเลาะกัน ท่านจึงห้ามปรามด้วยความรัก (ฟป.4:2) ท่านเคยสอนผู้เชื่อให้มี “วิธีคิดแบบเดียวกัน” โดยมีความรักที่สละตัวเองอย่างพระคริสต์ (2:5-8) เปาโลจึงขอให้พวกเขา “ช่วยหญิงเหล่านั้น” ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานที่ดีในการประกาศข่าวเสริฐกับท่าน (4:3) นี่เป็นวิธีสร้างสันติและประนีประนอมอย่างชาญฉลาดเพื่อการร่วมกันทำงาน
แน่นอนว่าจะมีเวลาที่เราต้องเด็ดเดี่ยว แต่วิธีแบบพระคริสต์ต่างจากความเด็ดเดี่ยวแบบแซคส์มาก! หลายอย่างในชีวิตไม่คุ้มกับการต่อสู้ เราจะทะเลาะกันในเรื่องหยุมหยิมจนย่อยยับไปด้วยกัน (กท.5:15) หรือจะยอมกลืนศักดิ์ศรี รับคำตักเตือน และแสวงหาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับพี่น้องชายหญิงของเรา
คำปลอบใจที่ประหลาด
ข้อพระคัมภีร์ในบัตรอวยพรที่ลิซ่าได้รับดูไม่เข้ากับสถานการณ์ของเธอเลย “และพระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา” (2 พกษ. 6:17) “แต่ฉันเป็นมะเร็ง!” เธอคิดอย่างสับสน “ฉันเพิ่งเสียลูกไป ข้อพระคำเรื่องกองทัพทูตสวรรค์ดูไม่เกี่ยวกันเลย”
แล้ว “ทูตสวรรค์” ก็ค่อยๆปรากฏตัวขึ้น ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งหลายคนให้เวลาและตั้งใจฟังเธอ สามีของเธอได้ปลดประจำการจากกองทัพในต่างประเทศก่อนกำหนด เพื่อนๆอธิษฐานเผื่อเธอ แต่เวลาที่เธอสัมผัสถึงความรักของพระเจ้ามากที่สุดคือเมื่อเพื่อนชื่อแพตตี้มาหาเธอพร้อมกับทิชชู่ 2 กล่อง เธอวางทิชชู่ไว้บนโต๊และร้องไห้ออกมา แพตตี้รู้เพราะเธอเองเคยแท้งลูกมาก่อน
“สิ่งนี้สำคัญกว่าสิ่งใด” ลิซ่าบอก “ฉันเข้าใจบัตรอวยพรนั้นแล้ว ‘กองทัพทูตสวรรค์’ อยู่ด้วยกับฉันตลอดเวลา” เมื่ออิสราเอลถูกกองทัพโอบล้อม กองทัพทูตสวรรค์จริงๆมาปกป้องเอลีชา แต่คนรับใช้ของเอลีชามองไม่เห็นจึงร้องถามว่า “เราจะทำอย่างไรดี” (ข้อ 15)เอลีชาได้อธิษฐานสั้นๆว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น” (ข้อ 17)
เมื่อเรามองดูที่พระเจ้า วิกฤตจะทำให้เราเห็นว่าสิ่งใดที่สำคัญจริงๆและเราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เราได้เรียนรู้ว่าการปลอบประโลมของพระเจ้าอยู่กับเราเสมอ พระองค์สำแดงความรักในแบบที่เราคาดไม่ถึง
ไฟในทะเลทราย
ขณะขี่ม้าไปในทะเลทรายชิวาวาในช่วงปลายทศวรรษ 1800 จิม ไวท์สังเกตเห็นกลุ่มควันประหลาดลอยขึ้นฟ้า คาวบอยหนุ่มสงสัยว่าจะมีไฟป่าเลยขี่เข้าไปใกล้ แต่กลับพบว่า “ควัน” นั้นคือฝูงค้างคาวที่บินออกจากหลุมบนพื้นดิน ไวท์มาเจอเข้ากับถ้ำคาร์ลสแบด แคเวินส์ซึ่งเป็นระบบถ้ำที่ซับซ้อนและสวยงามในรัฐนิวเม็กซิโก
ขณะเมื่อโมเสสเลี้ยงแกะที่ทะเลทรายในตะวันออกกลาง ท่านเห็นภาพประหลาดที่ดึงดูดความสนใจเช่นกัน คือพุ่มไม้ไฟที่ไม่ไหม้ (อพย.3:2) เมื่อพระเจ้าตรัสจากพุ่มไม้ โมเสสตระหนักว่าท่านได้พบสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เห็นในตอนแรก องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม” (ข้อ 6) พระเจ้ากำลังจะนำผู้คนที่ตกเป็นทาสมาสู่อิสรภาพและสำแดงว่าตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาคือเป็นบุตรของพระองค์ (ข้อ 10)
กว่าหกร้อยปีก่อนหน้านั้นพระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมว่า “บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า” (ปฐก.12:3) การออกจากอียิปต์ของคนอิสราเอลเป็นเพียงก้าวแรกของพระพรนั้น คือแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยกู้มนุษย์ผ่านทางพระเมสสิยาห์ผู้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม
ทุกวันนี้เราชื่นชมในประโยชน์จากพระพรนั้น เพราะพระเจ้าประทานการช่วยกู้นี้แก่ทุกคน พระคริสต์เสด็จมาสิ้นพระชนม์แทนความบาปของทั้งโลกนี้ โดยความเชื่อในพระองค์ เราก็ได้เป็นบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
วิ่งหาความรัก
นอร่าเป็นคนตัวเล็ก แต่การที่ “บริดเจ็ต” ซึ่งเป็นหญิงที่สูงถึงหกฟุตมองลงมาที่เธอด้วยใบหน้างอง้ำไม่ได้ทำให้นอร่ารู้สึกกลัวเลย บริดเจ็ตอธิบายไม่ได้ว่าทำไมเธอจึงมาที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ไม่พร้อมมีบุตรแห่งนี้ ทั้งๆที่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะ “กำจัดเด็กทิ้ง” นอร่าจึงถามเธออย่างสุภาพ แต่บริดเจ็ตบ่ายเบี่ยงไม่ตอบโดยใช้คำพูดหยาบคาย ไม่นานบริดเจ็ตก็เตรียมลุกออกจากที่นั่น พร้อมประกาศเจตนารมณ์ที่เธอจะยุติการตั้งครรภ์
นอร่ารีบเข้าไปขวางระหว่างบริดเจ็ตกับประตูและพูดว่า “ก่อนที่คุณจะไป ฉันขอกอดและอธิษฐานเผื่อคุณได้มั้ย” ไม่มีใครเคยกอดเธอด้วยเจตนาที่ดีเช่นนี้มาก่อน ทันใดนั้นน้ำตาของเธอก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่คาดคิด
สิ่งที่นอร่าทำสะท้อนให้เห็นถึงหัวใจของพระเจ้าที่รักอิสราเอลประชากรของพระองค์ “ด้วยความรักนิรันดร์” (ยรม.31:3) ประชากรเหล่านั้นล้มลงและต้องรับผลที่ร้ายแรงของการละเมิดกฎเกณฑ์ของพระเจ้า แต่พระเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า “เราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป เราจะสร้างเจ้าอีก” (ข้อ 3-4)
เรื่องราวในอดีตของบริดเจ็ตนั้นซับซ้อน (พวกเราหลายคนอาจจะมีประสบการณ์คล้ายกันกับเธอ) เธอเชื่อว่าพระเจ้าและผู้ติดตามพระองค์คงจะประณามเธอ นอร่าแสดงให้เธอเห็นสิ่งที่แตกต่าง นั่นคือ พระเจ้าผู้ไม่ทรงมองข้ามความบาปของเราเพราะพระองค์รักเราเกินกว่าที่เราจะคิดได้ พระองค์ทรงอ้าแขนต้อนรับเรา เราไม่จำเป็นต้องวิ่งหนีอีกต่อไป
แสงริบหรี่ในทะเล
“ผมนอนจมกองเหล้าอยู่บนเตียงอย่างสิ้นหวัง” มัลคอล์ม มักเกอริดจ์ เขียนบันทึกถึงวันที่หดหู่ระหว่างทำภารกิจสายลับในสงครามโลกครั้งที่ 2 “อยู่ตัวคนเดียวในจักรวาล ในนิรันดร์กาล ไม่มีแม้แสงเพียงริบหรี่”
ในภาวะนั้น สิ่งเดียวที่เขาคิดออกคือเขาจะไปกระโดดน้ำตาย เขาขับรถไปที่ชายฝั่งมาดากัสการ์ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วว่ายออกไปในทะเลจนหมดแรง เมื่อหันกลับมา เขาเหลือบเห็นแสงริบหรี่บนชายฝั่ง ไม่รู้ด้วยเหตุอันใดเขาเริ่มว่ายกลับมาทางแสงไฟนั้น แม้จะอ่อนแรง แต่เขายังจำได้ถึง “ความยินดีที่เต็มล้น”
มักเกอริดจ์ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่พระเจ้าทรงเอื้อมพระหัตถ์มาหาเขาในเวลาที่มืดมนนั้น เติมความหวังให้กับเขาอย่างอัศจรรย์ อัครทูตเปาโลเองก็มักเขียนถึงความหวังเช่นนี้ ในพระธรรมเอเฟซัส ท่านบันทึกว่าก่อนมารู้จักพระเยซู เราแต่ละคน “ตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป...ไม่มีที่หวังและอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า” (ข้อ 2:1,12) แต่ “พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระกรุณา...แม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาปพระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์” (ข้อ 4-5)
โลกนี้พยายามดึงเราลงสู่ความตกต่ำ แต่ไม่มีเหตุผลที่เราต้องยอมก้มหัวให้กับความสิ้นหวัง ดังที่มักเกอริดจ์พูดถึงการว่ายน้ำในทะเลวันนั้นว่า “ผมได้คิดว่าความมืดนั้นไม่มีอยู่จริง แต่เป็นเพียงการที่เราละสายตาจากแสงสว่างที่ฉายอยู่เป็นนิตย์”